LOGINรุ่งเช้ามาเยือนตำหนักคุนหนิงพร้อมความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนบนใบหน้าของอวิ๋นซินเยว่ แผลเป็นปรากฎรอยกรีดที่แก้มขวาถูกทายาจากตำหนักขององค์จักรพรรดิอย่างต่อเนื่อง ความเย็นซ่านจากเนื้อยาหายากนั้น คือเครื่องยืนยันความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเกรี้ยวกราด
เธอมองตัวเองในกระจกสำริด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเด็ดเดี่ยว นี่ไม่ใช่ หลินซินเยว่ ฮองเฮาผู้อ่อนแอคนเดิม แต่เป็นนักสู้ที่ได้รับอาวุธสำคัญที่สุดแล้วนั่นคือความจริงใจของอวี้เหยียน “จื่อเยว่...วันนี้ข้าจะไปเฝ้าฝ่าบาท” เธอเอ่ยเสียงหนักแน่น “ฮองเฮาเพคะ...แต่เมื่อวาน...” จื่อเยว่เอ่ยอย่างลังเล เพราะเกรงว่าเจ้านายจะไปเผชิญหน้ากับความโกรธขององค์เหนือหัวอีกครั้ง “วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน” อวิ๋นซินเยว่ตัดบท “เจ้าเลือกชุดที่งดงามที่สุดมาให้ข้า ไม่ใช่ชุดสำหรับเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม แต่เป็นชุดที่คู่ควรกับตำแหน่ง ‘ฮองเฮา’ ผู้เป็นภรรยาเอกขององค์จักรพรรดิ!” วันนี้เธอเลือกชุดที่เน้นความสง่างามตามแบบฉบับฮองเฮา ชุดสีแดงเข้มปักลายหงส์สีทอง เครื่องประดับหยกชั้นดีที่ขับเน้นให้ใบหน้าดูคมคายและมีอำนาจ เธอไม่ได้ไปเพื่อเอาใจแต่ไปเพื่อ ประกาศสิทธิ์ [หม่าม๊าดูสง่างามมากครับ] เสี่ยวหลิงโผล่หน้าออกมาจากพัดด้ามยาว [แต่ความเสี่ยงยังสูงนะคร้าบ! ฝ่าบาทกำลังสับสนในตัวเอง! ถ้าหม่าม๊าไปรุกหนักเกินไป...อาจเกิดผลตรงกันข้ามได้นะครับ!] “ไม่ต้องห่วงเสี่ยวหลิง” อวิ๋นซินเยว่ยิ้มเย็นชา “ฉันจะทำให้เขาได้รู้ว่า ความกลัวที่จะสูญเสียนั้น เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวกว่าการที่ต้องรักใครสักคนมากนัก” ....... ตำหนักหยางซินในเวลานี้ยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขันทีและองครักษ์ต่างเงียบงัน ทุกคนรับรู้ถึงพายุอารมณ์ที่พัดผ่านองค์จักรพรรดิในช่วงนี้ เมื่ออวิ๋นซินเยว่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรง ความสง่างามของนางทำให้ทุกคนต้องก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ เธอเดินตรงเข้าไปหาบัลลังก์มังกรอย่างมั่นคง ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่จักรพรรดิอวี้เหยียนเพียงผู้เดียว อวี้เหยียนนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงงาน ก้มหน้าดูเอกสารอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ แต่ความเร็วในการเขียนฎีกาของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด พระองค์รู้ดีว่าใครกำลังเข้ามา “หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ” อวิ๋นซินเยว่ค้อมกายลงอย่างสมบูรณ์แบบ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” อวี้เหยียนเอ่ยเสียงเย็นชา ไม่เงยหน้าขึ้นมอง น้ำเสียงของเขาพยายามแสดงความรำคาญอย่างที่สุด “หม่อมฉันมาทวงสิทธิ์เพคะ” เธอตอบอย่างเรียบง่าย แต่ถ้อยคำนั้นรุนแรงจนขันทีข้าง