LOGINรุ่งเช้ามาเยือนตำหนักคุนหนิงพร้อมความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนบนใบหน้าของอวิ๋นซินเยว่ แผลเป็นปรากฎรอยกรีดที่แก้มขวาถูกทายาจากตำหนักขององค์จักรพรรดิอย่างต่อเนื่อง ความเย็นซ่านจากเนื้อยาหายากนั้น คือเครื่องยืนยันความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเกรี้ยวกราด
เธอมองตัวเองในกระจกสำริด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเด็ดเดี่ยว นี่ไม่ใช่ หลินซินเยว่ ฮองเฮาผู้อ่อนแอคนเดิม แต่เป็นนักสู้ที่ได้รับอาวุธสำคัญที่สุดแล้วนั่นคือความจริงใจของอวี้เหยียน “จื่อเยว่...วันนี้ข้าจะไปเฝ้าฝ่าบาท” เธอเอ่ยเสียงหนักแน่น “ฮองเฮาเพคะ...แต่เมื่อวาน...” จื่อเยว่เอ่ยอย่างลังเล เพราะเกรงว่าเจ้านายจะไปเผชิญหน้ากับความโกรธขององค์เหนือหัวอีกครั้ง “วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน” อวิ๋นซินเยว่ตัดบท “เจ้าเลือกชุดที่งดงามที่สุดมาให้ข้า ไม่ใช่ชุดสำหรับเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม แต่เป็นชุดที่คู่ควรกับตำแหน่ง ‘ฮองเฮา’ ผู้เป็นภรรยาเอกขององค์จักรพรรดิ!” วันนี้เธอเลือกชุดที่เน้นความสง่างามตามแบบฉบับฮองเฮา ชุดสีแดงเข้มปักลายหงส์สีทอง เครื่องประดับหยกชั้นดีที่ขับเน้นให้ใบหน้าดูคมคายและมีอำนาจ เธอไม่ได้ไปเพื่อเอาใจแต่ไปเพื่อ ประกาศสิทธิ์ [หม่าม๊าดูสง่างามมากครับ] เสี่ยวหลิงโผล่หน้าออกมาจากพัดด้ามยาว [แต่ความเสี่ยงยังสูงนะคร้าบ! ฝ่าบาทกำลังสับสนในตัวเอง! ถ้าหม่าม๊าไปรุกหนักเกินไป...อาจเกิดผลตรงกันข้ามได้นะครับ!] “ไม่ต้องห่วงเสี่ยวหลิง” อวิ๋นซินเยว่ยิ้มเย็นชา “ฉันจะทำให้เขาได้รู้ว่า ความกลัวที่จะสูญเสียนั้น เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวกว่าการที่ต้องรักใครสักคนมากนัก” ....... ตำหนักหยางซินในเวลานี้ยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขันทีและองครักษ์ต่างเงียบงัน ทุกคนรับรู้ถึงพายุอารมณ์ที่พัดผ่านองค์จักรพรรดิในช่วงนี้ เมื่ออวิ๋นซินเยว่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรง ความสง่างามของนางทำให้ทุกคนต้องก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ เธอเดินตรงเข้าไปหาบัลลังก์มังกรอย่างมั่นคง ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่จักรพรรดิอวี้เหยียนเพียงผู้เดียว อวี้เหยียนนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงงาน ก้มหน้าดูเอกสารอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ แต่ความเร็วในการเขียนฎีกาของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด พระองค์รู้ดีว่าใครกำลังเข้ามา “หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ” อวิ๋นซินเยว่ค้อมกายลงอย่างสมบูรณ์แบบ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” อวี้เหยียนเอ่ยเสียงเย็นชา