Masukบ้านเอกเดชาพิพัฒน์
สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือโถงห้องรับแขกที่เดิมเคยมีเฟอร์นิเจอร์หรูมูลค่าหลายสิบล้านที่คุณตาหวงแหนตั้งอยู่ ตอนนี้ทุกอย่างถูกเคลียร์โล่งเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับงานปาร์ตี้ ทั้งลูกโป่ง ริบบิ้น กระดาษสีมากมายเกลื่อนพื้นไปหมด แล้วยังมีพลุกระดาษถูกยิงขึ้นไปติดอยู่บนรูปที่แปะไว้ใจกลางของห้องรับแขกนั่นอีก
รูปคุณตา คุณยาย แล้วก็แม่ของฉัน สามคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้กำลังถูกหยามเกียรติโดยใครก็ไม่รู้ที่มันไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลฉันด้วยซ้ำ แล้วไหนจะแขกในงานวันเกิดที่ร้องเจี๊ยวจ๊าวเหมือนลิงหลุดมาจากสวนสัตว์ ผู้ปกครองที่มางานก็ยังไม่สนใจดูแลลูก ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรพวกนี้มันขึ้นไปกระโดดอยู่บนโซฟาของคุณตาอีก
“เท็กซัสลูก อย่ากระโดดสิครับ” ฉันคิดว่าคนเป็นแม่คงมีจิตสำนึกอยู่บ้าง หากว่าไม่ได้ยินคำพูดต่อมา “เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง ลงมาลูก”
“พอกันที!”
ฉันเดินตรงเข้าไปภายในงานแม้ว่าจะมีการรั้งต้นแขนเล็กๆ จากคนที่เดินมาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดความตั้งใจที่จะทำลายงานวันเกิดแสนอัปรีย์ในครั้งนี้
“เรนิส...” คนที่เรียกชื่อฉันไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ของราอุลอย่างยัยไข่มุกนั่นเอง ผู้หญิงที่อายุมากกว่าฉันแค่ 4 ปี แต่กลับมีลูกชายที่อายุ 7 ขวบกับพ่อทั้งที่แม่ฉันเพิ่งตายได้ปีเดียว
มีลูกตั้งแต่อายุ 20 มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรหรอก แต่ที่น่าสมเพชคือผู้ชายคนนั้นเขามีเมียอยู่แล้ว
แพศยา ไม่มีคำไหนเหมาะกับเธอมากไปกว่าคำนี้แล้วล่ะ
“ออกไปจากบ้านฉันให้หมด หัวหงอกหัวดำเด็กเล็กเด็กโตก็ช่าง ออกไปถ้าไม่อยากตาย!”
ฉันตะโกนเสียงดังลั่นพลางมองหน้าคนในงานทีละคน ไม่ได้สนใจว่าจะมีคนเริ่มกระซิบกระซาบเหมือนไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ตอนนี้ฉันทั้งโกรธทั้งแค้น ทั้งอยากกระชากหัวคนพวกนี้มาตบล้างน้ำทีละคน
“หยุดนะเรนิส...” ยัยไข่มุกพยายามเข้ามาหยุด แต่ก็โดนฉันตอกหน้าหงายไปอีกคน
“อย่ามาเรียกชื่อฉัน นังเสร่อ”
“นี่งานวันเกิดน้องนะ อย่ามาทำตัวก้าวร้าวแถวนี้” ผู้เป็นแม่คงกลัวว่าลูกชายจะหน้าแตกต่อหน้าเพื่อน ส่วนตัวเองก็ต้องเสียหน้าต่อหน้าพ่อแม่เด็กๆ พวกนี้ พวกคุณหญิงคุณนายที่คิดจะเกาะอำนาจคนในวงสังคมเดียวกัน ไม่รู้หรือไงว่าที่เกาะๆ อยู่นี่น่ะของปลอม!
“หล่อนมีสิทธิ์มาสั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่นังเมียน้อย แล้วน้องอะไร ฉันไม่นับญาติกับพวกแก เก็บของออกไปจากบ้านฉันซะ!”
