ยิ่งดึกลมราตรียิ่งพัดพลิ้ว ให้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำ
เนื่องจากวุ่นวายทั้งวัน ตกเย็นยังกินเนื้อเสียจนแน่นท้อง พอพลบค่ำมาหนังตาจึงหนักอึ้ง ซานซานยามนี้จึงหลับใหลประดุจตายไปแล้ว
บนเตียงเย็นเยียบที่มีผ้าห่มเพียงหนึ่งผืน กำลังมีสตรีนอนพริ้มตาคล้ายสิ้นสติ โดยมีบุรุษนอนขมวดคิ้วจ้องมอง
“เจ้าตัวยุ่ง!”
จ้าวเหว่ยบ่นออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นมาปรกเนินอกของซานซาน ปล่อยนางได้หนุนท่อนแขน ซุกซบอกอุ่นของเขาไปเช่นนั้น
บนเตียงไม่เล็กไม่ใหญ่จึงมีภรรยากำลังนอนกอดก่ายสามีแล้วหลับฝันดีที่สุดในใต้หล้า หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า แววตาที่มองนาง กำลังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชายผู้หนึ่งซึ่งสูงส่งตั้งแต่เกิด เป็นโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังมีรูปโฉมที่ล้ำเลิศงดงามเป็นเอก แต่ไหนแต่ไรมา มีสตรีนับไม่ถ้วนอยากชิดใกล้ อยากสนิทสนม อยากแม้กระทั่งถูกครอบครอง
ทว่าเมื่อต้องปลอมตัวซ่อนกาย แปลงโฉมเป็นชายอัปลักษณ์ อย่าว่าแต่ตีสนิทเพื่อแนบชิดเลย แม้แต่หางตาพวกนางยังไม่เหลียวมอง
สำหรับคู่ชีวิตที่สามารถยืนหยัดประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่งกระทั่งแก่เฒ่า พวกเขาล้วนต้องยอมรับกันและกันได้หมดทุกสิ่ง ไม่ว่าด้านดีหรือเลว งดงามหรือน่าเกลียด ตกต่ำหรือสูงศักดิ์ มากฝีมือหรือไร้ความสามารถ
ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จักพบพาน ทว่ารัชทายาทหนุ่มรูปงามแห่งต้าถัง ที่จำต้องอำพรางตัวตนจนน่าเกลียดปราศจากเสน่ห์เลิศล้ำที่เคยมี กำลังพบเจอใครบางคนที่น่าสนใจ
ดวงตาเรียวคมของจ้าวเหว่ยพินิจแน่นิ่งที่สตรีตรงหน้า พลางนึกถึงคำรายงานจากองครักษ์คนสนิท
ถ้อยวาจาของอู่เจี๋ยที่เอ่ยออกมามีแต่ความสัตย์ซื่อจริงใจ
ทั้งยังเน้นย้ำว่าชิงหลินเป็นสตรีที่แย่ที่สุดบนแผ่นดิน ควรหลีกห่างปานใด เป็นหญิงที่ไร้เสน่ห์แค่ไหน ทั้งยังไม่น่าคบหาเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดไปคิดมา มุมปากใต้หนวดเคราเขียวครึ้มก็ยกยิ้มบางเบาอย่างนึกขัน ในใจใคร่ครวญลึกซึ้ง
ภรรยาของเขานางนี้...ช่างสมคำร่ำลือ...
ยามรุ่งสาง อากาศยังเย็นอยู่มาก
ซานซานจึงคร้านจะลืมตา เพียงเอื้อมฝ่ามือขึ้นควานหาไออุ่นของสามี ทว่ากลับไม่พบผู้ใด
หญิงสาวสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมองไปทั่วเตียง ก่อนลุกขึ้นนั่ง จัดระเบียบเสื้อผ้าจนเรียบร้อย แล้วเดินไปทางโต๊ะมุมห้อง เห็นกระดาษที่เขียนค้างเอาไว้เมื่อวาน ก็คิดว่าควรเขียนทุกกระบวนท่าต่อให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็ฝึกฝนวันละหกชั่วยาม...
