ยามสายของวันต่อมา
เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ
สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย
เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง
นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้
แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม
คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง ริ้วรอยผดผื่นตามเนื้อหนังที่คันคะเยอถูกเกาจนเกือบเน่าก็หายดี
พริบตาเดียวพวกชาวบ้านพลันฮือฮา พากันมารวมตัวที่ลานกว้างกลางหมู่บ้านผิงเหยียน เข้าแถวซื้อยาจากสตรีปริศนากันอย่างล้นหลาม
ภายใต้หมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งชั้นหนึ่งครอบศีรษะและมีผ้าขาวปิดกั้น ใบหน้าในนั้นกำลังเผยรอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาของนางดำขลับนิ่งสงบสุดจะหยั่ง นางคือเทพธิดาชุดขาวที่ขายยาจากสวรรค์ ไม่ช้านางก็หอบเงินเป็นกอบเป็นกำเดินทางจากไปอย่างเงียบงัน
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครได้เห็นใบหน้าของหมอหญิงเทวดาเลยสักคน ยามนางจากไปเบื้องหลังยังมีบรรดาชาวบ้านที่หายป่วยพากันส่งเสียงฮือฮาสรรเสริญอย่างยินดี
ที่เป็นเช่นนี้ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของซานซาน
นางเลือกทำพิษชนิดอ่อนไปวางยาชาวบ้าน ด้วยวิธีปล่อยลงต้นสายของแม่น้ำที่ทุกครัวเรือนผิงเหยียนใช้ดื่มกิน
จากนั้นก็ปรุงยาแก้พิษรอเอาไว้ ทิ้งระยะเวลาให้คนป่วยเพิ่มจำนวนมากหน่อย ก่อนจะปลอมตัวเป็นหมอเทวดา ไม่เปิดเผยโฉมหน้า แล้วนำยาแก้พิษไปขายให้พวกเขา เมื่อได้เงินจนพอใจก็จากลาไร้ร่องรอย
เหตุที่ซานซานต้องปิดบังใบหน้าปลอมตัวก็เพราะชิงหลินเป็นสตรีนางน้อยในห้องหอ ทั้งยังโง่เขลาเบาปัญญา เป็นบุคคลที่ชาวบ้านรู้จักมาเนิ่นนาน
การเสนอตัวช่วยเหลือด้วยใบหน้าแท้จริงย่อมมิอาจทำได้
นางจึงจำเป็นต้องอำพรางรูปโฉมขณะขายยา เพื่อความน่าเชื่อถือและป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาภายหลัง
ยามราตรีอันมืดมิด มีเพียงแสงตะเกียงลอดผ่านทางช่องลมของเรือนไม้ไผ่
จ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองซานซานที่กำลังนั่งนับก้อนเงินอยู่ตรงโต๊ะมุมห้อง เห็นสายตานางทอประกายแวววาวราวดวงดาราพร่างพราวบนฟากฟ้า จึงเอ่ยเสียงเย็น
“เจ้าหาเงินได้มากมายภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน เกรงว่าคงคิดทำลายบ้านเดิมของข้าแล้วสร้างคฤหาสน์ในไม่ช้านี้กระมัง”
