ถึงแม้ไม่มีวรยุทธ์หรือวิชามารอันใดเหมือนร่างเดิม
หากแต่ซานซานในร่างชิงหลินยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับเคล็ดวิชามารทุกอย่างกระทั่งการจัดทำค่ายกลทุกค่าย ยามนี้ค่ายกลแบบง่าย นางจึงสร้างขึ้นมาได้ไม่ยาก
ชาติที่แล้ว ซานซานคือจอมยุทธ์หญิงที่มีฝีมือร้ายกาจ ได้รับฉายาว่านางมารอย่างช่วยไม่ได้
พอมาชาตินี้ถึงแม้จะอ่อนแอไปหน่อย หากแต่ออกแรงมากๆ ก็เท่ากับได้ฝึกฝน มือเท้าของร่างกายนี้ยังมีครบ ไม่มีอะไรต้องกังวล ทั้งนี้การสร้างค่ายกลยังนับเป็นการฝึกวิชาเบื้องต้น ซานซานที่ชอบฝึกยุทธ์เป็นทุนเดิมจึงแช่มชื่นในการทำเรื่องเหล่านี้
หญิงสาวมีความคิดที่จะเริ่มต้นฝึกยุทธใหม่อีกครั้ง ทำเหมือนเมื่อก่อนที่เริ่มจับกระบี่ฟันดาบตั้งแต่จำความได้
เพียงแต่แรกเริ่มที่พยายามออกแรงทำงาน ซานซานถึงกับหมดพลังล้มลง หลังจากพักจนหายเหนื่อย ก็เริ่มทำใหม่ เมื่อไม่ไหวก็หยุดก่อน พอมีแรงขึ้นมาก็ทำใหม่ วนเวียนไปเช่นนั้น
ยามนี้นางกำลังเดินไปเดินมาระหว่างบ้านกับริมลำธาร ทั้งยังเดินขึ้นลงระหว่างลานหน้าบ้านกับเชิงเขาไม่หยุดหย่อน จากเช้าจรดเย็น เย็นจรดค่ำ กระทั่งทำค่ายกลพื้นฐานเสร็จในหลายวันต่อมา จนร่างกายที่เคยอ่อนแอเริ่มแข็งแรงทีละน้อย กำลังวังชาก็มีเพิ่มขึ้นมา ข้อมือข้อแขนก็เริ่มมีพลังขึ้นมาก
จ้าวเหว่ยมองการกระทำของซานซานอยู่เงียบๆ ไม่คิดสอบถามหรือห้ามปรามอันใด นัยน์ตาคมดำยังคงลึกล้ำดุจห้วงมหาสมุทรไร้ก้นบึ้ง ในใจคิดเพียงว่า นางอยากทำสิ่งใดในบ้านของเขาก็ตามใจเถิด แต่อย่ามายุ่งกับเขาก็พอ
ทว่าชายหนุ่มกลับคิดผิดไป เมื่อคืนหนึ่งมาเยือน ในจังหวะที่กำลังจะเข้านอน ซานซานพลันใช้ร่างเล็กของตนตะครุบร่างใหญ่ของเขาเอาไว้บนเตียง จับข้อมือหนามาพลิกก่อนตรวจชีพจรอย่างรวดเร็ว
“เจ้าจะทำอะไร?” จ้าวเหว่ยถามเสียงเข้ม สีหน้าไม่พอใจ
“อยู่นิ่งๆ” ซานซานหลับตาฟังเส้นสายโลหิตของอีกฝ่าย
เนื่องจากพวกเขาเป็นสามีภรรยาที่เคยเข้าหอกันแล้ว และทั้งบ้านก็มีเพียงเตียงเดียว แม้มิได้ทำกิจกรรมเคาะจังหวะอันแสนจะรัญจวนระหว่างชายหญิง แต่ยังต้องนอนด้วยกันอยู่ดี
กอปรกับคืนนี้ว่างจากงานค่ายกลแล้ว ซานซานจึงมีเวลาให้ชายผู้เป็นสามีเต็มที่
ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องในห้อง ใบหน้าของหญิงสาวจริงจังมาก แววตาแน่วนิ่ง ขึงขังเป็นพิเศษ ราวกับกำลังจะทำเรื่องที่ต้องใส่ใจที่สุดในใต้หล้า มิอาจทำพลาดได้แม้แต่นิดเดียว
จ้าวเหว่ยหรี่ตามองอย่างงุนงง ขมวดคิ้วแน่น
ซานซานเปลี่ยนจากจับชีพจรตรงข้อมือ มาจับชีพจรตรงลำคอ แล้วเลื่อนปลายนิ้วไปตามร่างกายของคนตัวสูง ไล้แผ่วเบาตามแนวกระดูก
“อะไรของเจ้า?”
จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม สร้างบรรยากาศให้เคร่งเครียด สะกดความรู้สึกร้อนวูบวาบจากสัมผัสของปลายนิ้วนาง
“ที่แท้เหย่หนิวของข้าก็ถูกทำลายวรยุทธ์มา”
ซานซานเอ่ยอย่างแปลกใจ คล้ายกับเจอเรื่องประหลาด ทว่ากิริยากลับสงบนิ่ง
“เจ้า...”
ครานี้เป็นจ้าวเหว่ยที่นึกแปลกใจมองนางตรงหน้าด้วยแววตาตะลึงงัน
อันที่จริง นางก็ทำตัวแปลกประหลาดตั้งแต่วิ่งไปวิ่งมา วิ่งขึ้นลงภูเขาแล้วสร้างกับดัก ทว่าเขาเพียงมองอยู่ห่างๆ คิดว่านางแค่เล่นสนุกก็เท่านั้น แต่ยามนี้นางกลับมิใช่สตรีอย่างที่เห็น
นางมิใช่ชิงหลินผู้โง่เขลา
เป็นที่แน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่อาจล่วงรู้ ว่าซานซานเคยสำเร็จวิชามารสารพัด ฝึกศาสตร์แห่งยุทธ์มาทุกแขนง การจับเส้นชีพจรแค่นี้ย่อมล่วงรู้ได้ไม่ยาก ทั้งยังสามารถรักษาได้อีกด้วย
คนผู้หนึ่งซึ่งเคยเป็นจ้าวสำนักอันยิ่งใหญ่ทั้งยังปกครองสมุนมากมาย เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ หากไม่รู้ คงดูแลลูกสมุนที่เสี่ยงตายเพื่อนางมิได้แล้ว
บางคนยังถูกนางหักกระดูกแล้วจับมาต่อเองด้วยซ้ำ เส้นเอ็นทั้งหลายนางยังสะบั้นกับมือแล้วจับต่อเองกับมือ
วิชายึดเส้นต่อกระดูกเปลี่ยนเอ็นเป็นความรู้พื้นฐานของวิชาฝ่ามือมรณะที่ซานซานเคยฝึกสำเร็จเมื่อชาติที่แล้ว
ถึงแม้ว่ายามนี้ยังมิทันได้เริ่มฝึกฝนวิชายุทธ์ ทว่าทุกสิ่งยังอยู่ครบภายในสมองของนาง การงัดมาใช้กับสามีย่อมดีแน่นอน
ซานซานในชาติก่อนนั้น มักจะสร้างศัตรูไปทั่ว นำภัยเข้าสำนักเสมอ ทำให้ลูกน้องต้องต่อสู้จนบาดเจ็บเกือบตายมากมาย
นางจึงต้องดูแลจนหายดี จะได้ออกไปกรำศึกทำเรื่องชั่วๆ เพื่อนางตลอดไป
มิรู้ว่าเจ้าพวกนั้นจะร้องไห้หรือหัวเราะที่นางตายเสียแล้ว
นานครู่ใหญ่ที่เรียวนิ้วของซานซานเพียงไล้แผ่วไปตามกล้ามเนื้อตึงแน่นของจ้าวเหว่ย
เบาราวปีกภมรบินผ่าน คล้ายหยอกเย้ามวลบุปผา
ทำเอาชายหนุ่มเกือบเคลิ้มตาม ทว่าพริบตาพลันได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบ!
“อ๊า...”
ค่ำคืนมืดมิด รอบด้านวังเวง บ้านไม้ไผ่อันโดดเดี่ยวริมธารพลันมีเส้นเสียงแหบพร่าถูกเปล่งออกมาจากลำคอหนาแกร่ง ฟังออกว่าเจ็บปวดสุดแสน ดังจนทะลุเรือนออกมาไกลโข
คืนนั้นทั้งคืน ไม่มีใครล่วงรู้ว่า กำลังมีชายชุดดำผู้หนึ่งนามว่าอู๋เจี๋ย ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเข้าไปช่วยองค์รัชทายาทของเขา
ทว่าการฝ่าด่านค่ายกลแปดทิศขจัดมารไม่ง่ายดาย องครักษ์หนุ่มถึงกับบาดเจ็บสาหัสเลือดท่วมโทรมกาย
หมดเรี่ยวหมดแรงลอยไปกับสายน้ำ
“อะ...องค์ชาย กระหม่อมมิอาจปกป้องท่านได้...”