ระหว่างที่คิด ยังมองไปทางเตียงที่แสนจะเย็นเยียบ กวาดสายตามองไปทั่วห้องที่โล่งโปร่ง ซึ่งมีลมเย็นแทรกซึมไปทั่ว ในใจฉุกคิดได้อีกหนึ่งประการ
หากจะฝึกวิชาให้สำเร็จเร็วๆ ลมปราณนับเป็นสิ่งสำคัญ
นางอยากได้เตียงอรหันต์กับแผ่นไม้กั้นลมมาช่วยฝึกฝน เช่นนั้นควรหาเงินให้มากสักหน่อย อืม...หาจากไหนดี
ซานซานเดินไปคิดไป กระทั่งออกมานอกเรือน เจอถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็ม จึงใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมา ใส่อ่างเล็กด้านข้าง ประคองไปอีกฝั่ง เจอผ้าผืนน้อยพับอยู่บนชั้นไม้
หญิงสาวใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบิดพอหมาด นำมาซับบนใบหน้า สายตาพลันเหลือบไปเห็นสามีกำลังนำน้ำในถังไม้เดียวกันไปต้มยังห้องครัวอีกด้าน
ซานซานกลอกตาตลบหนึ่ง คิดวิธีหาเงินได้ทันที
หญิงสาวรีบกลับเรือนอย่างเร็ว แล้วเขียนกระบวนท่ายืดหดเส้นเอ็นจนเสร็จ นำไปยื่นให้ชายหนุ่มในครัวพลางเอ่ยว่า “เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชาอื่นๆกัน”
ระหว่างที่พูดยังหมุนตัวหยิบตะกร้าไผ่สาน สั่งการเพิ่มว่า
“ท่านควรแบกน้ำตุนไว้ให้มากหน่อย หลายวันนี้งดอาบน้ำ ใช้แค่กินกับล้างหน้าพอ”
จบคำก็เดินจากไป ไม่เหลียวหลังกลับมา
จ้าวเหว่ยเพียงมองตามนิ่งๆ ไม่คิดถามไถ่อันใดทั้งสิ้น ในใจเพียงพร่ำบ่นอย่างเอือมระอาว่า
หากนางหยุดวุ่นวายในยามกลางวัน เลิกหลับเป็นตายในยามกลางคืน จักดีสักเพียงใด?
ซานซานมีเคล็ดวิชาอยู่เต็มสมอง ต้องลองเลือกสักอย่างออกมาฝึกปรือเพื่อหาเงิน
ฝ่ามือมรณะ ไอมารสะกดวิญญาณ ปราณเทพสังหาร นารีพิฆาต ล้วนต้องใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายให้แข็งแรงกว่านี้ก่อน ทั้งยังต้องฝึกออกกระบวนท่า ฝึกพลังลมปราณ ยาวนานมิใช่น้อย
หญิงสาวจึงคิดถึงวิชาหมื่นพิษก่อน ตัดสินใจเดินขึ้นเขาเพื่อเฟ้นหาสมุนไพรมาทำยาพิษ
ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนแล้วแต่มีสองด้าน มีทั้งคุณและโทษ ทั้งประโยชน์และเภทภัย สมุนไพรแต่ละชนิดก็เช่นกัน หากนำมาสกัดแล้วปรุงอย่างชั่วช้า ย่อมให้ผลที่ต่ำทรามไม่ยากเย็น
เมื่อซานซานได้สมุนไพรบางอย่างมาไว้ในกำมือจนพอใจ ก็รีบลงเขานำยามาเคี่ยวจนข้น รอมันเย็นตัวแล้วผสมแป้งลงไป ขึ้นรูปเป็นเม็ดกลมเกลี้ยงรอไว้
ยามรุ่งเช้าอีกวันก็นำออกไปตากกลางแดดแรง เมื่อแห้งได้ที่ก็นำมาทุบจนแหลกเหลวกลายเป็นผุยผง
จากนั้นก็นำไปโรยลงต้นน้ำที่ไหลสู่ที่ต่ำไปยังทิศทางของหมู่บ้านผิงเหยียน
สายลมหอบหนึ่งพัดกิ่งไม้ไหว ดอกหญ้าทิ้งตัวโปรยปรายลงต่ำ ร่วงหล่นโรยราไปกับผิวน้ำที่รินไหล ริมตลิ่งต้นสายธารายามสายัณห์ พลันมีสตรีร่างระหงอ้อนแอ้นท่าทางไร้พิษสงผู้หนึ่ง กำลังยืนแสยะยิ้มเยือกเย็น...
