Se connecterองค์จักรพรรดิอวี้เหยียนและอวิ๋นซินเยว่ยังคงอยู่ ณ ซุ้มดอกเหมยอันเงียบสงบ กลิ่นหอมของซุปดอกไม้จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายของอำนาจและการนองเลือด!
กงกงอี้จิ้งที่เพิ่งรายงานเรื่องการค้นพบสิ่งต้องห้ามในเรือนซูกุ้ยเฟย รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่กันเพียงลำพัง อวิ๋นซินเยว่จ้องมององค์จักรพรรดิด้วยความตื่นตะลึง "ฝ่าบาท..." เธอถามเสียงแผ่ว "เอกสารลับที่ส่งไปยังแดนเหนือ...มันคืออะไรกันแน่เพคะ?" อวี้เหยียนใช้ผ้าเช็ดริมฝีปากอย่างช้า ๆ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์อย่างที่สุด แต่แววตาเต็มไปด้วยความมืดมิดที่ยากจะหยั่งถึง "เจ้าคิดว่ามันคืออะไร" พระองค์ถามกลับ "หม่อมฉันคิดว่า...มันเป็นแผนที่ซูกุ้ยเฟยต้องการโค่นล้มหม่อมฉันเพคะ" เธอตอบอย่างระมัดระวัง อวี้เหยียนหัวเราะในลำคอ เป็นเสียงที่เยือกเย็นจนถึงขั้วหัวใจ "นางต้องการโค่นล้มเจ้าจริง... แต่เอกสารลับนั้น... ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง" อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้าง! เธอรู้ว่าพระเอกโหดร้าย…แต่ไม่คิดว่าจะเด็ดขาดและรวดเร็วถึงเพียงนี้! "เจ้าคงจำเรื่องสร้อยหยกที่แตกไปได้" พระองค์กล่าวต่อ "ผงยาพิษในสร้อยนั้น... เป็นสัญญาณที่ข้าต้องทำลาย ซูกุ้ยเฟยอาจเป็นเพียงแค่สตรีที่น่ารำคาญ แต่ตระกูลของนางและผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหาก คือรากเหง้าของภัยคุกคามที่จะทำให้เจ้าต้องหวาดกลัว" "เอกสารที่ส่งไปยังแดนเหนือนั้น...เป็นเอกสารปลอมที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงซูกุ้ยเฟยเข้ากับพี่สิบสาม" พระองค์สารภาพอย่างเลือดเย็น "ข้าใช้โอกาสที่เจ้าทำลายบัลลังก์วังหลังของนางด้วยงานเลี้ยงอันงดงามนี้ เพื่อยืมมือไทเฮาจัดการกับนาง... โดยมีข้อหาที่รุนแรงพอให้ใครก็ไม่อาจปกป้องได้! นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้... ฮองเฮา! เมื่อเจ้าเป็นของข้า... ศัตรูของเจ้าทุกคนต้องถูกทำลายอย่างสิ้นซาก!" ด้านตำหนักฉือหนิง ไทเฮาฉงฮวาทรงพระพักตร์เคร่งเครียด เอกสารลับ ที่พบในเรือนซูกุ้ยเฟยนั้นรุนแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด มันแสดงถึงการติดต่อลับ ๆ กับผู้ที่อยู่แดนเหนือ และแผนการบางอย่างที่อาจเป็นภัยต่อราชบัลลังก์! ไทเฮารู้ดีว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง และทรงมองเห็นความตั้งใจขององค์จักรพรรดิอวี้เหยียน ที่ต้องการใช้โอกาสนี้กำจัดศัตรู "ซูกุ้ยเฟยเป็นบุตรีของเหอหย่งโหว... ตระกูลของนางมีอิทธิพลต่อทัพหลวงทางใต้มากเกินไป เราไม่อาจประหารนางได้ในทันที! มิฉะนั้นจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในกองทัพ!" ไทเฮาทรงตรัสด้วยความไม่พอใจ นางต้องรักษาซูกุ้ยเฟยไว้เพื่อคานอำนาจของตระกูลอวิ๋นและอวิ๋นฮองเฮาให้ได้! และเพื่อไม่ให้ราชสำนักเกิดความระส่ำระสาย! "ในเมื่อหลักฐานยังไม่แน่ชัดถึงการลงมือ ข้าขอสั่ง...!" พระนางประกาศก้อง! "ซูกุ้ยเฟย... ให้ถูกถอดตำแหน่งลงเหลือเพียง ซูผิน และถูกกักบริเวณในตำหนักเย็น! จนกว่าการไต่สวนจะสิ้นสุด! หากมีการกระทำผิดที่แน่ชัดเมื่อใด... ก็จะถูกลงโทษด้วยสถานหนัก! ห้ามใครเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด!" การตัดสินใจนี้ฉลาดเฉลียว! ไทเฮาทรงรักษาชีวิตซูกุ้ยเฟยไว้ได้ โดยใช้ข้อหาเพื่อกักขังนางไว้ไม่ให้เป็นภัยต่อวังหลังและไม่ให้อำนาจของตระกูลฮองเฮาเติบโตเกินไป! แต่ในขณะเดียวกัน...