ชั่วขณะครุ่นคิดลึกซึ้ง ชายผ้าสีน้ำเงินพลันถูกกระตุกจากเบื้องล่าง จ้าวเหว่ยก้มลงมอง เห็นเด็กน้อยน่ารัก ดวงหน้าจิ้มลิ้มดวงตากลมโต พวงแก้มอมชมพูระเรื่อ กำลังแหงนมองพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด ยี่ซินเคยชี้แนะบุคคลสำคัญจนหมด ใครเป็นใครในวังแห่งนี้นางล้วนจำได้ดี และเพื่อความสงบสุขของมารดาจึงรู้ว่าควรประจบเอาใจใคร ควรหนีห่างใคร ใช้ความน่ารักสดใสให้เป็นประโยชน์สูงสุดอย่างไรเด็กหญิงกางแขนออก สีหน้าออดอ้อน ทำท่าให้อุ้ม เพราะนางตัวเล็กเกินไป มองท่านแม่ไล่ฆ่าท่านพ่อไม่ถนัดรัชทายาทหนุ่มยิ่งอึ้งเมื่อเข้าใจท่าทางของเจ้าก้อนแป้งอู๋เจิ้งที่ยืนอยู่เบื้องหลังกระซิบบอก “แม่นางน้อยคือลู่หลิ่ง บุตรสาวของแม่นางซานพ่ะย่ะค่ะ”ประหนึ่งถูกฟ้าผ่ากลางใจอีกคำรบใหญ่ เกิดกระแสอุ่นวาบที่กลางอกแกร่ง ส่งผ่านม่านตาจนเดือดระอุ ดวงตาบุรุษพลันร้อนผ่าวจ้าวเหว่ยค่อยๆ ยอบกายสูงสง่านั่งลงตรงหน้าเด็กน้อย เอื้อมมือสั่นเทารั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงเด็กหญิงกล่าวว่า“ท่านแม่โกรธท่านพ่อมากมายเหลือเกิน องค์รัชทายาททรงเปี่ยมเมตตา พระองค์ทรงห้ามท่านแม่ได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้ท่านแม่ฆ่าท่านพ่อเลย”
ริมดอกไม้ของตำหนักหรูหรา มีผู้คนวุ่นวาย ทั้งทหาร ขันที นางกำนัล ยืนเกาะกลุ่มอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาทหนุ่มผู้อุ้มเด็กหญิงน่ารักแนบอก คล้ายเป็นอาวุธหนึ่งเดียวที่จักต่อสู้กับมัจจุราชจากปรภพเบื้องหน้าของกลุ่มผู้คนทั้งหมด คือสตรีผู้หนึ่ง เป็นนางกำนัลร่างระหงอ้อนแอ้น ในมือถือดาบที่ช่วงชิงมา นางยืนจ้องมองทุกชีวิตอย่างชั่วช้าโหดร้ายจ้าวเหว่ยพยายามมองซานซานด้วยสายตาเรียบนิ่ง คงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมนุ่มลึก แผ่ซ่านกลิ่นอายทรงอำนาจของบุรุษมากบารมีโดยธรรมชาติเดิมทีซานซานไม่คิดจะไว้หน้าผู้ใด ทหารทั้งหลายที่คอยเกลี้ยกล่อมหวังไกล่เกลี่ยยิ่งไม่อยู่ในสายตา ทว่ากับบุรุษสูงศักดิ์ตัวโตมากกว่าเจ็ดเซียะ[1]ตรงหน้า นางไม่อาจไม่ใส่ใจหญิงสาวรีบปรับอารมณ์โกรธา แหงนใบหน้าที่อยู่แค่ระดับแผงอกหนาแล้วส่งสายตาทอดมองบุรุษตัวสูง กิริยาที่แสดงออกเฉกเช่นผู้น้อยมองผู้นำ มิบังอาจแสดงอาการกราดเกรี้ยวหรือทำตัวไม่บังควร“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”ซานซานทำความเคารพจ้าวเหว่ยตามพิธีการ ท่าทางเดือดดาลร้อนรุ่มเมื่อครู่สงบลงมาก รังสีน่าสะพรึงเจือจางหายไป ภัยคุกคามใดๆ ล้วนอันตรธานจ้าวเหว่ยเห็นเช่นนั้นอาการแข็งทื่อทั่วร่างก็เริ่