“จะทำอะไรก็ช่วยคิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่เธอบ้างนะ อย่าลืมสิว่าเธอคือทายาทของเอซีกรุ๊ป ทำตัวต่ำๆ แบบนี้ไม่กลัวคนเขาว่าให้หรือไง”
“ทายาทอะไรยะ หล่อนละเมออะไรอยู่ ฉันมีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายที่จะนั่งตำแหน่งประธานที่ผัวเธอนั่งอยู่ ไม่ต้องรอให้ใครตายก่อนฉันก็ทำงานได้เลย อย่ามาพูดให้ได้ยินว่าฉันต้องรับช่วงต่อใครอีก”
เธอคงรู้ตัวว่าเถียงยังไงก็ไม่ชนะเลยเงียบไป นั่นยิ่งทำให้ฉันได้ใจใหญ่
“หวังว่าเธอคงจะกอดใบทะเบียนสมรสไปได้ตลอดนะ เพราะเมื่อไหร่ที่ฉันได้ตำแหน่งคืนมาเธอกับลูกไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่ อย่าลืมนะว่าเธอกับลูกไม่ได้มีสายเลือดเอกเดชาพิพัฒน์”
“จะเกินไปแล้วนะ คิดหรือเปล่าว่าถ้าคุณพ่อได้ยินแบบนี้ท่านจะว่ายังไง”
“จะว่ายังไงได้ เขาก็ไม่ต่างจากเธอหรอก ขยะ...”
“เมื่อกี้แกพูดว่ายังไงนะ?”
บทสนทนาของเราทั้งคู่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงดุๆ ที่ฉันแสนจะคุ้นเคย ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้า
“กลับบ้านมาวันแรกก็เอาเลยเหรอ ฉันคงเลี้ยงแกมาไม่ดีสินะเลยทำให้แกก้าวร้าวใส่ไข่มุกเขาแบบนี้” ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความไม่พอใจ สายตาขุ่นเคืองมองมาที่ฉันจากนั้นก็จ้องไปที่บอดี้การ์ดคนใหม่ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังฉัน
ใบหน้าของพ่อไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำของฉันเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรังเกียจเขายิ่งกว่าครั้งไหนๆ คือก่อนที่ฉันจะไปฮ่องกง เขาทรุดตัวลงหน้าโลงศพของแม่แล้วร้องไห้เหมือนใจจะขาด นั่นมันก็แค่เรื่องโกหกใช่ไหม?
ดูจากท่าทางของเขาตอนนี้อย่าว่าแต่เสียใจ คงดีใจมากกว่าที่แม่ฉันตาย
เลวยันกระดูกจริงๆ
“คุณพาแขกไปที่โซนด้านนอกเถอะ ตรงนี้ผมจัดการเอง” เขาหันไปบอกกับนังเมียน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าตอนพูดกับฉันมาก ซึ่งยัยนั่นก็กำลังจะพาทุกคนในงานออกไป แต่ฉันเรียกเอาไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไปไหนสิคะ หนูเพิ่งมาถึงจะไล่แขกไปเลยหรือไง หรือว่า...กลัวหนูจะพูดอะไร?” ฉันแสยะยิ้มให้ทั้งคู่ราวกับจะส่งสัญญาณเตือน ถ้าพวกเขายังไม่ออกไปจากบ้านของฉัน วันนี้งานวันเกิดจะต้องกลายเป็นสงครามแน่ๆ
“แกจะมาสร้างความวุ่นวายอะไรอีก ไนธ์ พาเรนิสไปคอนโดที่ฉันเตรียมไว้”
“ไม่ไป ที่นี่บ้านหนู บ้านที่หนูโตมาจนอายุ 18 ตอนนั้นพ่อไม่ชอบคุณตาเลยไม่มาเหยียบที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมตอนที่คุณตาตายพ่อถึงพาเมียน้อยเข้ามาอยู่นี่ได้”
“ยัยเรนิส หยุด...” เขากัดฟันกรอด คงทนไม่ได้กับคำพูดของฉัน แน่นอนว่าฉันรู้จักพ่อตัวเองดี ทุกวันนี้ที่ฉันโมโหง่ายก็เป็นกรรมพันธุ์ที่ได้มาจากเขานั่นแหละ
เขาว่า...เชื้อไม่ทิ้งแถว นั่นคงจะจริง
“พ่อมาอยู่บ้านนี้หนูไม่ว่า แต่อย่ามาทำเหมือนหนูเป็นคนนอกแล้วอีนี่เป็นเจ้าของบ้าน ลูกมันก็ด้วย”
“ฉันบอกให้แกหยุด”
“มันเป็นแค่เมียน้อย พ่อได้ยินไหมคะว่ามันเป็นแค่เมียน้อย!!”