ก็เป็นการสร้างศัตรูตัวฉกาจให้กับอวิ๋นซินเยว่ในอนาคต! ในตำหนักทรงงาน อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ข้างองค์จักรพรรดิ อวี้เหยียนไม่ปล่อยให้เธอห่างไปไหนตามคำสั่งลงโทษของเขา เธอเริ่มเรียนรู้เรื่องราชกิจ แต่วันนี้... เธอเรียนรู้เรื่องความเลือดเย็นของผู้มีอำนาจ "ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าไทเฮาทรงมีพระบัญชาอย่างไร" เธอถามด้วยความเป็นกังวล "แน่นอน" พระองค์ตอบโดยไม่เงยหน้าจากฎีกา "ซูกุ้ยเฟย... ถูกถอดถอนลงมาเป็นเพียงซูผิน! และถูกกักขังไว้ในตำหนักเย็น นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดทางการเมือง เพราะตระกูลซูต้องถูกรักษาไว้เพื่อเป็นฐานอำนาจของเรา" "แต่... นี่หมายความว่าหม่อมฉันต้องเผชิญหน้ากับนางอีกครั้งในอนาคตนะเพคะ!" อวี้เหยียนเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจที่น่ากลัว "เจ้าไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับนางอีก" "ในเมื่อข้าดึงพี่สิบสามกลับมาแล้ว" อวิ๋นซินเยว่ตกตะลึงจนตัวแข็ง! "ดึง...กลับมา? ด้วยข้อหาการติดต่อลับกับซูกุ้ยเฟยหรือเพคะ!?" "ใช่" พระองค์ตอบสั้น ๆ "เอกสารลับในเรือนซูนั้นรุนแรงพอจะทำให้เขาต้องกลับมาเมืองหลวงเพื่อ 'แก้ต่าง' ให้กับตนเอง เขาไม่มีทางเลือก... เพราะหากเขาไม่กลับมา ย่อมเท่ากับยอมรับข้อหากบฏ! แต่ถ้าเขากลับมา... เขาก็ต้องมาเผชิญหน้ากับข้า! และเผชิญหน้ากับเจ้า!" "ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เพื่ออะไรเพคะ! ทรงต้องการกำจัดองค์ชายสิบสามด้วยข้อหากบฏหรือเพคะ!" อวิ๋นซินเยว่ถามเสียงสั่นเครือ เธอรู้ดีว่าองค์ชายสิบสามคือคนดีคนหนึ่ง! อวี้เหยียนโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาห่างจากเธอเพียงคืบ ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขารดอยู่บนแก้มของเธอ "ไม่! ฮองเฮา!" พระองค์กระซิบเสียงต่ำ เต็มไปด้วยความคลั่งรักที่น่ากลัว "ข้าทำเพื่อเดิมพันต่างหาก! เจ้ามีความรู้สึกให้เขา! แม้เจ้าจะปฏิเสธ! แต่ข้าสัมผัสได้ถึงความผูกพันบางอย่าง! ข้าต้องการให้เจ้าเห็นความจริงด้วยตาของเจ้าเอง! ว่าใครกันแน่ที่คู่ควรกับความรักของเจ้า!" "ข้าจะทำให้เขาเห็นว่าสตรีที่เขารัก บัดนี้เป็น 'ของข้า' อย่างสมบูรณ์แบบ! และข้าจะทำให้เจ้าเห็นความแตกต่าง' ระหว่างความอ่อนโยนจอมปลอมของเขา กับความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์ของข้า!" "นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุด! ระหว่างข้ากับเขา และเจ้า...คือรางวัลของข้า!" [ติ๊ง! อวี้อ๋องกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง! ระดับความเสี่ยง:พุ่งสูงถึง99!]ค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