ฮ่องเต้ปรายพระเนตรกวาดมองจนทั่ว พบว่ามีรัชทายาท โซวอ๋อง ฮองเฮา หลี่กุ้ยเฟย และองค์ชายห้า คนกันเองทั้งหมด จึงตรัสด้วยสุรเสียงเนิบช้า“ใครกล้ารังแกสุนเอ๋อร์...”ทุกคนย่อมสัมผัสได้ถึงโทสะแห่งโอรสสวรรค์ แม้จะเป็นญาติสนิทกัน แต่อำนาจอีกฝ่ายล้นฟ้าคว่ำพสุธายังได้จ้าวเหว่ยคิดว่า ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง เขาเองก็เกือบพลาดพลั้งหลายต่อหลายครั้ง มิสู้เปิดโปงให้รู้ดีชั่วกันไปเลย ดึงโซวอ๋องลงสนามแข่งขันอย่างสง่าผ่าเผย ย่อมรู้ผลแพ้ชนะในเร็ววัน“เสด็จพ่อควรถามเสด็จอา ว่าที่ผ่านมาเขาต้องการอะไร”ช่างไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นยามนี้เลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่จ้าวสุนซึ่งแก้มแดงเป็นก้นลิงยังอยู่ในอ้อมพระกรทว่าประโยคนี้แม้ผู้พูดมีสีหน้าราบเรียบ แต่แววตาที่สื่อกลับก่อคลื่นร้อนในใจให้ผู้ฟังอย่างประหลาดโดยเฉพาะโซวอ๋องเมื่อครู่เขาคิดจะไปหาจ้าวสุนเหมือนที่ชอบทำยามเข้าวัง แต่บังเอิญเห็นเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้า ยังมีฮองเฮาไล่ตามติด ตัวเขาจึงเดินตามมาอย่างมิทันได้ยั้งคิดคาดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องราวเหล่านี้แววตาดุดันที่มักจะลึกล้ำ บัดนี้วูบไหวไม่หยุด ท่าทางเคร่งขรึมยิ่งดำทะมึนมากยิ่งขึ้น เ
ทั้งคำถามทั้งน้ำเสียง และแววตาของหลานชายที่มองมา โซวอ๋องผู้นี้หาใช่บุคคลที่สายตาคับแคบไม่ เขามองออกทันทีว่าหลานชายผู้นี้เปลี่ยนไปสายตาที่มองกันล้วนชัดเจนโดยมิต้องแถลงไขชายชาตินักรบไม่เคยเสแสร้งแกล้งตายอยู่แล้วเมื่อเจอศัตรูคู่อาฆาต“เจ้า?”เจ้าคงเริ่มรู้ตัวแล้วกระมัง?ประโยคหลังโซวอ๋องมิได้เอ่ย เพียงใช้สายตาคู่คมมองนิ่ง รังสีอำมหิตแผ่กำจายออกมาอย่างมิอาจห้ามได้วงแขนแกร่งของจ้าวเหว่ยยิ่งกระชับน้องชายคนเล็กเอาไว้แน่น อีกข้างยิ่งรั้งบุตรสาวเข้ามาในอกอุ่นอย่างหวงแหน กลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านออกมาไม่แพ้อีกฝ่ายนักรบเหมือนกัน นิสัยย่อมคล้ายกัน จอมทัพทั้งสองจึงยืนประจันหน้า หมายหยั่งเชิงกัน ประหนึ่งยืนกลางสมรภูมิรบจ้าวสุนเห็นโซวอ๋องเดินเข้ามาก็ยิ่งซุกซบพี่ใหญ่ของตน อย่างต้องการหาที่พึ่ง ลู่หลิ่งยิ่งบีบมือให้กำลังใจองค์ชายห้าจ้าวเหว่ยหรี่ตาจับสังเกตกิริยาน้องชายเด็กน้อยทั้งสองร้องไห้โฮไปด้วยกัน ผสานเสียงโอดครวญดังสะท้อนห้อง น้ำตาไหลทะลักราวห่าฝนกลิ้งบนใบหน้าที่เปื้อนผงชาดจนยับย่น สองไหล่เล็กๆ สะท้านไหวขึ้นลงอย่างน่าสงสารแม้มิได้พูดอะไรเพราะสะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ทัน แต่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่ว
