วันนี้อากาศสดใสไร้ลมฝน ศิวเศขร คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงเปิดทำการเฉกเช่นวันอื่นๆ วันศุกร์สุดสัปดาห์อย่างนี้ดูเหมือนจะเป็นวันดีๆ ของพนักงานหลายๆ คน ยกเว้นรวีกานต์ เพราะสาวมั่นคนงามอยากให้วันนี้เป็นวันจันทร์ จะได้มาแอบมองบอสใหญ่อีก เขาจะเดินผ่านเธอไปยังลิฟต์โดยสาร เพื่อขึ้นไปยังห้องทำงานที่ชั้นยี่สิบ เธอจะรีบมาก่อนเวลา ทำทีเป็นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ล็อบบีด้านล่างเพื่อรอการมาของเขา
วันนี้ก็เช่นกัน เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม วงหน้าขาวจัดนั่นประหนึ่งไม่เคยโดนแสงแดด เขาทักทายพนักงานพอเป็นพิธี ไม่ได้คลี่ยิ้ม เพียงแค่ก้มหน้าให้เล็กน้อยยามสบตาคนที่ยืนรอ เธอมองเขาจนเขาเดินเข้าลิฟต์ไป แน่นอนว่าหลังจากนั้นเธอต้องวิ่งสี่คูณร้อยเพื่อไปให้ทันเวลาสแกนบัตรเข้างานของตัวเอง
ใกล้เวลาพักเที่ยง รวีกานต์ด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้องบอสใหญ่ เลขาของเขากำลังจัดเก็บแฟ้มงานให้เรียงกันเป็นตั้ง บุรุษร่างผอมแกรน อายุมากกว่าเธอหลายปี หันมามองเธออย่างใคร่รู้ แน่ล่ะ เกือบแปดปีที่ทำงานที่นี่ เธอไม่เคยขึ้นมาถึงชั้นนี้เลยนี่นา
“เอ่อ...มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” เลขาวัยเลยหนุ่มเอ่ยถามพนักงานสาว ดูจากป้ายที่ห้อยคอเจ้าหล่อน เขาพอรู้ว่าหล่อนทำงานที่แผนกใด
“คือว่า บอสอยู่ไหมคะ ขอพบสักห้านาทีได้ไหม” ถามอย่างเกรงๆ อีกฝ่ายมองเธออีกรอบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอได้แต่มองค้อนอย่างงอนๆ
“นัดไว้หรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ คือว่าฉันจะเอาของมาคืนน่ะ” ว่าแล้วชูร่มให้ดู พร้อมกับกล่องขนมที่ผูกโบน่ารัก
“อ่า...นี่มันก็ใกล้เที่ยงแล้ว บอสคงออกไปรับประทานมื้อเที่ยงข้างนอก ถ้าเพียงแค่ฝากของ ฝากผมไว้ก็ได้ครับ”
เลขาบอสใหญ่ทำหน้าที่ตัวเองอย่างขันแข็ง เวลาของศศินมีค่ามากนัก หากเรื่องไม่สำคัญ ศศินก็มักปล่อยผ่าน
“แต่ว่า...ฉันอุตส่าห์เอาขนมมาด้วยนี่คะ อยากให้บอสเองนี่นา”
“เฮ้อ...คุณ...รวีกานต์” เขาอ่านชื่อบนป้ายพนักงานของหล่อน สีหน้าติดรำคาญนิดๆ “ฝากผมไว้แล้วลงไปรับประทานมื้อเที่ยงดีกว่าครับ ก่อนที่อาหารจะหมดเสียก่อน”
รวีกานต์หน้าเง้าหน้างอ วางร่มกับกล่องขนมไว้บนโต๊ะเลขา หน้าสวยจืดเจื่อน ก็นึกว่าจะได้ให้ของนี่กับมือบอสนี่นา
แอ๊ด...
และแล้วประตูก็เปิดอ้าออก ศศินก้าวออกมา คิ้วเขาเลิกขึ้นเล็กน้อยยามเห็นรวีกานต์
“โอ๊ะ...บอสมาพอดีเลย” รวีกานต์ยิ้มแป้นเป็นทัพหน้า รอยยิ้มสดใสไร้พิษภัยพลอยทำให้คนมองสดชื่นตามไปด้วย
“อ้อ...คุณนั่นเอง”
“ฉันเอาร่มมาคืนค่ะ มีมาการ็องมาขอบคุณด้วยนะคะ ไม่ได้ซื้อนะคะทำเอง” ‘เพื่อนทำนะคะบอส’ รวีกานต์แอบเอ่ยประโยคนั้นในใจ
“ขอบคุณครับ ฝากไว้ที่ณพได้เลย” เขาพยักพเยิดไปทางเลขา
รวีกานต์ทำหน้าเง้า “ค่ะ รับทราบค่ะบอส”
ศศินไม่ได้ยิ้มรับ เพียงแค่พยักหน้าให้ พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายน้อยใจที่เขาไม่รับของฝากด้วยสองมือ
“ผมจะออกไปกินมื้อเที่ยง วันนี้จะเข้ามาอีกทีตอนบ่ายโมงครึ่งนะ มีงานอะไรก็เอาเข้าไปวางไว้ได้เลย”
“ครับบอส”
ณพพรรับคำแล้วหอบเอาเอกสารตั้งหนึ่งเดินเข้าไปในห้องบอสใหญ่ ระหว่างนั้นเสียงรองเท้าส้นสูงของใครบางคนก็ดังขึ้นที่โถงทางเดิน มันเข้ามาใกล้หน้าห้องท่านประธาน จนในที่สุดศศินกับรวีกานต์ก็ได้เห็นเจ้าของเสียงรองเท้านั้น แม่สาวหุ่นสะโอดสะอง ใบหน้างดงามทาบทาด้วยเครื่องสำอางชั้นดี มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมหุ้มห่อร่างกาย กำลังเยื้องกรายเข้ามาพร้อยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