ๆ สะดุ้งเฮือก! อวี้เหยียนหยุดการเขียนฎีกาทันที เขากระชากสายตาคมกริบขึ้นมองเธอ ความเย็นชาที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิดและความไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ดวงตาของเขาจ้องมองรอยกรีดจาง ๆ ที่แก้มขวาของเธอเป็นอันดับแรก “สิทธิ์อะไร!” เขาถามเสียงดัง เต็มไปด้วยอำนาจที่ใช้ข่มขู่สตรีมานับไม่ถ้วน อวิ๋นซินเยว่ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว เธอวางซองผ้าต่วนสีขาวสะอาดลงบนโต๊ะทรงงานของเขา ข้างกองเอกสารสำคัญ “สิทธิ์ที่จะได้รับความยุติธรรมเพคะ” เธอตอบ เธอไม่ได้ขอความรัก…แต่ขอความยุติธรรม “เมื่อวานนี้…หม่อมฉันนำซุปมาถวายด้วยความปรารถนาดี ทรงปฏิเสธซุปนั้นด้วยการปัดถ้วยจนแตก และทำให้หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหม่อมฉันไม่ได้โกรธเคืองต่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย แต่…ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นฮองเฮา และเป็น‘ภรรยาเอก’ของพระองค์ หม่อมฉันขอทวงความยุติธรรม ในสิ่งที่หม่อมฉันควรจะได้รับเพคะ” อวี้เหยียนจ้องมองซองผ้าต่วนนั้นนิ่ง ๆ มือที่วางบนโต๊ะกำแน่นจนข้อเป็นสีขาว เขาพยายามเก็บงำอารมณ์ความผิดที่เขามีต่อเธอ “แล้วเจ้าต้องการอะไรจากข้า!” อวิ๋นซินเยว่เปิดซองผ้าต่วนนั้นออก ข้างในไม่ใช่เอกสารร้องเรียน…แต่เป็นยาทาจากตำหนักลับที่เขาส่งไปให้เธอ (ขันทีเฒ่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับใจหายวาบ!) “หม่อมฉันต้องการเพียงสิ่งเดียวเพคะ” เธอกล่าว จ้องมองพระเนตรของเขาอย่างไม่เกรงกลัว “หม่อมฉันต้องการให้พระองค์ทรงยุติการปฏิเสธความรู้สึกของตนเองเสียที!” คำพูดนั้นคือระเบิดลูกใหญ่ที่ทำลายความพยายามของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา! “เจ้า…พูดเรื่องไร้สาระอะไร!” อวี้เหยียนตวาด เขาตบโต๊ะดังสนั่น! พลังอำนาจที่กดดันทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือน “ยาถอนพิษชนิดนี้” อวิ๋นซินเยว่ชูตลับยาขึ้นอย่างมั่นคง “มีเพียงหมอหลวงในตำหนักส่วนพระองค์เท่านั้นที่ปรุงได้ และวัตถุดิบมาจากคลังหลวงส่วนตัวของพระองค์! หม่อมฉันรู้ดีว่านี่คือยาที่ใช้สมานแผลจากร่องรอยพิษที่หม่อมฉันได้รับเมื่อคืนนั้น! และพระองค์…ทรงป้อนมันให้หม่อมฉันด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง!” เธอไม่ให้โอกาสเขาตอบโต้ เธอเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ยั้งคิด นี่คือยุทธศาสตร์ของเสี่ยวหลิง: โจมตีในจุดที่เขาอ่อนแอที่สุด “ฝ่าบาททรงปฏิเสธซุปของหม่อมฉันด้วยความเกรี้ยวกราด แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงส่งยาลับที่แพงที่สุดและใกล้ชิดที่สุดของพระองค์มาให้!” “พระองค์ทรงผลักไสหม่อมฉัน