ไม่เงยหน้าขึ้นมอง น้ำเสียงของเขาพยายามแสดงความรำคาญอย่างที่สุด “หม่อมฉันมาทวงสิทธิ์เพคะ” เธอตอบอย่างเรียบง่าย แต่ถ้อยคำนั้นรุนแรงจนขันทีข้าง ๆ สะดุ้งเฮือก! อวี้เหยียนหยุดการเขียนฎีกาทันที เขากระชากสายตาคมกริบขึ้นมองเธอ ความเย็นชาที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิดและความไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ดวงตาของเขาจ้องมองรอยกรีดจาง ๆ ที่แก้มขวาของเธอเป็นอันดับแรก “สิทธิ์อะไร!” เขาถามเสียงดัง เต็มไปด้วยอำนาจที่ใช้ข่มขู่สตรีมานับไม่ถ้วน อวิ๋นซินเยว่ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว เธอวางซองผ้าต่วนสีขาวสะอาดลงบนโต๊ะทรงงานของเขา ข้างกองเอกสารสำคัญ “สิทธิ์ที่จะได้รับความยุติธรรมเพคะ” เธอตอบ เธอไม่ได้ขอความรัก…แต่ขอความยุติธรรม “เมื่อวานนี้…หม่อมฉันนำซุปมาถวายด้วยความปรารถนาดี ทรงปฏิเสธซุปนั้นด้วยการปัดถ้วยจนแตก และทำให้หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหม่อมฉันไม่ได้โกรธเคืองต่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย แต่…ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นฮองเฮา และเป็น‘ภรรยาเอก’ของพระองค์ หม่อมฉันขอทวงความยุติธรรม ในสิ่งที่หม่อมฉันควรจะได้รับเพคะ” อวี้เหยียนจ้องมองซองผ้าต่วนนั้นนิ่ง ๆ มือที่วางบนโต๊ะกำแน่นจนข้อเป็นสีขาว เขาพยายามเก็บงำอารมณ์ความผิดที่เขามีต่อเธอ “แล้วเจ้าต้องการอะไรจากข้า!” อวิ๋นซินเยว่เปิดซองผ้าต่วนนั้นออก ข้างในไม่ใช่เอกสารร้องเรียน…แต่เป็นยาทาจากตำหนักลับที่เขาส่งไปให้เธอ (ขันทีเฒ่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับใจหายวาบ!) “หม่อมฉันต้องการเพียงสิ่งเดียวเพคะ” เธอกล่าว จ้องมองพระเนตรของเขาอย่างไม่เกรงกลัว “หม่อมฉันต้องการให้พระองค์ทรงยุติการปฏิเสธความรู้สึกของตนเองเสียที!” คำพูดนั้นคือระเบิดลูกใหญ่ที่ทำลายความพยายามของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา! “เจ้า…พูดเรื่องไร้สาระอะไร!” อวี้เหยียนตวาด เขาตบโต๊ะดังสนั่น! พลังอำนาจที่กดดันทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือน “ยาถอนพิษชนิดนี้” อวิ๋นซินเยว่ชูตลับยาขึ้นอย่างมั่นคง “มีเพียงหมอหลวงในตำหนักส่วนพระองค์เท่านั้นที่ปรุงได้ และวัตถุดิบมาจากคลังหลวงส่วนตัวของพระองค์! หม่อมฉันรู้ดีว่านี่คือยาที่ใช้สมานแผลจากร่องรอยพิษที่หม่อมฉันได้รับเมื่อคืนนั้น! และพระองค์…ทรงป้อนมันให้หม่อมฉันด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง!” เธอไม่ให้โอกาสเขาตอบโต้ เธอเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ยั้งคิด นี่คือยุทธศาสตร์ของเสี่ยวหลิง: โจมตีในจุดที่เขาอ่อนแอที่สุด “ฝ่าบาททรงปฏิเสธซุปของหม่อมฉันด้วยความเกรี้ยวกราด แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงส่งยาลับที่แพงที่สุดและใกล้ชิดที่สุดของพระองค์มาให้!” “พระองค์ทรงผลักไสหม่อมฉัน แต่กลับส่งคนมาเฝ้าดูอาการของหม่อมฉันตลอดทั้งคืน! พระองค์ทรงทำร้ายหม่อมฉันเพื่อปกป้องกำแพงน้ำแข็งของพระองค์! แต่ในขณะเดียวกัน…ยาถอนพิษนี้ก็กำลังรักษาทั้งบาดแผลที่แก้มของหม่อมฉัน…และรักษาหัวใจของพระองค์เอง!” อวี้เหยียนนั่งนิ่งราวรูปสลัก! ดวงตาของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ความจริงที่เธอเปิดโปงออกมาอย่างชัดเจนทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป! “เจ้ากล้าดียังไงถึงมาสั่งสอนข้า!” เขาพยายามใช้โทสะเข้าสู้ แต่เสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “หม่อมฉันไม่ได้สั่งสอนเพคะ” เธอตอบอย่างนุ่มนวลที่สุด “หม่อมฉันเพียงแค่มาประกาศสิทธิ์ ในฐานะ ‘ภรรยาเอก’ ของพระองค์ หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะดูแลพระวรกายของพระองค์อย่างใกล้ชิด และที่สำคัญที่สุด… หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะดูแล ‘หัวใจ’ ของพระองค์ด้วยเพคะ!” คำว่าดูแลหัวใจ ทำลายกำแพงสุดท้ายของอวี้เหยียน! แววตาของเขามืดมิดลง! เขาไม่สามารถควบคุมโทสะและความต้องการที่ปะปนกันได้อีกต่อไป! “เจ้า…อยากได้นักใช่หรือไม่!” พระองค์คำราม คำพูดของเขาไม่ใช่การถาม…แต่เป็นเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อวี้เหยียนลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรอย่างรวดเร็วราวพายุ! เขาเดินสามก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ! ร่างสูงใหญ่และทรงอำนาจบดบังแสงสว่างทั้งหมด! เขายื่นมือออกไป…ไม่ได้บีบ…แต่กลับประคองใบหน้าของเธอไว้เบา ๆ! นิ้วโป้งของเขาสัมผัสรอยแผลที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นอย่างอ่อนโยนจนน่าประหลาดใจ อวิ๋นซินเยว่หายใจติดขัด! เธอไม่เคยอยู่ใกล้เขาขนาดนี้มาก่อนในสถานการณ์ปกติ! กลิ่นหอมของอำพันทะเลและอำนาจจากชายตรงหน้าแผ่ซ่านเข้ามาในโสตสัมผัส “ดี! ถ้าเจ้าอยากได้มันนัก! ข้าก็จะให้เจ้า!” อวี้เหยียนโน้มตัวลงมาทันที! ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างรุนแรงและเร่าร้อน! นี่ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน…แต่เป็นการแสดงความต้องการที่ถูกกดทับมานาน! เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกของตนเองอย่างบ้าคลั่งที่สุด! เป็นการ ‘ลงโทษ’ เธอที่กล้าเปิดโปงหัวใจของเขา! ทุกคนในท้องพระโรงต่างคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้น! ไม่มีใครกล้ามองฉากนี้! มีเพียงเสียงจูบที่รุนแรงและเสียงหอบหายใจของฮองเฮาที่ดังสะท้อนไปทั่วห้อง! [ติ๊ง! อุณหภูมิหัวใจฝ่าบาทพุ่งสูง+50องศาในทันที! คำเตือนฉุกเฉินระดับสีแดง! ฝ่าบาทเข้าสู่ระดับ‘ความคลั่งรักแบบทำลายล้าง’! ระบบกู้โลกเข้าสู่โหมดรักษาเสถียรภาพ! รอการคำนวณใหม่!] อวี้เหยียนปลดปล่อยจูบนั้นอย่างรุนแรง! ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยไฟราคะที่ถูกจุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ! เขาจ้องมองเธอด้วยความสับสนและความต้องการที่ไม่เคยมีมาก่อน! “จำไว้! ฮองเฮา! เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าทำลายความสงบของข้า! และต่อไปนี้…เจ้าจะไม่มีวันหลุดพ้นจากข้าได้อีก!”ความเงียบเข้าปกคลุมสมรภูมิราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง ทหารทั้งสองฝ่ายต่างลดอาวุธลงด้วยความสับสน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่บุรุษสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน คนหนึ่งอยู่ในชุดเกาะมังกรที่สง่างาม อีกคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำทมิฬที่เปื้อนเลือด แต่ใบหน้าของทั้งคู่กลับเหมือนกันประหนึ่งเงาในกระจกอวี้เหยียน รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง ความเจ็บปวดจากการเพิ่งฟื้นไข้เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่กลางอกเมื่อเห็นใบหน้าของแม่ทัพศัตรูอวี้เหยียนเสียงสั่นพร่า “เจ้า... เจ้าบอกว่าข้าเสวยสุขบนความตายของพี่น้องงั้นหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไร! ที่ข้าได้มานั่งตำแหน่งนี้ ล้วนเพราะพวกพี่น้องของข้ามันเข่นฆ่ากันเองทั้งนั้น ข้าหาได้ทำอันใดผิดไม่" บุรุษผู้นั้นหัวเราะอย่างขมขื่นหยัน แววตาที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยไฟแค้นที่ถูกสุมทุมมานานกว่ายี่สิบปี“พี่ชายผู้สูงส่ง... เจ้าถูกเลี้ยงมาในกล่องทองคำที่ฉาบด้วยคำโกหกของไทเฮาและอดีตฮ่องเต้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าในราชวงศ์อวี้... การมี โอรสแฝด คือลางร้ายที่ต้องถูกกำจัด คนหนึ่งถูกเลือกให้เป็นมังกร ส่วนอีกคน... ต้องถูกปลิดชีพตั้งแต่ยังไม่ลืมตาเพื่อมิให้บัลลังก์สั่นคลอน!” เขาชี้กระบี่มาที่อวี้เหยียน มื
กำแพงเมืองชั้นนอก ยามโพล้เพล้เสียงกลองศึกดังสนั่นกัมปนาทราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย กลิ่นเขม่าควันไฟเริ่มลอยอบอวลไปทั่วชั้นบรรยากาศที่เคยสงบเงียบของเมืองหลวงแคว้นอวี้ ท้องฟ้าที่ควรจะเป็นสีครามยามเย็นบัดนี้กลับอาบชโลมด้วยสีแดงฉานจากเปลวเพลิงที่ลุกโหมอยู่บนหอคอยทิศตะวันตก เสียงโห่ร้องของทหารแคว้นเยี่ยนดังก้องมาจากเบื้องล่าง ผสมปนเปไปกับเสียงเครื่องยิงหินที่พุ่งเข้ากระทบกำแพงเมืองจนสั่นสะเทือนบนยอดกำแพงสูง แม่ทัพเฉินหรง ยืนเด่นเป็นสง่า มือหนึ่งกุมกระบี่แน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ใบหน้าที่ผ่านศึกมาโชกโชนบัดนี้เต็มไปด้วยหยดเหงื่อและความกังวล“พวกมันบุกมาเร็วเกินไป! ราวกับว่าพวกมันรู้เส้นทางการเดินทัพลับและจุดอ่อนของค่ายกลป้องกันเมืองเราอย่างทะลุปรุโปร่ง! ใคร... ใครกันที่เป็นคนทรยศส่งข่าวนี้ให้แคว้นเยี่ยน!”ท่ามกลางความโกลาหล ทหารนายหนึ่งวิ่งมารายงานด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า“รายงานท่านแม่ทัพ! แม่ทัพหน้าของฝ่ายศัตรู... เขาไม่ได้ใช้ยุทธวิธีปกติพ่ะย่ะค่ะ! เขาเข่นฆ่าองครักษ์หน้าประตูเมืองราวกับพยัคฆ์เข้าขย้ำฝูงแกะ ที่สำคัญ... เขาใส่หน้ากากเงินและใช้เพลงกระบี่ที่... ที่เหมือนกับฝ่าบาทและอ๋องอวี้ไม่มีผิดเพ
