และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น
ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร เสี่ยวหลิงที่ปรากฎตัวออกมา ลอยวนอยู่รอบตัวอวิ๋นซินเยว่กระซิบอย่างตื่นเต้น [ติ๊ง! ความงามของหม่าม๊าพุ่งถึง 120%! แม้แต่ข้าก็อยากบันทึกเก็บลงเป็นภาพจำที่ดีที่สุดแล้วครับ!] คนถูกชมทำตัวไม่ถูก จึงชักสีหน้าก่อนทำท่าจะตีเสี่ยวหลิงน้อย “เงียบไปเลยนะเจ้าเด็กคนนี้นี่!” นี่นับว่าเป็นงานใหญ่งานแรกของนางนับแต่เข้ามาอยู่ในโลกนี้เลยทีเดียว อวิ๋นซินเยว่ตื่นเต้นจนเหงื่อซึม ฝ่ามือเย็นเฉียบ …และตอนนั่นเองที่ประตูตำหนักเปิดออกเบา ๆ เสียงกงกงอี้จิ้งประกาศด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ฝ่าบาทเสด็จ…” นางกำนัลทั้งหมดคุกเข่า ศีรษะก้มต่ำจนไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง อวี้เหยียนก้าวเข้ามาในชุดคลุมมังกรสีดำทองทอด้วยดิ้นเงิน สายตาดำสนิทที่มักเย็นชาสะดุดหยุดลงทันที ภาพแรกที่สะท้อนเข้าไปในสายตาของเขาคือ… ฮองเฮา อวิ๋นซินเยว่รีบลุกขึ้น ยกชายกระโปรงค้อมกายถวายบังคมตามพิธี แต่ชั่วขณะที่เงยหน้า สายตาสองคู่ก็สบกันพอดี และเพียงชั่วขณะนั้น…อวี้เหยียนก็รู้สึกได้ว่า บางสิ่งในอกซ้ายของตนสั่นสะท้าน หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ฮองเฮาที่เคยถูกเขามองข้ามอีกต่อไป นางงามสง่าราวบุปผาผลิบานกลางสวน แต่กลับเปล่งประกายยิ่งกว่าแสงจันทร์ที่เคยอาบย้อมวังหลังแห่งนี้มาเนิ่นนาน ริมฝีปากเขากระตุกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว คล้ายกำลังลอบข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอเผยรอยยิ้มออกมา แต่สายตาคมกริบนั้น…ไม่อาจซ่อนความแวววับได้ อวิ๋นซินเยว่หัวใจเต้นแรง ตึกตัก! ตึกตัก! ราวกลองศึกยามที่สบสายตากับชายตรงหน้า นางรีบก้มหน้าหลบสายตา แต่แก้มกลับร้อนผ่าวขึ้นจนเธอได้แต่พรูลมหายใจระบายความตื่นเต้น ‘ให้ตายสิ…ทำไมเขาต้องมองฉันขนาดนี้ด้วยล่ะ!’ เสี่ยวหลิงไม่พลาดจะรายงาน [ติ๊ง! ฝ่าบาทจ้องหม่าม๊าติดต่อกัน 19 วิแล้วครับ! ระดับความประทับใจ: +8!] เสียงนี้ยิ่งทำให้หญิงสาวอยากมุดพื้นหนี ทว่าพระสุรเสียงทุ้มต่ำกลับดังขึ้นใกล้ ๆ หู “ฮองเฮา… เจ้างามกว่าบุปผาที่เจ้าจัดขึ้นวันนี้เสียอีก” เพียงประโยคเดียวที่เอ่ยออกมา ก็ทำเอาร่างเล็กเงยหน้าขึ้นไปมอง กลับเห็นเพียงสายตาเรียบนิ่ง ทำเอานางถึงกับไม่อาจแน่ใจได้เลยว่า คำพูดนั้นเป็นคำชมจริง ๆ หรือเพียงถ้อยคำที่จักรพรรดิผู้เย็นชาโยนออกมาเพื่อลองใจ…หรือเธออาจหูแว่วไปเอง “วันนี้งานเลี้ยงมีเพียงสตรีวังหลัง ข้าจะไปสะสางราชกิจ เจ้า…ไปเถิด” คำสั่งสั้นกระชับทำให้ทุกคนก้มศีรษะพร้อมรับบัญชา ขันทีเฒ่าเร่งให้นางขึ้นเกี้ยวทันที อวิ๋นซินเยว่กัดริมฝีปาก ก้าวขึ้นเกี้ยวอย่างระวัง ทว่ายามที่นางหันกลับไปชั่วขณะ ดวงตาคมนั้นยังคงจ้องตามอยู่ สายตานั้นช่างนิ่งสงบ แต่แฝงความร้อนเร้นที่ยากจะอธิบาย หัวใจของเธอเผลอเต้นแรงอีกครั้งจนต้องเบือนหน้าหนีทันที ก่อนเกี้ยวจะถูกยกขึ้นพร้อมเสียงฆ้องนำขบวน ทิ้งไว้เพียงเงาร่างสูงสง่าในชุดมังกร ที่ยืนมองตามจนลับสายตา ....... แสงแดดยามสายทอประกายลงบนสวนหลวง