บางอย่างในร่างกายของเขาถูกกระตุ้นเร้าให้ต้องการนางเดี๋ยวนี้ ทว่าจักครอบครองภรรยาในธารกำนัลได้อย่างไร...ซานซานย่อมมิอาจล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของชายสูงศักดิ์ตรงหน้า ทว่าสายตาลุ่มลึกที่จ้องมองมาทำเอานางรู้สึกร้อนวาบอย่างประหลาด หัวใจเต้นระรัวผิดปกติมิคาดว่ากลิ่นอายชายชาตินักรบของเขาจะเปี่ยมเสน่ห์ปานนี้ ทรงพลังดึงดูดปานนั้น คล้ายมีไฟราคะร้อนเร่าพร้อมแผดเผาหลอมละลายสองเราไปด้วยกันบุรุษหนุ่มรูปงาม แม้ยืนตรงหน้าทว่ากลับสูงศักดิ์ต่างระดับ ทั้งสูงส่งเทียมฟ้าจนมิกล้าอาจเอื้อม สตรีธรรมดาผู้หนึ่งจึงไม่บังควรคิดการณ์อันใดให้เกินเลยได้ทั้งนั้นซานซานรีบกะพริบตา ดึงสติตนเองกลับมาโดยพลันขณะเดียวกัน เด็กน้อยลู่หลิ่งที่ถูกอ้อมกอดแข็งแกร่งของจ้าวเหว่ยโอบอุ้มอยู่ก็อ้าแขนออกแล้วโผหามารดาตามสัญชาตญาณ“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเคยถูกองค์หญิงองค์ชายอุ้มอยู่บ้าง ซานซานจึงมิได้แปลกใจเมื่อเห็นบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนของรัชทายาท“ท่านแม่ๆ”เมื่อได้ยินเสียงเรียกอีกครั้ง ซานซานจึงส่งสายตาขออภัยไปยังบุรุษสูงศักดิ์ผู้ยืนตระหง่านปานภูผา พลางเอื้อมมือรอรับลูกด้วยกิริยาอ่อนโยน คลี่ยิ้มละมุนตา“หม่อมฉันขอตัวบุตรสาวคืนเพคะ”จ
หนึ่งบุรุษสูงส่งเป็นถึงองค์ราชันย์เหนือน่านฟ้า หนึ่งสตรีต่ำศักดิ์ไร้ค่ามิอาจล่วงเกินแม้แววตาซานซานจึงมองแค่อู๋เจี๋ย สายตาทั้งเย็นเยียบและเย็นชา สีหน้าบึ้งตึงโกรธามีโทสะ จ้าวเหว่ยยังคงมองนิ่งแค่เพียงซานซาน สายตาลุ่มลึกของเขาไม่อาจละไปทางใด ได้ยินนางกล่าวกับอู๋เจี๋ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“นี่คือหลิ่งเอ๋อร์ เจ้ามองให้เต็มตา ว่านางน่ารักน่าเอ็นดูปานใด ข้าอยากรู้นัก ว่าใจของเจ้าทำด้วยอะไร ถึงได้ทิ้งข้าเอาไว้ ไม่ไยดีแม้แต่ลูกตัวเอง ข้าเกลียดเจ้า”ถึงแม้น้ำเสียงจะเรียบเรื่อย ไม่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ทว่ากลับนำพาความเย็นเยือกทะลุอกทะลวงใจกล่าวจบก็ทำความเคารพองค์รัชทายาทแล้วหมุนกายเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งเยื่อใยไมตรี ไม่มีแม้หยาดน้ำตาจ้าวเหว่ยพลันตัวชาวาบ ลอบขบกรามแน่น สองมือกำหมัดจนเส้นเลือดนูนเด่น สองตาลุ่มลึกวูบไหวรุนแรงนั่นคือคำพูดตัดรอนของคนที่พร้อมตัดใจไม่คิดหวนคืนหากนางรู้ว่าแท้จริงแล้ว เหย่หนิวคือเขา สายตาชื่นชม รอยยิ้มจริงใจ ท่าทางเลื่อมใส วาจาเป็นมิตรเช่นนั้น เขายังจะได้รับอีกหรือไม่?แน่นอนว่าวีรบุรุษผู้กล้า มิอาจเสี่ยงกับโทสะภรรยา!เมื่อซานซานอุ้มลู่หลิ่งเดินจากไปทางเร
ใต้ต้นไม้สุดทางริมระเบียงลับสายตาผู้คนของเรือนพักหลังตำหนักฮุ่ยเยี่ยนซานซานยืนกอดอกพิงต้นไม้อยู่นิ่งๆ รอบกายแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบ แววตาน่าพรั่นพรึงตลอดเวลาเบื้องหน้านางคือซูเหยา กำลังคุกเข่าร่ำไห้ขอร้องไม่หยุด“ข้ายินดีตัดสัมพันธ์กับอาเจี๋ย ไม่เจอหน้าเขาอีกชั่วชีวิต เพื่อให้พี่ซานอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก รักกันปรองดองยืนยาว ขอแค่พี่ซานให้อภัยเขา”เจ้าของนามหรี่ตา สีหน้าเฉยชา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามไปเช่นนั้น ในใจนางยังครุ่นคิดแน่วนิ่งซูเหยาเคยบอกว่ามีคนรักเป็นองครักษ์ตั้งแต่เข้าวังครั้งที่อายุได้แค่สิบสาม ยามนี้อายุสิบเก้า คำนวณแล้วก็หกปีนั่นมิใช่ว่ารักอยู่กับเหย่หนิวก่อนนางหรือไร?ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ซานซานลอบกลอกตามองฟ้าอันไกลโพ้น แอบตัดพ้อด้วยความขมขื่นใจอาจารย์! ท่านส่งข้ามาให้เป็นแม่ของลูกแก่ชายที่มีคนรักอยู่แล้วได้อย่างไร ท่านจงใจให้ข้าถูกทิ้งใช่ไหม เกินไปแล้วนะ!ชั่วขณะกำลังโอดครวญกับอาจารย์ที่อยู่อีกดินแดนหนึ่ง ซานซานก็ได้ยินซูเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทั้งน้ำตาว่า“พี่ซาน ข้าขอร้อง ให้อภัยอาเจี๋ยเถิด เขามิใช่คนเลวร้ายอันใด ข้ารู้จักนิสัยของ
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว ซานซานยืนนิ่ง สองมือกำแน่น ละสายตาจากพุ่มไม้กลับมามองซูเหยาเงียบๆ สงบนิ่งสุดแสน เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเซียวเต็มไปด้วยความขมขื่น ก็ยิ่งเจ็บแค้นแทบกระอักโลหิตแม้ว่ากำลังสะอึกสะอื้นจนแทบจะหายใจไม่ทัน แต่ก็ยังพยายามขอร้องเพื่อชายผู้นั้นไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าซูเหยารักเหย่หนิวมากเพียงใด อาจจะรักมากกว่ารักตัวเองด้วยซ้ำไปช่างโง่เขลานัก!หญิงสาวเป็นคนตรงและใจกว้าง ไม่โผงผางแต่ชัดเจนทุกวาจา นางแค่นเสียงในลำคอก่อนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเอ่ยเนิบช้า“น้ำที่ไหลไปย่อมไม่ไหลย้อน สิ่งที่ตัดแล้วยิ่งไม่อาจต่อได้ ไมตรีสะบั้นไม่มีทางผสานคืน ตัวข้าซานซานเดินหน้าแล้วไม่คิดถอยกลับแน่ แม้สิ่งที่เจ้าพูดมามีเหตุผล ทว่ากลับฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น" ซานซานหรี่ตาย้ำชัดว่า "อีกอย่าง...ใต้หล้านี้มิได้มีชายเพียงคนเดียว และข้าก็ไม่คิดแย่งชิงกับใคร ข้าจะหาสามีใหม่ ส่วนเจ้ากับชายผู้นั้นจะรักกันก็รักไป ทุกสิ่งล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว” แววตาเยียบเย็น น้ำเสียงเคร่งขรึม เผยความเฉียบขาด ตัดใจได้จริงดังวาจา แม้ว่าซานซานมิได้ใช้คำรุนแรงหรือมีสีหน้าบึ้งตึง แต่กลับมีท่าทางที่เย็นยะเยือกกดดันผู้อื่น โดยเฉพา
ใต้ร่มไม้สุดริมระเบียงแห่งเดิมซานซานรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายสูงศักดิ์ของบุรุษหนุ่มจึงหยุดถ้อยวาจาทันที ซูเหยาเห็นเช่นนั้นก็รีบปาดน้ำตาออกจากวงหน้าอย่างทุลักทุเล พวกนางรีบหันหน้าไปทางองค์รัชทายาทผู้กำลังเยื้องย่างผ่านมาทางนี้ ทั้งสองพากันทำความเคารพทันทีเรือนร่างกร้าวแกร่งสง่างามในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของจ้าวเหว่ยยืนนิ่งเงียบงัน ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น ซูเหยาเห็นเป็นโอกาสงามจึงรีบกระซิบกระซาบใส่หูซานซาน“พี่ซานใช้โอกาสนี้ขอร้องพระองค์ให้ทรงปล่อยอาเจี๋ยออกมาก่อนเถิดนะ หลังจากนั้นพวกเราสามคนค่อยมาตกลงกัน”ซานซานแค่นเสียงเฮอะ เอ่ยลอดไรฟัน “ฝันไปเถอะ!”"