“เรนิส!!”
ในที่สุดฉันก็ยั่วโมโหเขาได้สำเร็จ มือหนาเงื้อขึ้นเตรียมจะตบหน้าฉัน ก่อนที่เขาจะฟาดมันลงมาอย่างไม่ออมแรง
ฉันรู้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บจนต้องกรีดร้องออกมา แต่ก็ไม่คิดหลบ ได้แต่หลับตารอรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น...
เพียะ!!
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังสนั่นไปทั่วทำให้เกิดความเงียบขึ้นในทันที ทว่าฉันก็ต้องลืมตาขึ้นมองอย่างแปลกใจ เพราะใบหน้าซีกซ้ายไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด
พอลืมตาขึ้นมาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม
“มึงมาขวางทำไมไอ้ไนธ์!”
ตรงหน้าฉันคือบอดี้การ์ดหนุ่มที่ควรจะยืนอยู่ด้านหลังก่อนหน้านี้ ใบหน้าของเขาหันไปตามแรงตบแล้วหันมามองหน้าคนทำอย่างช้าๆ วินาทีที่เขาหันกลับมา ฉันพบว่าใบหูข้างที่สวมอินเอียร์ของเขามีของเหลวสีแดงสดไหลออกมา
เขาเจ็บ...แต่ก็ยังตอบไปเสียงเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หน้าที่ผมคือดูแลคุณหนูตามคำสั่งท่านครับ”
เหอะ ทำหน้าที่บอดี้การ์ดที่ดีเหรอ ตอนนี้เนี่ยนะ? เขามันบ้าไปแล้ว สติไม่ดีหรือว่าโดนซ้อมจนเอ๋อเหรอ หรือเพราะฉันด่าที่สนามบินเลยทำให้เขาคิดได้ขึ้นมา
“มึง...” พ่อที่เป็นเจ้านายของเขาถึงกับกัดฟันกรอด “หน้าที่มึงคือคอยดูไม่ให้มันไปวุ่นวายที่บริษัท ไม่ใช่มาปกป้องตอนพ่อสั่งสอนลูก!”
“ขอโทษครับ”
“เดี๋ยวสิ นายจะไปขอโทษเขาทำไม เขาทำร้ายฉันนะ นายเป็นบอดี้การ์ดก็ต้องปกป้องฉันสิ” ฉันพยายามเข้าไปใส่ไฟ ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่เกินครึ่งเป็นครอบครัวผู้มีอำนาจ เรื่องความชั่วของพ่อจะต้องถูกเล่าต่อในวงกว้าง ไม่แน่ว่าฉันอาจทวงความยุติธรรมให้ตากับแม่ได้ง่ายกว่าที่คิด
“ขนาดผู้ชายที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีอย่างเขายังเลือดไหล แล้วถ้าเมื่อกี้พ่อตบเข้าหน้าหนูหนูจะเจ็บแค่ไหน เข้าข้างเมียน้อยหนูก็ไม่ว่าหรอกนะคะ แต่ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย” ฉันเริ่มใส่อารมณ์ดราม่าเข้าไปในน้ำเสียง เห็นหอย่างนี้ทักษะการแสดงของฉันก็เป็นเลิศ
เริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉันจึงอาศัยจังหวะนี้เดินไปจับมือบอดี้การ์ดของตัวเองเพื่อเรียกคะแนนสงสาร
“เจ็บไหมคะ?” ฉันหันไปพูดกับไนธ์เสียงแผ่ว แต่แล้วก็เจอสายตาดุๆ ของเขาหันมาจิกใส่
ทำไม ฉันจะทำเสียอย่างใครจะห้ามฉันได้ อาศัยจังหวะที่เห็นเขาเลือดออก ใช้โอกาสนี้พาเขาไปโรงพยาบาลให้พ่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้น่ะอยู่ข้างฉัน เอาให้คนอย่างพ่อที่พยายามใช้อำนาจกดฉันลงอกแตกตายไปเลย
“แกไม่ต้องมาแสดง กลับคอนโดไปซะ ห้ามกลับมาจนกว่าฉันจะสั่ง”
