หลังจากนั้น เจียหรู๋ก็พูดคุยกับบุตรสาวอีกหลายประโยค สอนสั่งเรื่องการครองเรือน ปิดท้ายด้วยการกำชับว่า ต้องกลับไปยกน้ำชาตามประเพณี แสดงความกตัญญู อย่าได้ละเลย
ไม่นาน...เจียหรู๋ก็พาฮูหยินผู้เป็นพยานทั้งสี่จากไป
ซานซานยืนมองทุกคนอย่างเย็นชา ในใจให้รู้สึกหงุดหงิดไม่เบาที่ไม่อาจฆ่าใครได้ง่ายดายเหมือนกาลก่อน พวกมันถึงได้เข้ามายุ่มย่ามน่ารำคาญเช่นนี้
ชั่วขณะที่กำลังโกรธกรุ่น ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกหนึ่ง
ซานซานรับรู้ได้ว่าร่างนี้ยังคงมีความเจ็บปวดฝังแน่น
ชิงหลินคนเก่ารักคู่หมั้นนามจางฉวนมาก นางเสียใจมากที่ถูกชายคนรักหักหลัง และที่ตัดสินใจปลิดชีพตนก็เพราะระลึกได้ว่าทุกสิ่งที่ถูกกระทำล้วนเป็นเพราะคนในครอบครัวรวมหัวกัน
ฝ่ามือเรียวเล็กยกขึ้นมากอบกุมที่หน้าอกด้านซ้าย เรียวคิ้วงามขมวดมุ่น หัวใจของซานซานกำลังปวดแปลบยากระงับ
วิญญาณของนางเข้าร่างชิงหลิน แม้ความคิดสติปัญญาจะเป็นของนาง หากแต่ความรู้สึกแท้จริงของชิงหลินยังคงไหลวน
ซานซานในยามนี้เป็นชิงหลินอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
กาลก่อนเรื่องราวเลวร้ายอันใดล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาของซานซาน หากแต่ยามนี้เรื่องยิบย่อยเท่าฝุ่นผงกลับสะกิดบาดแผลในใจของชิงหลินได้อย่างง่ายดาย และมันกำลังรบกวนสมองของซานซานอย่างไม่น่าให้อภัย
หญิงสาวหลับตา ระบายลมหายใจออกช้าๆ กำหนดจิตใจให้สงบเยือกเย็น อึดใจก็เดินเข้าเรือน มองหากระดาษกับหมึกและพู่กัน
ซานซานเดินไปมาอยู่หลายก้าว หาอยู่นานก็ยังไม่เจอ จึงฉุกคิดได้ว่า เจ้าของเรือนเป็นเพียงชายหนุ่มยากจนแถมพิการ จะมีสิ่งของเหล่านั้นได้อย่างไร มิใช่บ้านบัณฑิตสักหน่อย
หญิงสาวจึงล้มเลิกการหากระดาษ แล้วมองหาไม้ไผ่แทน ทว่าลำปล้องที่เรียบลื่นยังต้องใช้น้ำหมึกกับพู่กันอยู่ดี
ในเมื่อไม่มีก็ล้มเลิกความคิดอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว เห็นสามีกำลังทำกับข้าวด้วยตนเอง นางคลี่ยิ้มให้เขาก่อนเข้าไปที่เตาไฟ เขี่ยถ่านออกมา รอให้เย็นตัว ระหว่างที่รอก็มองหาแผ่นไม้เนื้อหยาบหน้ากว้าง เมื่อได้มาแล้วก็ปัดมือไล่ฝุ่น จากนั้นก็ใช้ถ่านสีดำนั่งเขียนอะไรยุกยิกลงบนแผ่นไม้เนิ่นนาน
จ้าวเหว่ยมองตามการกระทำอันแปลกประหลาดนั้นนิ่งๆ แววตาคมดำราบเรียบไร้ระลอกคลื่นเคลื่อนไหว ไม่เผยตัวตนว่าอยู่ในอารมณ์ใด ไม่ทักไม่ถาม เพียงเห็นนางขีดเขียนเส้นตาราง ลากเส้นระโยงระยาง มีแผนผังบางอย่าง เนิ่นนานก็มิได้เอ่ยสิ่งใด รอจนอีกฝ่ายหยุดเขียน ก็ได้ยินเสียงนางเอ่ยว่า
“เสร็จแล้ว ค่ายแปดทิศขจัดมารของข้า”
ค่ายกลนี้คือหนึ่งในกับดักมิให้ศัตรูกล้ำกรายเข้าใกล้สำนักของซานซานเมื่อชาติก่อน
หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มร้ายกาจพลางเปิดปากอธิบายอย่างฉะฉานว่า
“เหย่หนิวของข้าไม่ต้องห่วง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้ามาวุ่นวายกับพวกเราสองสามีภรรยาถึงที่เรือนได้อีก หากมันผู้นั้นกล้าก้าวเท้าเข้ามา รับรองได้ว่าแขนขาต้องขาดจนเลือดสาดแน่”
กล่าวจบก็ยกยิ้มชั่วร้ายแวบหนึ่งก่อนลุกขึ้นแล้วเดินออกนอกเรือนหายตัววับไป
อีกครั้งที่จ้าวเหว่ยได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจ
นี่เขาแต่งงานกับสตรีแบบใด?