..."จ้าวเหว่ยโบกมือเบาๆ ให้ซูเหยาออกไปก่อน พลางส่งสายตามองซานซานหมายตรึงนางไว้มิให้ขยับไปทางใดทุกคนล้วนเข้าใจ ซานซานจึงยืนนิ่งกะพริบตาหนึ่งครา ส่วนซูเหยาก็รีบสงบปากสงบคำแล้วเดินจากมา ยังไม่ลืมหันมองซานซานด้วยสายตาขอร้องเป็นระยะ เมื่อเลี้ยวเข้ามุมระเบียงจึงเจอกับลู่หลิ่ง เด็กหญิงยกนิ้วเล็กขึ้นจุ๊ปาก บอกเสียงเบาว่า“น้าเหยาใจเย็นเถิด การที่ท่านพ่อผู้นั้นของหลิ่งเอ๋อร์ถูกจับขังคุกย่อมรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ดีกว่าอยู่ข้างนอกใกล้ท่านแม่อย่างแน่น
ทั้งสองปล่อยเวลาให้เคลื่อนผ่านไร้สรรพเสียงใดเล็ดลอดจากแต่ละฝ่าย เนิ่นนานผ่านไปผู้น้อยเช่นซานซานจึงปรับอารมณ์ขุ่นมัวกลืนลงท้องจนเกลี้ยง ก่อนถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยอย่างสำรวมว่า“หม่อมฉันขออภัยที่ล่วงเกินคนของพระองค์ และรับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก แค่เพียงให้เขาอยู่ในคุกไปเช่นนั้น ย่อมปลอดภัยแล้วเพคะ”จ้าวเหว่ยแสร้งยิ้มบาง “ดูท่าทางเจ้าคงโกรธสามีผู้นี้มาก”ซานซานลืมตัว ตอบทันควัน “มิได้โกรธแต่เกลียด!”เรียวคิ้วบุรุษกระตุกเล็กน้อย เอ่ยปากหยั่งเชิง “เจ้าไม่คิดว่าควรถามไถ่ถึงเหตุผลดีๆ สักหลายข้อถึงความจำเป็นของเขา”ใบหน้างามยิ่งนานยิ่งเย็นชา นางแค่นเสียงไม่สบอารมณ์ออกมา “เขาได้รับอันตราย ต้องหลบเร้นซ่อนกาย สุดท้ายกลับถิ่นเดิมได้ แต่ยังไม่มีความสามารถมากพอต่อภรรยาเช่นหม่อมฉัน”รัชทายาทหนุ่มถึงกับสะดุดลมหายใจ ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกระตุกไม่หยุดทุกการคาดเดาของซานซานคือความจริงที่ยากจะปฏิเสธ นางเป็นคนฉลาดเสมอ จ้าวเหว่ยให้นึกละอายใจ ระหว่างนั้นยังได้ยินเสียงกังวานใสเอ่ยอีกว่า“เช่นนั้นอิสระคือสิ่งที่หม่อมฉันปรารถนา เหตุที่เข้ามายังที่แห่งนี้เพื่อจะได้ตัดใจไม่อาวรณ์อีก” นางเงยหน้าสบเนตร
ซานซานยืดตัวหลังตรงยกมือกอดอก ม่านตาดำยิ่งนานยิ่งหรี่แคบ นางกล่าวต่อด้วยสุ้มเสียงเย็นเยียบไปทางอู๋เจี๋ย“วันนี้ที่มา ข้ามิได้มาเยี่ยมเจ้าเฉยๆ หรอกนะ แต่ข้ามาเพื่อบอกกล่าวข่าวดีแก่เจ้า”บุรุษทั้งสองตั้งใจฟังยิ่ง คนหนึ่งยืนอีกมุม คนหนึ่งยืนกลางห้องขัง ตัวเกร็งไปหมดซานซานกวาดตามองเยือกเย็น จับสังเกตทุกกิริยาร่างระหงสืบเท้าเนิบนาบดุจวิญญาณร้ายเข้ามาเดินเล่นวนเวียนรอบกายเหม็นสาบเพราะมิได้อาบน้ำของอู๋เจี๋ย“ข้ามีสามีใหม่แล้ว”“หา!”น้ำเสียงแว่วหวานดังเรียบเรื่อยเท่านั้น ทว่ากลับคล้ายมีฟ้าถล่มผาทลายลงตรงหน้า อู๋เจี๋ยอุทานดังลั่น ดวงตายิ่งเบิกโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้า“เจ้าว่าอะไรนะ?”ซานซานขยับยิ้มกว้าง “สามีใหม่ของข้า เขาทั้งหล่อเหลาและมีเสน่ห์ยิ่งนัก บทรักของเขาก็ร้อนแรงเหลือเกิน แล้วยัง...”“หยุด!”อู๋เจี๋ยคำรามก้องจนสะท้อนห้องขัง แต่ทหารยามไม่มีใครได้ยินสักคน องครักษ์หนุ่มสืบเท้าเข้าหาซานซานทันที“เจ้า...”หญิงสาวเลิกคิ้วสูง แววตาท้าทาย ได้ยินชายหนุ่มตะคอกใส่หน้าอย่างขาดสติว่า“เจ้ากล้ามีสามีใหม่รึ ได้อย่างไร บังอาจยิ่ง ผิดมหันต์นัก ข้า...ข้าจะทูลรัชทายาทให้จัดการเจ้า”ซานซานแค่นเสียงเฮอะ