น้ำเสียงนั้นฟังออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
หญิงสาวจึงชะงักเล็กน้อย ช้อนตามองผู้พูดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ด้านนอกของตัวบ้านเราคงสภาพทรุดโทรมไว้เช่นเดิมก็แล้วกันนะ จะได้ไม่มีโจรผู้ร้ายมาปล้นชิง ส่วนด้านในก็ค่อยๆ เพิ่มเครื่องเรือนล้ำค่า”
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ชายหนุ่มถามเสียงขรึม รู้สึกไม่พอใจอยู่มาก หากภรรยาอยากได้สิ่งใด ไยไม่บอกเขาที่เป็นสามี
สำหรับจ้าวเหว่ย เรื่องเงินมิใช่ปัญหา วิธีการชั่วช้าก็มิใช่ประเด็น เขาเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของซานซานเท่านั้น ไยนางต้องเสี่ยงทำเรื่องอันตรายเช่นนี้
ชายหนุ่มนึกเคืองเรื่องนี้ไม่เบา
แต่ซานซานกลับเข้าใจผิดคิดไปว่าสามีกำลังโกรธตนเรื่องที่วางยาพิษคนทั้งหมู่บ้านแล้วหลอกขายยาจึงรีบกลบเกลื่อนความผิดโดยการหาวคราหนึ่ง ทำตาปรือพึมพำว่า
“ข้าง่วงแล้ว..ขอนอนก่อนนะ”
กล่าวจบก็รีบเก็บเงินใส่หีบแล้วปีนขึ้นเตียงทันที
ชายหนุ่มพลันชะงักก่อนถามเสียงเครียดอย่างไม่ยินยอม
“เราสองไยมิใช่ควรคุยกันก่อน”
“ไม่ไหวแล้ว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”
สิ้นเสียงอ่อนแรง ฝ่ายภรรยาก็หลับเป็นตาย นับเป็นการกระทำที่ปล่อยให้ชายผู้เป็นสามีต้องทนเดียวดายจนพ้นราตรี...
อีกแล้ว...
จ้าวเหว่ยหรี่ตามองซานซานเงียบงัน กดเก็บอารมณ์โดยธรรมชาติของบุรุษเอาไว้ ก่อนถอนหายใจเช่นคนปลงตก
หลายวันมานี้เขาเองก็ฝึกวิชายืดหดเส้นเอ็นอย่างหนัก นับว่าใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อย ควรพักผ่อนให้มากเช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอน เอื้อมมือสะกิดคนด้านข้าง เอ่ยสั่งเสียงต่ำ
“นอนดีๆ”
คำนี้ทำเอาสตรีที่นอนชิดกำแพงรีบพลิกตัวกลับมาหนุนท่อนแขนกำยำแล้วซุกซบอกอุ่นทันที
รอยยิ้มบางพลันปรากฏตรงมุมปากบุรุษ
มือหนึ่งของจ้าวเหว่ยโอบไหล่กลมมนของซานซาน อีกมือหนึ่งกระชับผ้าห่มปรกเนินอกให้อย่างเบามือ ก่อนยกขึ้นไปรองท้ายทอยของตนเอง
หมอนหนุนบุรุษอาจไม่ดีเท่าของสตรี แต่กระนั้นยังคงหลับได้สบายจนพ้นราตรีอย่างน่าแปลกใจในทุกค่ำคืน
จ้าวเหว่ยถอนหายใจหนักอก ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนเข้าสู่นิทราในใจยังตรึกตรองโดยละเอียดว่า
สตรีนางนี้ไม่ควรปล่อยให้ไกลตาเลยจริงๆ