ฮองเฮามองบุตรชายคนเดียวของตนด้วยแววตาซับซ้อน รู้สึกอับอายอย่างยากจะยอมรับ สองมือกำแน่นจนสั่นระริก นางไม่สนใจเจ้าของห้อง เพียงกัดฟันเอ่ยเสียงเบาว่า “สุนเอ๋อร์ ออกไปกับแม่เดี๋ยวนี้”ปัญหาของเด็กเล็กคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาระยะยาวและอาจจะไร้ทางผสานของผู้ใหญ่ตลอดไป เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ทั้งฮองเฮาและหลี่กุ้ยเฟยจึงพยายามระวังและรักษากิริยา เว้นระยะห่างพอควรทว่าสิ่งที่ได้ยินจากเด็กชายกลับทำให้หัวใจทุกคนกระตุกคล้ายดิ่งลงพื้น“สุนเอ๋อร์ไม่ไป ในเมื่อไม่อาจปิดบังแล้ว เสด็จแม่ปล่อยสุนเอ๋อร์ไปตามทางเถิด”องค์ชายน้อยปาดน้ำตาโผล่หน้าออกจากช่วงเอวพี่ชายคล้ายกระต่ายน้อยตื่นตูมแล้วพูดปนสะอื้นอีกว่า“ชีวิตนี้เป็นของสุนเอ๋อร์ เลิกเอากฎระเบียบมาบีบบังคับเสียที สุนเอ๋อร์อึดอัด มิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป”กล่าวจบก็ก้มหน้าร้องไห้เสียใจ ลู่หลิ่งยิ่งร้องไห้ตามองค์ชายห้าขวัญกระเจิงบินไปไกลแล้วจริงๆ การถูกตบหน้าจากบุพการีอันเป็นที่รักจนมีเลือดไหลที่แก้มเป็นสิ่งที่ทำร้ายหัวใจดวงน้อยอย่างไม่อาจบรรยายได้ คล้ายการทำลายแผ่นดินอันสวยงามให้ล่มสลายได้เลย ส่วนลู่หลิ่งคิดว่าความผิดเป็นของตัวเอง สหายเจอเรื่องเลว
เสียงดังสวบสาบ วิ่งหนีเร็วรี่ หลบเลี้ยวคล่องแคล่ว เหยียบดอกไม้จนเละตลอดทางเจ้าของฝ่าเท้ามิใช่ใคร เขาคืออู๋เจี๋ยองครักษ์หนุ่มคอยดูแลบุตรสาวตัวน้อยของรัชทายาททุกย่างก้าว วันนี้เขาย่อมแอบตามลู่หลิ่งเหมือนที่ต้องทำ ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันและด้วยไม่มีเวลาคิดการณ์ ยามนี้แขนหนึ่งจึงอุ้มลู่หลิ่ง อีกหนึ่งแขนยังอุ้มจ้าวสุน วิ่งหนีว่องไว กลับตำหนักฮุ่ยเยี่ยนเบื้องหลังเขาคือฮองเฮาและขันทีกับนางกำนัลสี่ห้าคน เบื้องหน้าคือตำหนักของพระสนมหลี่กุ้ยเฟย ส่วนด้านข้างเห็นแวบหนึ่งว่าเป็นชายร่างใหญ่ใส่ชุดดำทะมึนคล้ายโซวอ๋องอู๋เจี๋ยพาลู่หลิ่งกับจ้าวสุนมาถึงในตำหนักฮุ่ยเยี่ยนก็ปล่อยเด็กทั้งสองลงตรงหน้าห้องรับรอง กระซิบรวดเร็วว่า“รีบเข้าไปในห้องเร็ว พระสนมย่อมปกป้องได้”เด็กทั้งสองรีบจับมือกันวิ่งไวราวลูกธนูถูกยิง พุ่งพรวดผ่านตัวยี่ซินไปโดยไม่สนใจคำทัดทานนางกำนัลได้แต่ยืนถลึงตาอ้าปากกว้าง คนอื่นๆ ที่ถูกสั่งให้ยืนอยู่ห่างๆ ได้แต่ยืนก้มหน้าจึงมองไม่ทันชั่วครู่ต่อมาก็ปรากฏขบวนเสด็จของฮองเฮาครานี้ยี่ซินไม่ห้ามไม่ได้แล้ว จะปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่เข้าไปเหมือนเด็กน้อยวิ่งซนได้อย่างไรทว่ายี่ซินเป็นเพียงบ่า