เสียงนั้นแผ่วเบาไม่อาจดังไปกว่าเสียงลมราตรี
เรื่องราวเหล่านี้ถังไห่เฉิงล้วนกระจ่างแจ้งดีแก่ใจตัวเขาจึงจำต้องเติบใหญ่ก่อนวัยอันควร ฝึกฝนตนจนเก่งกาจเรื่องกลยุทธ์การศึก รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง นำพาชายแดนต้าถังทุกสารทิศสงบสุขจนทุกวันนี้ถังไห่เฉิงรั้งตำแหน่งรุ่ยอ๋องออกรบพุ่งประจัญทั่วแคว้น โดยมีพี่ชายใหญ่อย่างถังไท่หลินเร่งรัดตำแหน่งรัชทายาทแล้วขึ้นครองราชย์ในวัยแตกพานเท่านั้นเพราะนับแต่จำความได้ ตัวเขาก็เห็นพระบิดาต้องทรงงานหนักควบคุมราชสำนักทุกวัน ตรวจฎีกาสูงหลายเซี๊ยะทุกคืน บางครายังเห็นพระมารดาปลอมตัวไปออกรบด้วยองค์เอง พระนางกลายร่างเป็นเพียงทหารหญิงนามว่าซานซานเช่นอดีต เพราะตำแหน่งฮองเฮาไหนเลยจักกรีธาทัพเอิกเกริกได้ต้องลำบากมิใช่น้อย...ครั้นเมื่อพระมารดาตั้งครรภ์ ต่างแคว้นยังถือโอกาสทองยามนั้นรุกรานไม่ว่างเว้น หาได้เกรงอกเกรงใจอันใดไม่ มโนธรรมแห่งจิตวิญญาณของพวกมันต่ำตมยิ่ง รีบจุดคบเพลิงถืออาวุธ[1] ยกขบวนวิ่งมาอย่างเหิมเกริมเภทภัยต่างๆ ในช่วงนั้นเรียกได้ว่าความสุขไม่มาซ้ำ ความทุกข์ไม่มาเดี่ยว[2]เลยทีเดียวการศึกแม้กำชัยบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ปราชัยนับไม่ถ้วนส่วนท่านปู่โซวอ๋องก็อายุมากแล้วแม่ทัพที่มีฝีมือฉกาจบ้างก็แก่ช
การศึกเดือดระอุที่แปรผันมาหลายทิวาผ่านมาหลายราตรีท้ายที่สุดก็สงบลงแล้วภายในสนธยาหนึ่งต้นสารทฤดู คงเหลือเพียงพื้นดินสีแดงฉานไม่ต่างจากทะเลเลือดและกองศพทับถมที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แคว้นเทียนเป่ยพ่ายแพ้ยับเยิน แคว้นต้าถังได้รับชัยชนะไม่ผิดจากที่คาดการณ์ เสียงแซ่ซ้องกล่าวสรรเสริญแด่จอมทัพแห่งมังกรจึงดังต่อเนื่องไม่ขาดสายปลายคิมหันต์ บนเชิงเขา เหนือทุ่งราบ ใต้แสงตะวันรอนจอมทัพหนุ่มในอาภรณ์สีดำสนิทสวมชุดเกราะเหล็กสะท้อนแสงสายัณห์จนกลายเป็นสีแดงฉานปานโลหิตหลั่งไหลอาบไล้ไปทั่วเรือนกายเพียงยืนนิ่งอย่างมั่นคงดุจศิลาแกร่งสายตาคมปลาบดำสนิทลึกล้ำดุจห้วงรัตติกาลค่อยๆ กวาดมองทุกสิ่งช้าๆ อย่างเฉยชา ภาพเบื้องหน้าคือผืนพสุธากว้างใหญ่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ดวงหน้าคมสันที่เผยเพียงครึ่งเพราะสวมหน้ากากเงินอักขระโบราณสีดำอำพรางเอาไว้ยังคงเรียบเฉยไม่เผยอารมณ์อันใดริมฝีปากสีแดงสดยิ่งไม่เปล่งวาจาแม้ครึ่งคำ ท่าทางเรียบนิ่งเช่นนั้นยิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกดข่มผู้คนอย่างรุนแรงทั้งน่าเกรงขามในคราเดียวกัน รอบเรือนกายที่แผ่ซ่านกลิ่นอายสังหารเข้มข้นยิ่งกำจายอำนาจที่แฝงมหันตภัยคืบคลานทว่าเปี่ยมบารมีแผ่ไพศา