คุกใต้ดินหลวง ยามค่ำ ความเย็นยะเยือกของอิฐหินที่เปียกชื้นซึมผ่านอาภรณ์หรูหราของฮองเฮาจนถึงผิวหนัง อวิ๋นซินเยว่ ถูกจองจำอยู่ในห้องขังลึกที่สุดของวังหลวง ที่นี่ไม่มีแสงตะวัน มีเพียงเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินสม่ำเสมอรราวกับเสียงเข็มนาฬิกาที่นับถอยหลังสู่ความตาย นางนั่งนิ่งอยู่บนกองฟางแห้ง ดวงตาเรียบเฉยแต่สมองกลับทำงานอย่างรวดเร็วราวกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “เสี่ยวหลิง... รายงานสถานะปัจจุบันของฝ่าบาทและกองทัพชายแดน!” [ติ๊ง! รายงานสถานะครับหม่าม๊า! สัญญาณชีพของฝ่าบาทเริ่มอ่อนแรงลง 5%... สารประกอบหญ้าลืมอายุ ในยาที่ซูกุ้ยเฟยป้อนซ้ำเข้าไปกำลังเริ่มเผาผลาญพลังชีวิตสำรองของพระองค์ ส่วนทางชายแดน... กองทัพแคว้นเยี่ยนปะทะกับหน่วยกักกันโรคของแม่ทัพเฉินหรงแล้ว!สถานการณ์ตึงเครียดมากครับ ถ้าภายใน 24 ชั่วโมงนี้ไม่มีคำสั่งเด็ดขาดจากส่วนกลาง ป้อมหิมะขาวอาจจะแตก!] อวิ๋นซินเยว่กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้เลยกับความเดือดดาลในใจ “ซูกุ้ยเฟยคิดว่าขังฉันไว้ที่นี่แล้วจะจบเรื่องงั้นเหรอ นางคงลืมไปว่าในยุคที่ฉันจากมา... การสื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปากต่อปาก!” นางดึงปิ่นป
ตำหนักบรรทมส่วนพระองค์ ยามวิกาลที่มืดมิดที่สุดกลิ่นกำยานหอมอ่อน ๆ ที่เคยทำให้จิตใจสงบ บัดนี้กลับถูกกลบด้วยกลิ่นขื่นปร่าของสมุนไพรเคี่ยวเข้มข้นที่ลอยอบอวลไปทั่วห้องบรรทม แสงเทียนวูบไหวสะท้อนเงาของร่างสูงสง่าบนเตียงมังกรที่บัดนี้ดูเปราะบางราวกระเบื้องเคลือบที่พร้อมจะแตกสลาย องค์จักรพรรดิอวี้เหยียน ทรงบรรทมสนิท ลมหายใจแผ่วเบาจนน่าใจหาย พระพักตร์ที่เคยคมคายและเปี่ยมด้วยอำนาจ บัดนี้ซีดเผือดราวกับคนหลงทางในม่านหมอกอวิ๋นซินเยว่ นั่งอยู่ข้างเตียง มือเรียวบางกุมพระหัตถ์ที่เย็นเฉียบของเขาไว้แน่น นางไม่ได้หลับมาสามวันสามคืนแล้ว ขอบตาที่รื้นแดงไม่ได้เกิดจากความอ่อนล้า แต่เกิดจากความวิตกกังวลที่อัดแน่นอยู่ในอก“เสี่ยวหลิง... เริ่มการสแกนขั้นสูงอีกครั้ง ฉันต้องการผลวิเคราะห์ที่แม่นยำ 100% ห้ามมีความผิดพลาดแม้แต่มิลลิกรัมเดียว!”[ติ๊ง!ระบบกำลังวิเคราะห์องค์ประกอบของยาถอนพิษชุดล่าสุด...ประมวลผลเสร็จสิ้น98 เปอร์เซ็นต์] หน้าจอเสมือนสีฟ้าใสที่เห็นได้เพียงนางคนเดียวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ข้อมูลโครงสร้างทางเคมีของสมุนไพรโบราณถูกจำแนกออกมาเป็นตัวเลขและกราฟที่น่าสะพรึงกลัว[ผลการวิเคราะห์พบสารสกัดจาก‘หญ้าล