“พ่อไม่เห็นเหรอคะว่าบอดี้การ์ดของหนูบาดเจ็บ หนูจะไปส่งเขาที่โรงพยาบาลค่ะ แล้วก็จะไปไหว้ศพคุณตาด้วย ไปบอกตาว่าตอนนี้ในบ้านมีแต่ขยะ...” ฉันเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเหล่าแม่ๆ ที่สะดุ้งกันเป็นแถบ “อุ๊บส์ หนูไม่ได้ว่าพวกคุณนะคะ ใครอยากรับก็รับ”
“เรนิส”
“ลาค่ะ หวังว่ากลับมาแล้วจะไม่เจอขยะในบ้านอีกนะคะ”
ก็แค่นั้นแหละ หึ
แผลที่หูก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ทำไมฉันต้องไปใส่ใจด้วยว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า คนเราจะมาเป็นบอดี้การ์ดได้มันต้องผ่านการฝึกหนักมาก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำแต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าเรื่องหูแตกของคนคนเดียว คือคอนโดที่เขาพาฉันมานี่ต่างหาก ในทีแรกคิดว่ามานอนสักคืนคงไม่เป็นไร เพราะฉันไม่ได้กลับบ้านนานห้องนอนเดิมคงยังไม่ได้รับการทำความสะอาด แต่ไม่คิดว่าที่ที่เขาพามามันจะทุเรศได้ขนาดนี้“เอาลูกสาวแท้ๆ มาขังไว้กับผู้ชายสองต่อสองไม่กลัวลูกจะถูกข่มขืน เขานี่เกิดมามีแค่ไอ้นั่นไว้สืบพันธุ์จริงๆ ไม่ได้มีความเป็นพ่อคนเลยสักนิด”ฉันบ่นอุบทันทีที่มาถึง ไหนจะเหนื่อยจากการเดินทาง ไหนจะรองเท้าส้นเข็มสูงกว่า 4 นิ้วที่ใส่มาทั้งวัน มาถึงห้องนี้อีกอย่างที่ฉันทำนอกจากบ่นคือถอดรองเท้าออกเพราะมันเจ็บมาก เจ็บจนฉันแทบจะเดินเท้าเปล่าไม่ไหว ทั่วทั้งฝ่าเท้ามีอาการบวมแดงจนต้องอาศัยการนวดเบาๆ เพื่อให้คลายความเจ็บปวดลงอ้อ ส่วนเรื่องห้อง เขาให้ฉันอยู่ในคอนโดราคาถูกๆ ที่ไม่ได้เก็บเสียงอะไรเลยสักนิด ตั้งแต่เข้ามาก็ได้ยินเสียงข้างห้องทะเลาะกันอยู่เป็นระยะ แล้วยังต้องอยู่ร่วมชายคากับไอ้บ้านี่อีก
คนเจ็บขึ้นมาบนรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ แค่ถอดอินเอียร์ที่ชุ่มเลือดออกแล้วสตาร์ทรถเงียบๆ เป็นภาพที่สยดสยองจนแทบไม่อยากมอง“ไปโรงพยาบาลสิ เดี๋ยวก็แก้วหูแตกฉันไม่รู้ด้วยนะ” ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะบอกให้เขาไปโรงพยาบาลโดยไม่แสดงความเป็นห่วง ฉันแค่กลัวว่าจะมีคนมาเจ็บตัวแทนทั้งที่ไม่ต้องการ ไม่อยากมาเป็นหนี้บุญคุณกันให้ต้องตามติดไปถึงชาติหน้าเพราะผู้ชายอย่างเขา เจอชาติเดียวก็เกินพอแต่เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาแล้วสตาร์ทรถออกตัวไปในทันที“แก้วหูแตกไปจริงๆ แล้วมั้ง สมน้ำหน้า” พูดพร้อมเบะปากด้วยความสะใจ“คุณควรจะขอโทษผมสักคำนะ”อ้าว ก็ได้ยินนี่ มีหูแต่ทำเป็นไม่มี แม่ทำให้แตกเพิ่มอีกสักข้างดีไหม น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย“ขอโทษเรื่องอะไร? นายเอาตัวเข้ามาขวางเองนี่”“เรียนก็สูง วิชามารยาทเขาไม่สอนเหรอ?”“นายหลอกด่าฉันเหรอ!” ฉันกำหมัดแน่น ใจอยากจะทุบเขาให้ตายคามือ แต่พอเห็นว่าเขาเจ็บเพราะฉันเลยได้แต่เก็บมือลงที่เดิมแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆใจเย็นไว้เรนนี่ เย็นไว้ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง“ไปโรงพยาบาล” ฉันสั่งเสียงเข้ม แล้วยกมือขึ้นกอดอกเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์มากๆเกิดว่ามีใครมา