ฉับพลันในห้วงภวังค์ของซานซานก็มีอู๋เจี๋ยแทรกเข้ามา องครักษ์หนุ่มผู้เป็นสามีของนางขณะเดียวกันก็มีใบหน้าของซูเหยา สตรีอ่อนแอที่คุกเข่าทั้งน้ำตาต่อหน้า ไหล่บอบบางสั่นไหวเพราะร่ำไห้เสียใจสุดแสน ปากยังขอร้องแทนบุรุษไม่หยุด เล่ห์เหลี่ยมยิ่งไม่มีให้เห็นวันที่ประจันหน้ากับอู๋เจี๋ย สายตาของเขายามมองนางกับมองซูเหยาต่างกันในแววตาที่มองนางมีเพียงความหวาดกลัวและรู้สึกผิด แต่แววตาที่มองซูเหยากลับมีความรู้สึกผิดและความรักท่วมท้นพวกเขารักกันมาก่อน ทั้งยังรักกันปานนั้นหากนางไม่ตัดใจ ย่อมมิใช่คนแล้ว...หญิงสาวยิ่งครุ่นคิดหนักหน่วง นางพยายามนึกถึงอู๋เจี๋ยทว่ายิ่งเพ่งพินิจนึกถึงภาพอู๋เจี๋ย ซานซานยิ่งสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง ลักษณะท่าทางยังคล้ายคนแปลกหน้า ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด หากแต่เหตุการณ์เมื่อคืนกับรัชทายาทจ้าวเหว่ยกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งยังมีประโยคเด่นชัดในห้วงฝันนั่นอีก!คิดไปคิดมาก็พลันนึกถึงฉากรักกับจ้าวเหว่ยคิดถึงลีลากอดเกี่ยวโอบกระหวัด ท่วงท่าต่างๆ ยามรึงรัด รสสัมผัสเคล้นคลึงจากฝ่ามือหนา วงแขนแข็งแรงที่กกกอด ยามประทับจุมพิต ทิศทางการไล้แผ่วปลายนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าใบหน้าหล่อเหลาป
หลี่กุ้ยเฟยถอนหายใจหนักอก แล้วเอ่ยตามตรง“อาซาน ฐานะทางสังคมของเจ้าต่ำต้อยด้อยศักดิ์เกินไป ทั้งนิสัยใจคอของเจ้ายังร้ายกาจเกินไป ข้าไม่อาจให้เจ้าพลาดพลั้งถลำใจไปกับเสน่หาอันลึกล้ำของรัชทายาทได้ หากเจ้าชอบเขามากๆ แล้วพระชายาในภายภาคหน้าของเขาจะเป็นเช่นไร มิเหลือแต่ซากรึ?”“...!?”ประโยคที่ได้ยินทำผู้ฟังแปลกใจจนเลิกคิ้วสูง นึกฉงนไม่น้อย ได้ยินพระนางกล่าวอีกว่า“ข้ามั่นใจว่า สตรีที่จะได้เป็นพระชายาของเขา ย่อมต้องเป็นสตรีหนึ่งเดียวในดวงใจแน่ เจ้าไม่ควรเป็นศัตรูหัวใจกับนาง”“...!?”“เอาล่ะๆ เมื่อคืนเจ้าทำดีแล้วแต่อารมณ์กำหนัดของบุรุษข้าเองก็ไม่ควรเพิกเฉย หากปล่อยปละละเลยอาจป่วยไข้เอาได้ จำไว้ว่าต่อให้เจ้าได้ปรนนิบัติบุตรชายข้า ก็อย่าได้คิดเกินเลยกว่าฐานะสาวใช้อุ่นเตียง และอย่าเข้าใกล้หากไม่จำเป็น เขารูปงามปานนั้น สูงส่งน่าหลงใหล เจ้าทนทานมิให้บังเกิดรักปักใจต่อเขามิได้หรอก หากเป็นเช่นนั้น ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าต้องลำบากแน่ๆ”“...!?”ซานซานรับฟังด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หมดคำใดจะเอื้อนเอ่ย ได้ยินหลี่กุ้ยเฟยเอ่ยย้ำอีกครั้ง“ไปคัดกฎระเบียบราชวังหนึ่งร้อยจบ อย่าให้ใครครหาเอาได้ว่าเจ้าใช้ความโปรดปรานข