ฮ่องเต้ปรายพระเนตรกวาดมองจนทั่ว พบว่ามีรัชทายาท โซวอ๋อง ฮองเฮา หลี่กุ้ยเฟย และองค์ชายห้า คนกันเองทั้งหมด จึงตรัสด้วยสุรเสียงเนิบช้า“ใครกล้ารังแกสุนเอ๋อร์...”ทุกคนย่อมสัมผัสได้ถึงโทสะแห่งโอรสสวรรค์ แม้จะเป็นญาติสนิทกัน แต่อำนาจอีกฝ่ายล้นฟ้าคว่ำพสุธายังได้จ้าวเหว่ยคิดว่า ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง เขาเองก็เกือบพลาดพลั้งหลายต่อหลายครั้ง มิสู้เปิดโปงให้รู้ดีชั่วกันไปเลย ดึงโซวอ๋องลงสนามแข่งขันอย่างสง่าผ่าเผย ย่อมรู้ผลแพ้ชนะในเร็ววัน“เสด็จพ่อควรถามเสด็จอา ว่าที่ผ่านมาเขาต้องการอะไร”ช่างไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นยามนี้เลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่จ้าวสุนซึ่งแก้มแดงเป็นก้นลิงยังอยู่ในอ้อมพระกรทว่าประโยคนี้แม้ผู้พูดมีสีหน้าราบเรียบ แต่แววตาที่สื่อกลับก่อคลื่นร้อนในใจให้ผู้ฟังอย่างประหลาดโดยเฉพาะโซวอ๋องเมื่อครู่เขาคิดจะไปหาจ้าวสุนเหมือนที่ชอบทำยามเข้าวัง แต่บังเอิญเห็นเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้า ยังมีฮองเฮาไล่ตามติด ตัวเขาจึงเดินตามมาอย่างมิทันได้ยั้งคิดคาดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องราวเหล่านี้แววตาดุดันที่มักจะลึกล้ำ บัดนี้วูบไหวไม่หยุด ท่าทางเคร่งขรึมยิ่งดำทะมึนมากยิ่งขึ้น เ
ทั้งคำถามทั้งน้ำเสียง และแววตาของหลานชายที่มองมา โซวอ๋องผู้นี้หาใช่บุคคลที่สายตาคับแคบไม่ เขามองออกทันทีว่าหลานชายผู้นี้เปลี่ยนไปสายตาที่มองกันล้วนชัดเจนโดยมิต้องแถลงไขชายชาตินักรบไม่เคยเสแสร้งแกล้งตายอยู่แล้วเมื่อเจอศัตรูคู่อาฆาต“เจ้า?”เจ้าคงเริ่มรู้ตัวแล้วกระมัง?ประโยคหลังโซวอ๋องมิได้เอ่ย เพียงใช้สายตาคู่คมมองนิ่ง รังสีอำมหิตแผ่กำจายออกมาอย่างมิอาจห้ามได้วงแขนแกร่งของจ้าวเหว่ยยิ่งกระชับน้องชายคนเล็กเอาไว้แน่น อีกข้างยิ่งรั้งบุตรสาวเข้ามาในอกอุ่นอย่างหวงแหน กลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านออกมาไม่แพ้อีกฝ่ายนักรบเหมือนกัน นิสัยย่อมคล้ายกัน จอมทัพทั้งสองจึงยืนประจันหน้า หมายหยั่งเชิงกัน ประหนึ่งยืนกลางสมรภูมิรบจ้าวสุนเห็นโซวอ๋องเดินเข้ามาก็ยิ่งซุกซบพี่ใหญ่ของตน อย่างต้องการหาที่พึ่ง ลู่หลิ่งยิ่งบีบมือให้กำลังใจองค์ชายห้าจ้าวเหว่ยหรี่ตาจับสังเกตกิริยาน้องชายเด็กน้อยทั้งสองร้องไห้โฮไปด้วยกัน ผสานเสียงโอดครวญดังสะท้อนห้อง น้ำตาไหลทะลักราวห่าฝนกลิ้งบนใบหน้าที่เปื้อนผงชาดจนยับย่น สองไหล่เล็กๆ สะท้านไหวขึ้นลงอย่างน่าสงสารแม้มิได้พูดอะไรเพราะสะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ทัน แต่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่ว