กระทั่งกาลเวลาผันผ่าน ดินน้ำผันแปร กำไลวงหนึ่งจึงปรากฏบนผิวดิน ฝุ่นจับเก่าคร่ำ จากที่ต้องอาศัยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวกลับถูกกักขังลี่เซียนบัดนี้มีกำไลหยกดึงรั้งวิญญาณจนติดตรึงมิอาจหลุดออกมาเปิดหูเปิดตามองดูใต้หล้าที่เปลี่ยนไป นางจึงทำได้เพียงถือโอกาสฝึกฌานไปเช่นนั้นจากขั้นปล่อยวางเมื่อแรกเข้ามาฝังวิญญาณในกำไล ยามนี้แม่นางน้อยฝึกล่วงพ้นขั้นว่างเปล่า[2] เข้าสู่ขั้นมหายาน[3]แล้วชายแดนระหว่างแคว้นต้าถังกับแคว้นเทียนเป่ยพื้นที่ราบเวิ้งว้าง ทั้งแห้งแล้งและทุรกันดาร อันเป็นสถานที่โรมรันของเหล่าทหารระหว่างแคว้นกระบวนทัพทหารนับหมื่นพันแปรผันตามสถานการณ์ประจัญบาน คล้ายมวลมหาคลื่นซัดสาดใส่หินโสโครกขนาดใหญ่ล่วงพ้นสายัณห์ข้ามผ่านสนธยาจนอรุณรุ่งมาเยือนกระทั่งแสงแดดแผดเผาไปทั่วนภาเห็นสีแดงฉานเต็มสองตาการนี้ศึกเกิดขึ้นมาหลายราตรี สมรภูมิรบในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับนรกเดือดสายลมพัดผ่านหอบกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง โชยกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ซ่านไปทั่วธรณีลูกธนูกราดยิงถี่ยิบ หอกกระแทก โล่ปะทะ ดาบกระบี่กวัดแกว่ง โลหิตซ่านเซ็น ชีพคนปลิดปลิว ม้าห้อล้มร่วงเสียงกู่ก้องคำรามฮึกเหิมผสานเสียงเกือกม้าและเสียงธนูแหวก
อารามผิงอันภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณเด็กน้อยนาม ลี่เซียน[1] ซึ่งได้รับการถ่ายทอดพลังวัตรยื้อชีวิตเมื่อแรกเกิดจากเจ้าอารามผู้เปี่ยมเมตตา ต่อมายังคร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมและฝึกฌานอย่างเคร่งครัดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ลูกศิษย์ลูกหาในสำนักพรตยังไม่เคยหวงแหนพลังปราณต่อนางคืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ จันทร์กระจ่างลอยเคว้งกลางนภากว้าง เหมาะแก่การรับพลังหยินเสริมพลังวัตร นางจึงวิ่งเล่นนอกอารามเพื่ออาบแสงจันทร์ไปทั่วหุบเขาอย่างซุกซนตามวิสัยท่ามกลางราตรีกาลสลัวราง บนยอดเขาสูงชันตั้งตระหง่านลูกหนึ่ง เงาร่างของเด็กหญิงชุดขาวพิสุทธิ์กำลังไต่ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว เมื่อปีนขึ้นมาได้ก็วิ่งวนจนกระทั่งบังเอิญมาเจอกับชายชราผู้หนึ่งแฝงซึ่งบุคลิกยอดคนผู้เร้นกายสันโดษ แผ่ซ่านกลิ่นอายเฉกเช่นเซียนผู้บำเพ็ญเพียรตบะจนกล้าแกร่งนักพรตเฒ่าผมขาวหนวดขาวเครายาวสยายลู่ลมผู้นี้คืออดีตจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ เซียนหย่งสือผู้เลือกวางอาวุธสังหารแล้วเร้นกายสู่ทางธรรมเขาเลือกฝึกตบะบำเพ็ญฌานอยู่ภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งนี้มานานมากแล้วลี่เซียนปรากฏกายในขณะที่กำลังมีคลื่นพลังมหาศาลไหลวนรอบชายชราผู้นั้นซึ่งกำลังร่ายพิธีกรร