ชาติก่อนซานซานคือนางมารจอมชั่วร้ายผู้หนึ่ง ชาตินี้นับว่าเป็นคนดีมากนัก เหลือไม่ดีอีกเล็กน้อยเท่านั้นยกตัวอย่างเช่นเรื่องนี้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับบุตรชายสุดที่รักของเจ้านาย ทำตัวคล้ายบ่าวหญิงแพศยาในเรือนขุนนางนอกวังไม่ผิดเพี้ยน เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในวังหลวง หญิงรับใช้ใกล้ชิดของพระสนมยังแอบปีนเตียงฮ่องเต้เพื่อยกฐานะตน เพียงแต่ซานซานมิได้ต้องการฐานะอันใดให้ยุ่งยากซับซ้อน ขอแค่เงินทองเยอะๆยี่ซินตีหน้าขรึมเอ่ยเสียงเข้ม “อย่ามาโกหกเลย อาซาน เจ้ากล้าปฏิเสธรัชทายาทเชียวรึ?”“โอว...” ซานซานมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ไม่ปฏิเสธได้รึ?”ยี่ซินถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไป “เจ้านี่นะ”หลี่กุ้ยเฟยนั่งจิบชานิ่งฟังบทสนทนาด้วยสีหน้าเยือกเย็น รู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของซานซานไม่เบา ได้ยินเสียงสนทนากระซิบกระซาบของคนสนิททั้งสองเกิดขึ้นต่อเนื่องว่า“พี่ซินๆ”“หืม?”“รัชทายาทมีนางกำนัลอุ่นเตียงเยอะหรือไม่?”“เจ้าถามทำไม?”“พระองค์ยังมิได้แต่งงาน แสดงว่ามีคนอุ่นเตียงเยอะแล้ว เช่นนั้นข้าจึงเห็นสมควรว่าไม่ควรเข้าไปเพิ่มจำนวนให้วุ่นวาย”“เหลวไหล!” ยี่ซินเริ่มเสียงดัง “รัชทายาทของพวกเราเป็นบุรุษที่หวงเ
แสงตะวันยามเช้าแผดกล้าร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกได้ว่าถึงเวลาที่ควรไปดูแลบุตรสาวตัวน้อย อันสำคัญเหนืออื่นใดซานซานจึงส่ายศีรษะไล่ความง่วงงุนให้สิ้นไปแล้วลุกขึ้น ยังไม่ลืมทำลายหลักฐานบนเตียงนอน ที่บัดนี้โชยคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายวสันต์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลังร่วมรักส่วนยาห้ามครรภ์ แน่นอนว่าซานซานปรุงขึ้นได้ไม่ยาก และไม่มีใครรู้ด้วยนางจะทำเป็นยาลูกกลอนเม็ดกลมเล็กๆ จะได้พกพาสะดวกหลังจากล้างเนื้อตัวจนสะอาดหอมกรุ่น ยังไม่ลืมลบเลือนริ้วรอยฝากรักก่อนสวมใส่ชุดนางกำนัลเช่นเดิม ออกจากห้องมาหาบุตรสาว กินข้าวเช้าด้วยกัน คุยเล่นหยอกเย้า ชี้แนะทุกเรื่องราว พาไปส่งสำนักศึกษาประจำราชวัง ได้ร่ำเรียนร่วมกับบุตรหลานเชื้อพระวงศ์เด็กๆ ในชั้นเดียวกันยังอายุน้อย ปัญหาปากเสียงกระทบกระเทียบระหว่างชนชั้นจึงไม่มี ลู่หลิ่งเข้ากับทุกคนได้ดียิ่งโดยเฉพาะองค์ชายห้า นามว่า ถังจ้าวสุนถังจ้าวสุนคือโอรสหนึ่งเดียวของฮองเฮาแห่งต้าถัง หลายครั้งที่ซานซานได้เห็น เด็กชายอ้วนท้วนอายุเพียงเจ็ดปีผู้นี้จูงมือหลิงเอ๋อร์ในวัยสี่ปีวิ่งเล่นไปทั่วอุทยาน หากรอดพ้นสายตานางกำนัลได้ ก็มักจะสลับกันผัดหน้าทาชาดสนุกสนาน บางวันยังมีน้ำมันหอ