การศึกเดือดระอุที่แปรผันมาหลายทิวาผ่านมาหลายราตรีท้ายที่สุดก็สงบลงแล้วภายในสนธยาหนึ่งต้นสารทฤดู คงเหลือเพียงพื้นดินสีแดงฉานไม่ต่างจากทะเลเลือดและกองศพทับถมที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แคว้นเทียนเป่ยพ่ายแพ้ยับเยิน แคว้นต้าถังได้รับชัยชนะไม่ผิดจากที่คาดการณ์ เสียงแซ่ซ้องกล่าวสรรเสริญแด่จอมทัพแห่งมังกรจึงดังต่อเนื่องไม่ขาดสายปลายคิมหันต์ บนเชิงเขา เหนือทุ่งราบ ใต้แสงตะวันรอนจอมทัพหนุ่มในอาภรณ์สีดำสนิทสวมชุดเกราะเหล็กสะท้อนแสงสายัณห์จนกลายเป็นสีแดงฉานปานโลหิตหลั่งไหลอาบไล้ไปทั่วเรือนกายเพียงยืนนิ่งอย่างมั่นคงดุจศิลาแกร่งสายตาคมปลาบดำสนิทลึกล้ำดุจห้วงรัตติกาลค่อยๆ กวาดมองทุกสิ่งช้าๆ อย่างเฉยชา ภาพเบื้องหน้าคือผืนพสุธากว้างใหญ่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ดวงหน้าคมสันที่เผยเพียงครึ่งเพราะสวมหน้ากากเงินอักขระโบราณสีดำอำพรางเอาไว้ยังคงเรียบเฉยไม่เผยอารมณ์อันใดริมฝีปากสีแดงสดยิ่งไม่เปล่งวาจาแม้ครึ่งคำ ท่าทางเรียบนิ่งเช่นนั้นยิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกดข่มผู้คนอย่างรุนแรงทั้งน่าเกรงขามในคราเดียวกัน รอบเรือนกายที่แผ่ซ่านกลิ่นอายสังหารเข้มข้นยิ่งกำจายอำนาจที่แฝงมหันตภัยคืบคลานทว่าเปี่ยมบารมีแผ่ไพศา
กระทั่งกาลเวลาผันผ่าน ดินน้ำผันแปร กำไลวงหนึ่งจึงปรากฏบนผิวดิน ฝุ่นจับเก่าคร่ำ จากที่ต้องอาศัยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวกลับถูกกักขังลี่เซียนบัดนี้มีกำไลหยกดึงรั้งวิญญาณจนติดตรึงมิอาจหลุดออกมาเปิดหูเปิดตามองดูใต้หล้าที่เปลี่ยนไป นางจึงทำได้เพียงถือโอกาสฝึกฌานไปเช่นนั้นจากขั้นปล่อยวางเมื่อแรกเข้ามาฝังวิญญาณในกำไล ยามนี้แม่นางน้อยฝึกล่วงพ้นขั้นว่างเปล่า[2] เข้าสู่ขั้นมหายาน[3]แล้วชายแดนระหว่างแคว้นต้าถังกับแคว้นเทียนเป่ยพื้นที่ราบเวิ้งว้าง ทั้งแห้งแล้งและทุรกันดาร อันเป็นสถานที่โรมรันของเหล่าทหารระหว่างแคว้นกระบวนทัพทหารนับหมื่นพันแปรผันตามสถานการณ์ประจัญบาน คล้ายมวลมหาคลื่นซัดสาดใส่หินโสโครกขนาดใหญ่ล่วงพ้นสายัณห์ข้ามผ่านสนธยาจนอรุณรุ่งมาเยือนกระทั่งแสงแดดแผดเผาไปทั่วนภาเห็นสีแดงฉานเต็มสองตาการนี้ศึกเกิดขึ้นมาหลายราตรี สมรภูมิรบในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับนรกเดือดสายลมพัดผ่านหอบกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง โชยกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ซ่านไปทั่วธรณีลูกธนูกราดยิงถี่ยิบ หอกกระแทก โล่ปะทะ ดาบกระบี่กวัดแกว่ง โลหิตซ่านเซ็น ชีพคนปลิดปลิว ม้าห้อล้มร่วงเสียงกู่ก้องคำรามฮึกเหิมผสานเสียงเกือกม้าและเสียงธนูแหวก
อารามผิงอันภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณเด็กน้อยนาม ลี่เซียน[1] ซึ่งได้รับการถ่ายทอดพลังวัตรยื้อชีวิตเมื่อแรกเกิดจากเจ้าอารามผู้เปี่ยมเมตตา ต่อมายังคร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมและฝึกฌานอย่างเคร่งครัดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ลูกศิษย์ลูกหาในสำนักพรตยังไม่เคยหวงแหนพลังปราณต่อนางคืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ จันทร์กระจ่างลอยเคว้งกลางนภากว้าง เหมาะแก่การรับพลังหยินเสริมพลังวัตร นางจึงวิ่งเล่นนอกอารามเพื่ออาบแสงจันทร์ไปทั่วหุบเขาอย่างซุกซนตามวิสัยท่ามกลางราตรีกาลสลัวราง บนยอดเขาสูงชันตั้งตระหง่านลูกหนึ่ง เงาร่างของเด็กหญิงชุดขาวพิสุทธิ์กำลังไต่ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว เมื่อปีนขึ้นมาได้ก็วิ่งวนจนกระทั่งบังเอิญมาเจอกับชายชราผู้หนึ่งแฝงซึ่งบุคลิกยอดคนผู้เร้นกายสันโดษ แผ่ซ่านกลิ่นอายเฉกเช่นเซียนผู้บำเพ็ญเพียรตบะจนกล้าแกร่งนักพรตเฒ่าผมขาวหนวดขาวเครายาวสยายลู่ลมผู้นี้คืออดีตจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ เซียนหย่งสือผู้เลือกวางอาวุธสังหารแล้วเร้นกายสู่ทางธรรมเขาเลือกฝึกตบะบำเพ็ญฌานอยู่ภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งนี้มานานมากแล้วลี่เซียนปรากฏกายในขณะที่กำลังมีคลื่นพลังมหาศาลไหลวนรอบชายชราผู้นั้นซึ่งกำลังร่ายพิธีกรร
ยามนี้บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเคยองอาจสง่างามจนต้องตาต้องใจสตรีมากมายกลับกลายเป็นอดีตมิอาจย้อนคืน ส่วนสตรีผู้หนึ่งซึ่งสะคราญโฉมไม่สร่างซามีหรือจะทนกับคนที่คล้ายซากศพทุกวัน ทั้งสองต้องทนทรมานจนฝ่ายหนึ่งตายจากอย่างทุกข์ระทมบั้นปลายชีวิตของซือหงจบลงไม่ดีนักตามคาดการณ์ของใครบางคนซีซินรับฟังเรื่องราวรันทดของเขาอย่างเย็นชายามอยู่ในอารามแห่งหนึ่งบนหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณมีความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความร้ายกาจแห่งอิสตรีซีซินคือองค์หญิงที่เติบโตมากับสงครามวังหลังสิ่งที่บ่มเพาะให้นางดำรงอยู่ได้คือจิตใจอำมหิตเลือดเย็นที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มันฝังแน่นในส่วนลึกของดวงวิญญาณแน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของซีซิน นางมิได้จากตายหากแต่เป็นการจากเป็นที่สามารถสั่งสอนสามีให้รู้ซึ้งถึงความผิดแห่งตนโดยไม่เว้นเส้นทางให้กลับใจแต่อย่างใดเพราะต่อให้นางกำจัดสตรีคนหนึ่ง ย่อมมีอีกคนหนึ่งและคนต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด มิสู้ตัดเส้นทางของบุรุษ และหยุดหัวใจรักของตนเองเสียซือหงย่อมถูกลงทัณฑ์อยู่แล้วเมื่อนางผู้เป็นถึงองค์หญิงฆ่าตัวตาย จดหมายเพ้อรำพันเรื่องราวความรักและคำสัญญาทั้งหลาย นางมิได้เขียนให้สามีแต่นางเลื