ดอกเหมยขาวและพฤกษาหลากสีที่ถูกบรรจงบ่มไว้ตลอดฤดู ผลิบานสะพรั่งราวกับแข่งขันอวดความงามต่อหน้าไทเฮาผู้สูงศักดิ์และบรรดาสตรีผู้งดงาม ลานหินอ่อนกลางสวนถูกจัดวางโต๊ะยาวประดับผ้าไหมปักดิ้นทอง เครื่องสำริดขัดเงา และถ้วยหยกใส่ชาอุ่นหอมกรุ่น บริเวณโดยรอบถูกประดับด้วยกรงนกหงส์หยกและสายริ้วแพรสีชมพูพัดพลิ้วตามแรงลม เสียงพิณและขลุ่ยแผ่วหวานดังก้องเคล้า กลิ่นบุปผาและกำยานชั้นดีปะปนในอากาศ เหล่าสตรีในวังหลังตั้งแต่สนมชั้นล่างสุดจนถึงขั้นสูงล้วนแต่งองค์เต็มยศ เดินเรียงรายเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ พร้อมก้มหัวถวายบังคมแก่ ไทเฮา ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ไม้หอมยกสูงตรงกลาง ไทเฮาผู้เลื่องลือเรื่องกฎระเบียบ สวมอาภรณ์ผ้าไหมม่วงเข้มทอด้วยลายเมฆมงคล พระพักตร์เปี่ยมด้วยรอยยิ้มสงบ แต่เพียงแววตาเดียวก็กดดันให้ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง เสียงขันทีเฒ่าประกาศกังวาน “ฮองเฮา เสด็จ!” สายตานับร้อยจับจ้องทันทีที่อวิ๋นซินเยว่ปรากฏตัวในชุดหงส์ปักดิ้นทอง ด้านหลังเป็นขบวนนางกำนัลถือพานดอกไม้จัดเรียงอย่างวิจิตร นางก้าวช้า ๆ อย่างสง่างาม แม้หัวใจภายในจะเต้นแรง แต่ทุกย่างก้าวกลับหนักแน่นไม่สั่นคลอน ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มบาง เฉกเช่นสตรีผู้รู้ว่าทุกสายตากำลังรอคอยจะจับผิดตน เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นจากมุมโต๊ะ “นั่นหรือ…ฮองเฮาองค์ปัจจุบัน?” “งามเกินกว่าที่เล่าลือเสียอีก” แต่รอยยิ้มของ ซูกุ้ยเฟย ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของไทเฮากลับเยือกเย็น นางสวมชุดผ้าไหมสีแดงเข้มปักลายดอกโบตั๋น ตำแหน่งของนางคือรองจากฮองเฮา แต่เหนือกว่าผู้ใดทั้งหมดในวังหลัง ความงามสง่าและสายตาคมราวนกอินทรี ทำให้นางดูงดงามเย้ายวนแต่ก็แฝงความกดดันเช่นกัน ซูกุ้ยเฟยยกถ้วยชาแนบริมฝีปาก ลอบมองอวิ๋นซินเยว่ที่นั่งลง ณ ที่สูงสุดเบื้องขวาของไทเฮา ก่อนเอ่ยเสียงหวาน “ฮองเฮาช่างงดงามยิ่งนัก เพียงปรากฏกายก็กวาดสายตาทุกคู่ไปเสียสิ้น …หวังว่าความงามนั้น จะช่วยให้งานชมบุปผาครั้งนี้ราบรื่น” คำพูดนั้นทำให้เหล่าสนมพากันหลบตายิ้มขบขัน บ้างก็รอชมว่า ฮองเฮาจะรับมือเช่นไร อวิ๋นซินเยว่หันไปสบตาซูกุ้ยเฟย รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าสวยทันที “กุ้ยเฟยกล่าวเกินไปเพคะ ข้าหาใช่งดงามอันใด ดอกไม้ต่างหากที่เปล่งประกาย ข้าเพียงหวังว่าจะจัดงานให้เป็นที่พอพระทัยไทเฮาและทุกท่าน…หากมีสิ่งใดบกพร่อง ก็ขอให้กุ้ยเฟยโปรดชี้แนะ” น้ำเสียงอ่อนน้อมแต่แฝงไหวพริบไม่เพียงตัดแรงกดดัน แต่ยังหันคำพูดนั้นกลับไปให้ซูกุ้ยเฟยต้องรับผิดชอบหากคิดจะโจมตี ไทเฮายกพระโอษฐ์ยิ้มบาง ๆ สายตาผ่านไปมาระหว่างสตรีสองคนที่นั่งเผชิญหน้า “ดี…เช่นนี้แหละ ฮองเฮากับกุ้ยเฟยต้องเกื้อกูลกัน วังหลังจึงจะสงบสุข” อวิ๋นซินเยว่ร่ำร้องในใจ 'นางกำลังปรามให้พวกเราอย่าทะเลาะกัน เฮ้อ ใช่ว่าฉันอยากจะหาเรื่องใครซะเมื่อไหร่' ........ เสียงชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อซูกุ้ยเฟยยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ไทเฮายังพยักหน้าอย่างยอมรับในความสามารถ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “เกรงว่าหม่อมฉันคงขายหน้าแล้ว กลอนของหม่อมฉันหาได้ไพเราะไม่… หากเทียบกันแล้วผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยังอวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก …เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! เสี่ยวหลิงรีบส่งเสียงเตือนทันที [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ]เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็
รุ่งอรุณสาดแสงสีทองผ่านม่านบาง ๆ ของตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่ลุกขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำสิ่งใดสักอย่างเพื่อตอบแทนพระเมตตาเมื่อคืนที่ผ่านมา จากที่ได้ฟังเรื่องราวที่เสี่ยวหลิงเล่าให้ฟัง ประกอบกับคำพูดของนางกำนัลถึงสิ่งที่ฝ่าบาททำให้ แม้จะไม่รู้ว่าคืนนั้นฝ่าบาทได้ยินอะไรไปบ้าง แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ “เตรียมสมุนไพรบำรุงร่างกาย ข้าจะลงมือทำซุปด้วยตัวเอง” นางสั่งเสียงหนักแน่น ไม่นาน กลิ่นหอมละมุนของซุปสมุนไพรค่อย ๆ ลอยอบอวลไปทั่วตำหนัก มือเรียวเล็กยกถาดทองเหลืองขึ้นมั่นคง มุ่งตรงไปยังตำหนักหยางซิน ที่พำนักขององค์จักรพรรดิอวี้เหยียน ภายในท้องพระโรง อวี้เหยียนประทับบนบัลลังก์มังกรสูงสง่า แววตาคมคายยังเย็นเฉียบไม่ต่างจากผืนน้ำแข็งพันปี เมื่อเห็นฮองเฮาก้าวเข้ามาพร้อมถาดในมือ พระเนตรหรี่ลงแวบหนึ่ง “หม่อมฉัน…ทำซุปบำรุงมาถวายเพคะ” อวิ๋นซินเยว่เอ่ยเสียงอ่อนโยน แววตาเปี่ยมความจริงใจ ขันทีข้างพระวรกายรีบรับถาดมาวางตรงหน้าพระอง
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอวี้เหยียนสะท้อนก้องไปทั่วห้อง อวิ๋นซินเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตระหนก ฝ่าบาทมาถึงหน้าประตูแล้ว แต่เหตุใดมิมีผู้ใดรายงาน! อวิ๋นซินเยว่ตื่นตระหนกแล้ว! "ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ" เธอย่อตัวลง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะนั่งลงที่เตียงของเธอ "มาเถิด" สีหน้าเรียบนิ่งขององค์จักรพรรดิทำให้อวิ๋นซินเยว่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน หญิงสาวกวาดสายตามองหาเสี่ยวหลิง แต่เจ้าระบบตัวดีกลับไม่อยู่ให้เห็น 'ดีนี่ เสี่ยวหลง! เวลาสำคัญแบบนี้กลับหายหัว ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ' เธอคิดในใจ ร่างบางเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงข้างกายเจ้าแผ่นดิน อวิ๋นซินเยว่ไม่กล้าสบสายตา แต่เธอรู้สึกได้ว่าคนข้างกายตอนนี้กำลังต้องมองนางอยู่ 'โอ๊ย อึดอัดชะมัด จะจ้องเงียบ ๆ อีกนานมั้ยเนี่ย' อวิ๋นซินเยว่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ฝ่าบาท…เมื่อครู่ทรงหัวเราะสิ่งใดหรือเพคะ?” แววตาคมเข้มตวัดลงมาสบกับนาง ริมพระโอษฐ์ยกขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะขบขัน คล้ายจะเย้า สายตาของเธอที่เผลอเหลือบมอง เมื่อเห็นเช่นนั้นยิ่งชวนให้หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก “เปล่า”