ผู้ฝึกยุทธ์มักเปี่ยมกำลังวังชา การศึกครานี้จึงใช้เวลายาวนานนัก การทรมานอันสุขสมคล้ายนิรันดร์การเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างซานซานและจ้าวเหว่ย ยังคงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ นับตั้งแต่ห้าปีก่อนที่เรือนริมธาร กระทั่งยามนี้ที่ตำหนักใน ความสัมพันธ์ทางกายสนิทสนมเยี่ยงนี้คล้ายโซ่ตรวนชนิดหนึ่ง ซึ่งผูกพันทั้งสองเอาไว้จนยากจะคลายตัวลมราตรียังคงเย็นเยียบโชยผ่านเรือนพัก แต่ใครจะรู้ว่าเตียงในห้องๆ หนึ่งจักอุ่นร้อนเพียงใด จ้าวเหว่ยไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยซานซานเอาไว้ให้นอนคนเดียว กำลังวังชามากมายของเขาล้วนใช้ไปกับกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาทำเอาซานซานถึงกับอ่อนระโหยโรยแรงหน้ามืดตาลายไปหมด หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่า องค์รัชทายาทผู้สูงส่งเลิศล้ำจักเป็นบุรุษเช่นนี้ ทำนางมึนงงสิ้นดี พอเสียทีได้ไหม?“หยุด...หยุดก่อน...” เส้นเสียงแหบแห้งเพราะผ่านการครวญครางนับครั้งไม่ถ้วนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ไม่ไหวแล้ว...”ขณะที่หยาดเหงื่อกำลังผุดพราย รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าบุรุษ จ้าวเหว่ยก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกโด่งสันหอมแก้มนางไปอีกหนึ่งครั้ง ก่อนมอบอิสระให้แก่ร่างอุ่นนุ่มโดยการปล่อยนางออกจากวงแขนร้อนผ่าวชื้นเหงื่อ แล
รัชทายาทหนุ่มไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดีซานซานยังคงคิดถึงชายอัปลักษณ์แม้ว่ากำลังร่วมรักกับชายงามสูงศักดิ์จ้าวเหว่ยรู้ดี ว่านางใต้ร่างมิได้รักเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองอู๋เจี๋ยที่คิดว่าเป็นเหย่หนิวก็ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่เช่นกันก่อนหน้านี้ยามที่ประจันหน้า ทั้งแววตาทั้งท่าทาง เผยชัดแจ้งถึงความแค้นเคืองชิงชัง ไม่มีความหลังให้จดจำหวนคืนนางชัดเจนปานนั้น แต่กลับ…ชั่วขณะหนึ่งที่เห็นเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลายามก้มลงต่ำพร้อมลมหายใจหนักหน่วงรินรดข้างแก้ม ซานซานก็เริ่มจับกระแสความคิดของจ้าวเหว่ยได้เพราะใบหน้าใกล้กันถึงเพียงนี้ สายตาดำจัดของเขาร้อนแรงปานนั้น ราวกับมีเปลวเพลิงเต้นระริกไม่หยุด ทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนระคนแปลกใจเรียวคิ้วงามขมวดวูบ “ท่านได้ยินนี่”เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มพลันบังเกิด “ข้ามิได้หูหนวก”ซานซานยิ่งรู้สึกผิด “หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ”จ้าวเหว่ยหยุดขยับกาย แต่ยังรักษาความรู้สึกรัญจวนใจเอาไว้ด้วยการฝังนิ่งตรึงนาง ก้มหน้าหอมแก้มนวลแรงๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงสั่นพร่าอย่างใจดีว่า “เจ้าแก้ตัวด้วยการเรียกนามข้าได้”หญิงสาวเบือนหน้าหนี “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”ชายหนุ่มไม