ยามนี้บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเคยองอาจสง่างามจนต้องตาต้องใจสตรีมากมายกลับกลายเป็นอดีตมิอาจย้อนคืน ส่วนสตรีผู้หนึ่งซึ่งสะคราญโฉมไม่สร่างซามีหรือจะทนกับคนที่คล้ายซากศพทุกวัน ทั้งสองต้องทนทรมานจนฝ่ายหนึ่งตายจากอย่างทุกข์ระทมบั้นปลายชีวิตของซือหงจบลงไม่ดีนักตามคาดการณ์ของใครบางคนซีซินรับฟังเรื่องราวรันทดของเขาอย่างเย็นชายามอยู่ในอารามแห่งหนึ่งบนหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณมีความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความร้ายกาจแห่งอิสตรีซีซินคือองค์หญิงที่เติบโตมากับสงครามวังหลังสิ่งที่บ่มเพาะให้นางดำรงอยู่ได้คือจิตใจอำมหิตเลือดเย็นที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มันฝังแน่นในส่วนลึกของดวงวิญญาณแน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของซีซิน นางมิได้จากตายหากแต่เป็นการจากเป็นที่สามารถสั่งสอนสามีให้รู้ซึ้งถึงความผิดแห่งตนโดยไม่เว้นเส้นทางให้กลับใจแต่อย่างใดเพราะต่อให้นางกำจัดสตรีคนหนึ่ง ย่อมมีอีกคนหนึ่งและคนต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด มิสู้ตัดเส้นทางของบุรุษ และหยุดหัวใจรักของตนเองเสียซือหงย่อมถูกลงทัณฑ์อยู่แล้วเมื่อนางผู้เป็นถึงองค์หญิงฆ่าตัวตาย จดหมายเพ้อรำพันเรื่องราวความรักและคำสัญญาทั้งหลาย นางมิได้เขียนให้สามีแต่นางเลื
ด้วยภาระหน้าที่และสิ่งที่เรียกว่าผิดชอบชั่วดี ใช่ว่าซีซินจะไม่หวังดีต่อสามีที่กำลังหลงทาง นางเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงใจอยู่หลายประโยคทว่าต่อหน้านางเขาเพียงรับคำแค่ลมปาก ยังโอบกอดคลอเคลียทำทีร่วมรักอย่างทะนุถนอมเพียงให้พ้นผ่านราตรีนั้นไป แต่ลับหลัง...ซือหงกลับแสดงกิริยาไม่พอใจโดยมีอนุคนงามพะเน้าพะนอปลอบประโลมไม่ห่างกายพวกเขาให้กำลังใจกันอย่างแนบชิดสนิทเนื้อแม้ฝ่ายหญิงจะกำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ตามซีซินรับฟังเรื่องราวจากบ่าวผู้ภักดีที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายความเข้มแข็งคล้ายถูกทะลวงด้วยปลายกริชแหลมคมนับหมื่นจ้วงแทง ความเจ็บปวดซึมลึกกำลังล้นทะลักออกมาจากดวงใจที่รวดร้าวเพิ่มขึ้นทุกที มันฉายชัดออกมาจากดวงตาทีละน้อย ความรู้สึกเจ็บแค้นและปวดแปลบกำลังกระจายไปทั่วร่างบ่าวคนสนิทที่มองอยู่แทบจะทนไม่ไหว นางเปรยเสียงเย็นว่าขอแค่เจ้านายสั่งคำเดียวจักทำให้อนุแพศยาผู้นั้นหายไปซีซินไหนเลยจะโง่เขลาถึงขั้นใช้วิธีต่ำช้าเช่นนั้นนางเพียงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเหมือนเช่นทุกวัน อยู่กับความทุกข์ระทมเช่นนั้นด้วยหวังว่าคงชาชิน...กระทั่งวันหนึ่ง เรื่องไม่คาดฝันพลันบังเกิด เมื่ออนุคนงามของสา