บ้านเอกเดชาพิพัฒน์สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือโถงห้องรับแขกที่เดิมเคยมีเฟอร์นิเจอร์หรูมูลค่าหลายสิบล้านที่คุณตาหวงแหนตั้งอยู่ ตอนนี้ทุกอย่างถูกเคลียร์โล่งเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับงานปาร์ตี้ ทั้งลูกโป่ง ริบบิ้น กระดาษสีมากมายเกลื่อนพื้นไปหมด แล้วยังมีพลุกระดาษถูกยิงขึ้นไปติดอยู่บนรูปที่แปะไว้ใจกลางของห้องรับแขกนั่นอีกรูปคุณตา คุณยาย แล้วก็แม่ของฉัน สามคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้กำลังถูกหยามเกียรติโดยใครก็ไม่รู้ที่มันไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลฉันด้วยซ้ำ แล้วไหนจะแขกในงานวันเกิดที่ร้องเจี๊ยวจ๊าวเหมือนลิงหลุดมาจากสวนสัตว์ ผู้ปกครองที่มางานก็ยังไม่สนใจดูแลลูก ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรพวกนี้มันขึ้นไปกระโดดอยู่บนโซฟาของคุณตาอีก“เท็กซัสลูก อย่ากระโดดสิครับ” ฉันคิดว่าคนเป็นแม่คงมีจิตสำนึกอยู่บ้าง หากว่าไม่ได้ยินคำพูดต่อมา “เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง ลงมาลูก”“พอกันที!”ฉันเดินตรงเข้าไปภายในงานแม้ว่าจะมีการรั้งต้นแขนเล็กๆ จากคนที่เดินมาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดความตั้งใจที่จะทำลายงานวันเกิดแสนอัปรีย์ในครั้งนี้“เรนิส...” คนที่เรียกชื่อฉันไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ของราอุลอย่างยัยไข่มุกนั่นเอง
[Reinist’s part]สนามบินสุวรรณภูมิบริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ผู้คนต่างพากันป้องปากซุบซิบแล้วมองมายังจุดนี้เป็นตาเดียว บ้างก็นินทา บ้างก็ชื่นชม บ้างก็เดาไปต่างๆ นาๆ ว่ายัยคนสวยขายาวสวมเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดซ้ำยังมีชายชุดดำเดินตามถึงสองคนคนนี้คือใครฉันเริ่มจะชินซะแล้วล่ะกับสายตาพวกนี้ที่มองมา ในฐานะของคุณหนู รุณนสา เอกเดชาพิพัฒน์ ทายาทรุ่นต่อไปของ AC-Groups ชื่อบริษัทที่ครอบครองธุรกิจหลากหลายประเภทจนคนชินตา การถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆแต่ผู้คนที่นี่อาจไม่ได้มองเพราะชื่อเสียงของฉัน เพราะผู้หญิงชุดแดงหาที่ไหนก็หาได้ แต่คนที่หุ่นดีขาเรียวยาวซ้ำยังรูปร่างเข้ากับการดีไซน์ของชุด แล้วยังมีผิวขาวที่โดดเด่นรับกับชุดสีทับทิมนี่เป็นอย่างดี จะมีสักกี่คนกันแต่ว่านะ...ใต้ความสวยชีวิตฉันก็มีเรื่องน่ายกนิ้วกลางให้อยู่ ทั้งชีวิตของการรับบทคุณหนูมีแต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องหมดความศรัทธาในสถาบันครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆพ่อแต่งงานกับแม่เพื่อใช้นามสกุลของคุณตา ทิ้งแม่ที่ป่วยให้ตายโดยไม่ยอมพยายามรักษาอย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวอย่างฉันไปเ