มุมเล็กของห้องด้านในสตรีร่างระหงงดงามในอาภรณ์หรูหรายืนนิ่งประหนึ่งศิลา ปิ่นหงส์งามระย้าบนมวยผมยกสูงยังไม่กระพือไหว เห็นได้ชัดว่านางตกใจจนร่างแข็งทื่อไปแล้วเพราะสิ่งที่นางเห็นคือบุตรชายเพียงหนึ่งเดียว ความหวังหนึ่งเดียวในชีวิตของนาง กำลังแต่งหน้าทาชาด ตาเขียวปากแดง ประดุจงิ้วหลงโรงวันนี้หลังจากได้รับรู้ข่าวการตายขององค์ชายสาม ฮองเฮาหลิวเฟิ่ง ก็รู้สึกตระหนกไม่เบา นึกห่วงใยโอรสหนึ่งเดียวของตนไม่น้อยขนาดจ้าวหมิงอายุยี่สิบปียังถูกสังหารได้อย่างโหดร้าย ตายไปอย่างง่ายดาย แล้วบุตรชายอายุแค่เจ็ดปีผู้นี้ที่เป็นตัวเลือกในการแย่งชิงอำนาจกับรัชทายาท จะไม่ห่วงได้อย่างไร หลิวเฟิ่งจึงอยากอยู่ใกล้กับบุตรชายให้มากเข้าไว้ ปกป้องเขาตลอดเวลาทว่ายามนี้คือยามนอนหลับกลางวันขององค์ชายน้อย ฮองเฮาจึงมิให้ขันทีส่งเสียง มิให้บ่าวไพร่รบกวนเด็กชายที่กำลังพักผ่อน พระนางเดินเข้ามาด้วยปลายเท้าเงียบเชียบ แต่ไม่เห็นลูกรักนอนอยู่บนเตียง กลับได้ยินเสียงหัวเราะสดใสตรงมุมห้อง จึงเดินเข้าไปที่ต้นเสียงนั้น สุดท้ายสิ่งที่เห็นตรงหน้า กลับร้ายแรงยิ่งกว่าข่าวการตายขององค์ชายสาม“สุนเอ๋อร์...”เจ้าของนามหันหน้าตามสัญชาตญาณ“
หลังเลิกประชุมจากท้องพระโรงตำหนักฮุ่ยเยี่ยนคือสถานที่แรกที่ต้องไปเยือน จ้าวเหว่ยจึงไม่รอช้า เลี้ยวเข้าประตูแดงฝั่งตำหนักในทันทีเมื่อเดินเข้ามาจึงได้เห็นลู่หลิ่งในชุดสีเขียวอ่อนลายดอกไม้นอนหมอบเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้นห้อง กำลังเล่นต่อไม้อย่างตั้งใจ โดยมีหลี่กุ้ยเฟยนั่งมองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนหลังจากทักทายกัน รัชทายาทหนุ่มจึงเล่นต่อไม้กับลู่หลิ่งจนสำเร็จ ยังสอนเดินหมากอีกหนึ่งกระดานข่าวการตายของจ้าวหมิง สำหรับหลี่กุ้ยเฟยนับว่าร้ายแรงมาก โศกเศร้าไม่น้อย เมื่อเห็นบุตรชายปรากฏกายก็ต้องการพูดคุยทันทีทว่าเห็นจ้าวเหว่ยที่เอ็นดูลู่หลิ่งมาแต่ไหนแต่ไร กำลังเล่นต่อไม้เดินหมากเช่นนั้นจึงปรับใจให้เย็นลง รอจนลู่หลิ่งหาวก็รีบสั่งให้ซูเหยาพาเด็กน้อยไปหลับกลางวันก่อน เรื่องเลวร้ายอัปมงคลเช่นนี้จะให้เด็กเล็กตาใสร่วมฟังมิได้โดยเด็ดขาดคล้อยหลังลู่หลิ่ง จ้าวเหว่ยจึงส่งสายตาบอกยี่ซินว่าต้องการคุยกับมารดาเพียงสองต่อสอง ยี่ซินย่อมเข้าใจ จึงรีบพานางกำนัลออกไปจากห้องทั้งหมด ตนเองยังยืนเฝ้าหน้าห้องมิให้ใครเข้าใกล้คุณหนูสูงศักดิ์ได้ข่าวการกลับมาของรัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลางามสง่าที่พวกนางเฝ้าฝันคะนึงหาทุกคื