แต่กลับส่งคนมาเฝ้าดูอาการของหม่อมฉันตลอดทั้งคืน! พระองค์ทรงทำร้ายหม่อมฉันเพื่อปกป้องกำแพงน้ำแข็งของพระองค์! แต่ในขณะเดียวกัน…ยาถอนพิษนี้ก็กำลังรักษาทั้งบาดแผลที่แก้มของหม่อมฉัน…และรักษาหัวใจของพระองค์เอง!” อวี้เหยียนนั่งนิ่งราวรูปสลัก! ดวงตาของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ความจริงที่เธอเปิดโปงออกมาอย่างชัดเจนทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป! “เจ้ากล้าดียังไงถึงมาสั่งสอนข้า!” เขาพยายามใช้โทสะเข้าสู้ แต่เสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “หม่อมฉันไม่ได้สั่งสอนเพคะ” เธอตอบอย่างนุ่มนวลที่สุด “หม่อมฉันเพียงแค่มาประกาศสิทธิ์ ในฐานะ ‘ภรรยาเอก’ ของพระองค์ หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะดูแลพระวรกายของพระองค์อย่างใกล้ชิด และที่สำคัญที่สุด… หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะดูแล ‘หัวใจ’ ของพระองค์ด้วยเพคะ!” คำว่าดูแลหัวใจ ทำลายกำแพงสุดท้ายของอวี้เหยียน! แววตาของเขามืดมิดลง! เขาไม่สามารถควบคุมโทสะและความต้องการที่ปะปนกันได้อีกต่อไป! “เจ้า…อยากได้นักใช่หรือไม่!” พระองค์คำราม คำพูดของเขาไม่ใช่การถาม…แต่เป็นเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อวี้เหยียนลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรอย่างรวดเร็วราวพายุ! เขาเดินสามก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ! ร่างสูงใหญ่และทรงอำนาจบดบังแสงสว่างทั้งหมด! เขายื่นมือออกไป…ไม่ได้บีบ…แต่กลับประคองใบหน้าของเธอไว้เบา ๆ! นิ้วโป้งของเขาสัมผัสรอยแผลที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นอย่างอ่อนโยนจนน่าประหลาดใจ อวิ๋นซินเยว่หายใจติดขัด! เธอไม่เคยอยู่ใกล้เขาขนาดนี้มาก่อนในสถานการณ์ปกติ! กลิ่นหอมของอำพันทะเลและอำนาจจากชายตรงหน้าแผ่ซ่านเข้ามาในโสตสัมผัส “ดี! ถ้าเจ้าอยากได้มันนัก! ข้าก็จะให้เจ้า!” อวี้เหยียนโน้มตัวลงมาทันที! ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างรุนแรงและเร่าร้อน! นี่ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน…แต่เป็นการแสดงความต้องการที่ถูกกดทับมานาน! เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกของตนเองอย่างบ้าคลั่งที่สุด! เป็นการ ‘ลงโทษ’ เธอที่กล้าเปิดโปงหัวใจของเขา! ทุกคนในท้องพระโรงต่างคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้น! ไม่มีใครกล้ามองฉากนี้! มีเพียงเสียงจูบที่รุนแรงและเสียงหอบหายใจของฮองเฮาที่ดังสะท้อนไปทั่วห้อง! [ติ๊ง! อุณหภูมิหัวใจฝ่าบาทพุ่งสูง+50องศาในทันที! คำเตือนฉุกเฉินระดับสีแดง! ฝ่าบาทเข้าสู่ระดับ‘ความคลั่งรักแบบทำลายล้าง’! ระบบกู้โลกเข้าสู่โหมดรักษาเสถียรภาพ! รอการคำนวณใหม่!] อวี้เหยียนปลดปล่อยจูบนั้นอย่างรุนแรง! ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยไฟราคะที่ถูกจุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ! เขาจ้องมองเธอด้วยความสับสนและความต้องการที่ไม่เคยมีมาก่อน! “จำไว้! ฮองเฮา! เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าทำลายความสงบของข้า! และต่อไปนี้…เจ้าจะไม่มีวันหลุดพ้นจากข้าได้อีก!”ค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