ฮองเฮามองบุตรชายคนเดียวของตนด้วยแววตาซับซ้อน รู้สึกอับอายอย่างยากจะยอมรับ สองมือกำแน่นจนสั่นระริก นางไม่สนใจเจ้าของห้อง เพียงกัดฟันเอ่ยเสียงเบาว่า “สุนเอ๋อร์ ออกไปกับแม่เดี๋ยวนี้”ปัญหาของเด็กเล็กคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาระยะยาวและอาจจะไร้ทางผสานของผู้ใหญ่ตลอดไป เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ทั้งฮองเฮาและหลี่กุ้ยเฟยจึงพยายามระวังและรักษากิริยา เว้นระยะห่างพอควรทว่าสิ่งที่ได้ยินจากเด็กชายกลับทำให้หัวใจทุกคนกระตุกคล้ายดิ่งลงพื้น“สุนเอ๋อร์ไม่ไป ในเมื่อไม่อาจปิดบังแล้ว เสด็จแม่ปล่อยสุนเอ๋อร์ไปตามทางเถิด”องค์ชายน้อยปาดน้ำตาโผล่หน้าออกจากช่วงเอวพี่ชายคล้ายกระต่ายน้อยตื่นตูมแล้วพูดปนสะอื้นอีกว่า“ชีวิตนี้เป็นของสุนเอ๋อร์ เลิกเอากฎระเบียบมาบีบบังคับเสียที สุนเอ๋อร์อึดอัด มิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป”กล่าวจบก็ก้มหน้าร้องไห้เสียใจ ลู่หลิ่งยิ่งร้องไห้ตามองค์ชายห้าขวัญกระเจิงบินไปไกลแล้วจริงๆ การถูกตบหน้าจากบุพการีอันเป็นที่รักจนมีเลือดไหลที่แก้มเป็นสิ่งที่ทำร้ายหัวใจดวงน้อยอย่างไม่อาจบรรยายได้ คล้ายการทำลายแผ่นดินอันสวยงามให้ล่มสลายได้เลย ส่วนลู่หลิ่งคิดว่าความผิดเป็นของตัวเอง สหายเจอเรื่องเลว
เสียงดังสวบสาบ วิ่งหนีเร็วรี่ หลบเลี้ยวคล่องแคล่ว เหยียบดอกไม้จนเละตลอดทางเจ้าของฝ่าเท้ามิใช่ใคร เขาคืออู๋เจี๋ยองครักษ์หนุ่มคอยดูแลบุตรสาวตัวน้อยของรัชทายาททุกย่างก้าว วันนี้เขาย่อมแอบตามลู่หลิ่งเหมือนที่ต้องทำ ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันและด้วยไม่มีเวลาคิดการณ์ ยามนี้แขนหนึ่งจึงอุ้มลู่หลิ่ง อีกหนึ่งแขนยังอุ้มจ้าวสุน วิ่งหนีว่องไว กลับตำหนักฮุ่ยเยี่ยนเบื้องหลังเขาคือฮองเฮาและขันทีกับนางกำนัลสี่ห้าคน เบื้องหน้าคือตำหนักของพระสนมหลี่กุ้ยเฟย ส่วนด้านข้างเห็นแวบหนึ่งว่าเป็นชายร่างใหญ่ใส่ชุดดำทะมึนคล้ายโซวอ๋องอู๋เจี๋ยพาลู่หลิ่งกับจ้าวสุนมาถึงในตำหนักฮุ่ยเยี่ยนก็ปล่อยเด็กทั้งสองลงตรงหน้าห้องรับรอง กระซิบรวดเร็วว่า“รีบเข้าไปในห้องเร็ว พระสนมย่อมปกป้องได้”เด็กทั้งสองรีบจับมือกันวิ่งไวราวลูกธนูถูกยิง พุ่งพรวดผ่านตัวยี่ซินไปโดยไม่สนใจคำทัดทานนางกำนัลได้แต่ยืนถลึงตาอ้าปากกว้าง คนอื่นๆ ที่ถูกสั่งให้ยืนอยู่ห่างๆ ได้แต่ยืนก้มหน้าจึงมองไม่ทันชั่วครู่ต่อมาก็ปรากฏขบวนเสด็จของฮองเฮาครานี้ยี่ซินไม่ห้ามไม่ได้แล้ว จะปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่เข้าไปเหมือนเด็กน้อยวิ่งซนได้อย่างไรทว่ายี่ซินเป็นเพียงบ่า