บนเตียงนุ่มที่เริ่มอุ่นร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร่างสองร่างเปล่าเปลือยกอดกระหวัดรัดรึงด้วยความทุลักทุเลเพราะฝ่ายสตรีไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มานานมาก ทั้งยังรู้สึกแปลกหน้ายิ่ง จึงตอบสนองเงอะงะพอควรจ้าวเหว่ยถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาว ในใจนึกเอ็นดูระคนสงสาร แต่ท่าทางตื่นเต้นของซานซานทำเขานึกอยากแกล้งอย่างที่สุด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะคลายวงแขนปลายจมูกโด่งสันไล่หอมแก้มนวลไม่หยุดยั้ง ริมฝีปากยังไล่จุมพิตไปทั่วใบหน้า ลำคอ เนินอก ทิ้งร่องรอยลึกซึ้งไม่มีเกรงใจ จนซานซานต้องถอยร่นจนชิดผนังห้องข้างเตียงอย่างหมดท่าบุรุษยิ่งนานยิ่งรุกล้ำ จนใบหน้าขาวผ่องเนียนนุ่มยิ่งนานยิ่งเห่อแดงร้อนแรงกว่าถ่านไฟ กิริยาท่าทางดุจดรุณีวัยแรกแย้ม มิใช่จอมยุทธ์หญิงอีกต่อไป ซึ่งซานซานเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงได้กลายร่างเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปเช่นนี้จ้าวเหว่ยยังคงรุกไล่จุมพิตซานซานไปทั่ว ฝังใบหน้ากับหน้าอกอวบอิ่ม ดูดกลืนยอดถันชูชัน กระทั่งนางเขินอายจนพลิกตัวหันหลังให้เพื่อทำใจ เขาก็ยังไล่จูบนางทางด้านหลังประทับตราตั้งแต่เรือนผม ท้ายทอย หัวไหล่ แผ่นหลังนวลเนียนฝ่ามือร้อนลวกยังจับกระชับเอวคอดกิ่ว ลูบไล้วกวนตรงหน้าท้องแบนราบ จนซ
บรรยากาศตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายทันที จ้าวเหว่ยยิ้มอ่อน วงแขนยิ่งกระชับ “หากบอกว่าใช่”ซานซานให้รู้สึกขนลุกชูชัน “เราตกลงกันแล้วว่าไม่มีเรื่องงมงายไร้สาระ หากยังเอ่ยเช่นนี้ เห็นทีหม่อมฉันคงไม่สะดวกแล้ว”จ้าวเหว่ยหัวเราะในลำคอเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้ากล้า”ซานซานแค่นยิ้ม “จ้องนาน สี่หีบ!”“...”สมเป็นนาง...ไม่ว่าเรื่องใดยิ่งไม่เคยนึกหวั่น นอกจากไม่กลัวหรือเขินอายยังกล้าท้าทาย...แน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่มีทางปล่อยซานซานไปสามีที่ห่างเหินการร่วมรักกับภรรยาเนิ่นนานปี เมื่อเจอกันอีกทีไม่พุ่งกายเข้าใส่ก็คงมิใช่คนปกติเขายังไม่ลืมย้ำเสียงหนัก“เจ้าปรนนิบัติข้าได้แค่คนเดียว เข้าใจหรือไม่?”“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ รีบๆ ทำเถิด”แม้เอ่ยเช่นนั้น แต่ร่างระหงอ้อนแอ้นกลับนอนนิ่งแข็งทื่อบุรุษยกยิ้มเอ็นดูแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลงจรดริมฝีปากตนกับนางแผ่วเบาคล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาซานซานพลันเบิกตากว้าง รู้สึกได้ว่ากลีบปากอีกฝ่ายร้อนมากๆ จนอาจจะลวกปากนางได้อึดใจก็เปลี่ยนเป็นกะพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกได้ถึงจุมพิตที่แนบแน่นยิ่งขึ้น ต่อมาก็กลายเป็นรุกล้ำแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เรียวลิ้นร้อนชื้นตวัดออกมาจากปากชายเหนือร่างเข้า