ตำหนักบรรทมส่วนพระองค์สามวันหลังจากการแต่งตั้งกุ้ยเฟยบรรยากาศในตำหนักดูเคร่งเครียดกว่าปกติ องค์จักรพรรดิอวี้เหยียน กำลังเข้าสู่ช่วง วิกฤตการรักษาตามที่ ซูกุ้ยเฟย ได้เตือนไว้ พระวรกายของพระองค์ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ไข้สูงกลับมาเป็นระยะ และทรงหลับลึกกว่าปกติ... ราวกับสลบไป!อวิ๋นซินเยว่ เฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง นางยังคงใช้ศาสตร์ทางการแพทย์จากโลกปัจจุบันผสมผสานกับความรู้จากซูกุ้ยเฟยผ่านตำราที่ไทเฮาเก็บรักษาไว้ เพื่อประคองชีพพระองค์ไว้!ซูกุ้ยเฟย เข้ามาตรวจดูอาการทุกวัน นางปฏิบัติต่อองค์จักรพรรดิอย่างเคร่งครัดและเป็นมืออาชีพ แต่สายตาที่มองมายังฮองเฮายังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและความไม่ไว้วางใจ!“ฮองเฮา! พระอาการของฝ่าบาทเป็นไปตามที่ตำราระบุ! ในช่วงเจ็ดวันต่อจากนี้... พิษเก่ากำลังถูกกำจัดอย่างรุนแรง! พระองค์จะไม่สามารถทรงงานได้เลยแม้แต่น้อย! หากมีความผิดพลาดในการรักษาแม้เพียงเล็กน้อย... พระวรกายอาจจะไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก!”“กุ้ยเฟย! ข้าทราบดี! ข้าในฐานะฮองเฮา จะไม่อนุญาตให้ใครเข้ามารบกวนฝ่าบาทในช่วงวิกฤตนี้! เจ้าจงดูแลการจัดหาตัวยาทั้งหมดให้ถูกต้องตามตำราที่ไทเฮาเก็บไว้! ถ้ามีสมุนไพรใดขาดไป..
ท้องพระโรงลับ ยามอรุณรุ่งพิธีการสถาปนา สนมซูเหมยเยว่ ขึ้นเป็น กุ้ยเฟย ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วนในท้องพระโรงส่วนพระองค์ มีเพียงไทเฮา เสนาบดีซู และขุนนางคนสำคัญที่วางใจได้เท่านั้นที่เข้าร่วมพิธี เพื่อป้องกันมิให้ข่าวการประชวรของจักรพรรดิรั่วไหลองค์จักรพรรดิอวี้เหยียน ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าซีดเซียว ยาถอนพิษชุดแรกทำให้พระวรกายอ่อนล้าอย่างหนัก แต่ดวงตาของพระองค์ยังคงเปี่ยมด้วยอำนาจ ข้างกายของพระองค์คือ อวิ๋นซินเยว่ ในชุดฮองเฮาเต็มยศ... นางยืนอย่างมั่นคงราวกับเสาหลักของบัลลังก์!“สนมซูเหมยเยว่! เจ้าได้แสดงความซื่อสัตย์ต่อแคว้นอวี้... และต่อชีวิตของข้า! บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็น ‘กุ้ยเฟย’ ผู้ซึ่งมีศักดิ์สูงสุดรองจากฮองเฮา! และขอพระราชทาน ‘ตราเหยี่ยวเงิน’ ให้แก่เจ้า! ตรานี้จะมอบอำนาจในการดูแลพิธีการทั้งหมดในวังหลวง... และควบคุมพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งที่สำคัญในการดูแลพระวรกายของข้า! ขอให้เจ้าจงภักดีต่อข้า... และต่อแคว้นอวี้ไปชั่วชีวิต!” สนมซูเหมยเยว่ คุกเข่ารับตำแหน่งด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยเกียรติยศ แต่นางยังคงมองไปยัง อวิ๋นซินเยว่ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวง! นางรู้ดีว่าอำนาจที่