มุมเล็กของห้องด้านในสตรีร่างระหงงดงามในอาภรณ์หรูหรายืนนิ่งประหนึ่งศิลา ปิ่นหงส์งามระย้าบนมวยผมยกสูงยังไม่กระพือไหว เห็นได้ชัดว่านางตกใจจนร่างแข็งทื่อไปแล้วเพราะสิ่งที่นางเห็นคือบุตรชายเพียงหนึ่งเดียว ความหวังหนึ่งเดียวในชีวิตของนาง กำลังแต่งหน้าทาชาด ตาเขียวปากแดง ประดุจงิ้วหลงโรงวันนี้หลังจากได้รับรู้ข่าวการตายขององค์ชายสาม ฮองเฮาหลิวเฟิ่ง ก็รู้สึกตระหนกไม่เบา นึกห่วงใยโอรสหนึ่งเดียวของตนไม่น้อยขนาดจ้าวหมิงอายุยี่สิบปียังถูกสังหารได้อย่างโหดร้าย ตายไปอย่างง่ายดาย แล้วบุตรชายอายุแค่เจ็ดปีผู้นี้ที่เป็นตัวเลือกในการแย่งชิงอำนาจกับรัชทายาท จะไม่ห่วงได้อย่างไร หลิวเฟิ่งจึงอยากอยู่ใกล้กับบุตรชายให้มากเข้าไว้ ปกป้องเขาตลอดเวลาทว่ายามนี้คือยามนอนหลับกลางวันขององค์ชายน้อย ฮองเฮาจึงมิให้ขันทีส่งเสียง มิให้บ่าวไพร่รบกวนเด็กชายที่กำลังพักผ่อน พระนางเดินเข้ามาด้วยปลายเท้าเงียบเชียบ แต่ไม่เห็นลูกรักนอนอยู่บนเตียง กลับได้ยินเสียงหัวเราะสดใสตรงมุมห้อง จึงเดินเข้าไปที่ต้นเสียงนั้น สุดท้ายสิ่งที่เห็นตรงหน้า กลับร้ายแรงยิ่งกว่าข่าวการตายขององค์ชายสาม“สุนเอ๋อร์...”เจ้าของนามหันหน้าตามสัญชาตญาณ“
หลังเลิกประชุมจากท้องพระโรงตำหนักฮุ่ยเยี่ยนคือสถานที่แรกที่ต้องไปเยือน จ้าวเหว่ยจึงไม่รอช้า เลี้ยวเข้าประตูแดงฝั่งตำหนักในทันทีเมื่อเดินเข้ามาจึงได้เห็นลู่หลิ่งในชุดสีเขียวอ่อนลายดอกไม้นอนหมอบเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้นห้อง กำลังเล่นต่อไม้อย่างตั้งใจ โดยมีหลี่กุ้ยเฟยนั่งมองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนหลังจากทักทายกัน รัชทายาทหนุ่มจึงเล่นต่อไม้กับลู่หลิ่งจนสำเร็จ ยังสอนเดินหมากอีกหนึ่งกระดานข่าวการตายของจ้าวหมิง สำหรับหลี่กุ้ยเฟยนับว่าร้ายแรงมาก โศกเศร้าไม่น้อย เมื่อเห็นบุตรชายปรากฏกายก็ต้องการพูดคุยทันทีทว่าเห็นจ้าวเหว่ยที่เอ็นดูลู่หลิ่งมาแต่ไหนแต่ไร กำลังเล่นต่อไม้เดินหมากเช่นนั้นจึงปรับใจให้เย็นลง รอจนลู่หลิ่งหาวก็รีบสั่งให้ซูเหยาพาเด็กน้อยไปหลับกลางวันก่อน เรื่องเลวร้ายอัปมงคลเช่นนี้จะให้เด็กเล็กตาใสร่วมฟังมิได้โดยเด็ดขาดคล้อยหลังลู่หลิ่ง จ้าวเหว่ยจึงส่งสายตาบอกยี่ซินว่าต้องการคุยกับมารดาเพียงสองต่อสอง ยี่ซินย่อมเข้าใจ จึงรีบพานางกำนัลออกไปจากห้องทั้งหมด ตนเองยังยืนเฝ้าหน้าห้องมิให้ใครเข้าใกล้คุณหนูสูงศักดิ์ได้ข่าวการกลับมาของรัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลางามสง่าที่พวกนางเฝ้าฝันคะนึงหาทุกคื