ด้วยภาระหน้าที่และสิ่งที่เรียกว่าผิดชอบชั่วดี ใช่ว่าซีซินจะไม่หวังดีต่อสามีที่กำลังหลงทาง นางเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงใจอยู่หลายประโยคทว่าต่อหน้านางเขาเพียงรับคำแค่ลมปาก ยังโอบกอดคลอเคลียทำทีร่วมรักอย่างทะนุถนอมเพียงให้พ้นผ่านราตรีนั้นไป แต่ลับหลัง...ซือหงกลับแสดงกิริยาไม่พอใจโดยมีอนุคนงามพะเน้าพะนอปลอบประโลมไม่ห่างกายพวกเขาให้กำลังใจกันอย่างแนบชิดสนิทเนื้อแม้ฝ่ายหญิงจะกำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ตามซีซินรับฟังเรื่องราวจากบ่าวผู้ภักดีที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายความเข้มแข็งคล้ายถูกทะลวงด้วยปลายกริชแหลมคมนับหมื่นจ้วงแทง ความเจ็บปวดซึมลึกกำลังล้นทะลักออกมาจากดวงใจที่รวดร้าวเพิ่มขึ้นทุกที มันฉายชัดออกมาจากดวงตาทีละน้อย ความรู้สึกเจ็บแค้นและปวดแปลบกำลังกระจายไปทั่วร่างบ่าวคนสนิทที่มองอยู่แทบจะทนไม่ไหว นางเปรยเสียงเย็นว่าขอแค่เจ้านายสั่งคำเดียวจักทำให้อนุแพศยาผู้นั้นหายไปซีซินไหนเลยจะโง่เขลาถึงขั้นใช้วิธีต่ำช้าเช่นนั้นนางเพียงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเหมือนเช่นทุกวัน อยู่กับความทุกข์ระทมเช่นนั้นด้วยหวังว่าคงชาชิน...กระทั่งวันหนึ่ง เรื่องไม่คาดฝันพลันบังเกิด เมื่ออนุคนงามของสา
ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนเกิดราชวงศ์ต้าถังคู่รักคู่หนึ่งสาบานยึดมั่นรักกันจนแก่เฒ่า แม้ตายจากก็จะมิพรากดวงใจไปให้ใครฝ่ายสตรีเป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์สะคราญโฉม นามซีซินฝ่ายบุรุษเป็นสามัญชนรั้งตำแหน่งพลทหารม้า ทว่าฝีมือกลับเก่งกล้ากว่าผู้ใด ทั้งเชี่ยวชาญม้าศึก องอาจผึ่งผาย แม้มิได้รูปงามสะกดสายตาแต่ก็น่าคบหาไม่น้อยเขามีนามว่าเฟิงซือหงแต่ด้วยสองใจมีรักผูกพัน ไม่หวั่นแม้ต่างยศศักดิ์ชาติตระกูล ฐานันดรกางกั้นฝ่ายชายจึงบากบั่นกรำศึกหนักกระทั่งได้เป็นแม่ทัพพิทักษ์ดินแดน รักษาความกร้าวแกร่งดุจหินผา ฝ่ายหญิงยิ่งเฝ้าบ่มเพาะถนอมตัวเพียรรอบุรุษหนึ่งเดียวจนวัยล่วงเลยย่างยี่สิบปีในที่สุดเมื่อบุรุษสร้างผลงานมีความดีความชอบกลับมา จึงได้สมรสพระราชทานสมใจกับองค์หญิงสูงศักดิ์อันที่รักแม้งานมงคลจักล่าช้า ทว่าสามีภรรยาเคียงคู่หวานล้ำเคียงข้างหวานซึ้ง ผ่านคืนวันหวานชื่นด้วยกันดุจห้วงฝันกาลเวลาเคลื่อนผ่านอย่างราบรื่น สามีเดินทางนำทัพสร้างผลงาน พลทหารในอาณัติสมัครสมานสามัคคี ภรรยาดูแลหลังเรือน บ่าวไพร่ภักดี จวนพยัคฆ์สุขสงบกระทั่งฝ่ายชายเดินทางกรำศึกปราบโจรทะเลทราย บังเอิญช่วยเหลือสาวน้อยนางหนึ่ง