รวีกานต์ได้ยินเสียงศศินถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่ผู้มาเยือนจะมาหยุดยืนตรงหน้า
“กำลังจะออกไปกินมื้อเที่ยงหรือคะ พอดีเลย รพีจะมาชวนไปกินซูชิของโปรดพี่ไงคะ” ปานรพี สุรสุนธร นางเอกสาววัยยี่สิบสี่ เอ่ยชวนพี่ชายที่แอบปลื้มพร้อมกับคล้องแขนตนเข้ากับแขนของอีกฝ่าย
ศศินกระแอมเบาๆ ใบหน้านิ่งเฉยไร้รอยยิ้มใดๆ
“ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะ พี่มีนัดแล้ว”
เขาปฏิเสธแล้วหันมาหารวีกานต์ แอบส่งซิกให้เจ้าหล่อนทางดวงตาคมปลาบ
“นัดใครคะ”
“ก็...” เหล่มองรวีกานต์อีกรอบหนึ่ง
“ฉันเองค่ะ พอดีเรามีเรื่องงานต้องคุยกันนิดหน่อย ขอตัวบอสสักวันนะคะคุณนางเอก” รวีกานต์รับสมอ้าง รีบคล้องแขนตัวเองเข้ากับแขนบิ๊กบอส
ศศินเหวอเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้สาวเจ้าควงแขนแต่โดยดี
“อะไรกันคะ รพีอุตส่าห์มา งั้นรพีไปด้วย”
ศศินส่ายหน้า เริ่มอึดอัดกับความเยอะของคนที่เอ็นดูเหมือนน้องสาว ปานรพีคงเด็กเกินกว่าจะรู้จักคำว่ามารยาท
“พี่มีงานต้องคุย เธอไปด้วยก็รำคาญเปล่าๆ เอาอย่างนี้สิ ไปที่ร้านประจำของพี่ สั่งอะไรมากินแล้วลงบัญชีไว้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ปานรพีดึงมือออกจากแขนศศินอย่างงอนๆ หน้าตาบูดบึ้ง
“รพีงอนพี่แล้ว อุตส่าห์มาหานะคะ”
“โตแล้วรพี” ศศินปรามเสียงต่ำ นางเอกสาวหน้าเง้าหน้างอ สุดท้ายก็สะบัดบ๊อบสั้นของหล่อนหนีใบหน้าพี่ศศินคนดี
“รพีจะสั่งล็อปสเตอร์ ปูอลาสก้าแล้วก็ไวน์แพงๆ”
“โอเค...แล้วแต่เธอเลย พี่ไปละนะ”
เขาเอ่ยอย่างเพลียๆ ปานรพียิ่งงอนหนัก แต่ศศินไม่สน เขาควงรวีกานต์ไปยังลิฟต์ ได้ยินเสียงโวยวายอย่างขุ่นเคืองของปานรพีดังไล่หลังมา
เมื่ออยู่ในลิฟต์ รวีกานต์รีบดึงแขนออกจากแขนบิ๊กบอสอย่างเคอะเขิน ศศินมองหล่อน ไม่ได้โกรธหรืออะไร
“ขอโทษที่ทำเกินไปนะคะ กลัวว่าคุณนางเอกจะไม่เชื่อน่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ ว่าแต่...อยากกินอะไรครับ”
“คะ?”
“ก็มื้อเที่ยง”
“หือ? จะเลี้ยงจริงๆ หรือคะ นึกว่าเป็นแค่ข้ออ้าง”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปกินด้วยกันก็ได้ มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเหมือนกัน”
“คะ?”
รวีกานต์รู้สึกเหมือนถูกลอตเตอรี่ หญิงสาวอ้าปากน้อยๆ เฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของบิ๊กบอสอย่างลุ่มหลง เขาจะพูดอะไรกับเธอนะ คงไม่ได้บอกว่าชอบเธอใช่ไหม กรี๊ด...เจ๊หวานขาช่วยตะวันด้วย!
ตอนพิเศษจูบนี้คือสัญญา__________ห้าปีผ่านไปไวเหมือนนิยาย หน้าร้อนปีนี้เวนิสาพาครอบครัวและเพื่อนรักมาพักผ่อนหย่อนใจที่เกาะชื่อดังทางภาคใต้ ด้วยพุงป่องๆ ของการตั้งครรภ์เข้าเดือนที่ห้าของเธอ ทำให้ศศินไม่อนุญาตให้นั่งเครื่องออกนอกประเทศ ทริปวันหยุดสุดหรรษาเลยตกลงปลงใจที่เกาะแห่งหนึ่งในไทยนี่เอง ในยามนี้ปลายภูและรวีกานต์ คงกำลังรำลึกความหลังเมื่อครั้งแต่งงานกันใหม่ๆ คงพากันเดินจูงมือดื่มด่ำคลื่นลมที่ชายทะเล ส่วนเจ๊หวานอาสาดูแลเด็กๆ ให้ ช่างเป็นทริปที่สุขีเกินจะกล่าวจริงๆ“อืม...ถอดหน่อยๆ ไม่ไหวแล้ว...”เวนิสาอ้อนพ่อของลูกอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม ศศินในชุดที่นุ่งเพียงกางเกงขาสั้น สวมเสื้อลายดอกไม่ติดกระดุม อวดแผงอกล่ำๆ ยั่วใจศรีภรรยา เขายังพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงเท่านั้น“ไม่เอา เดี๋ยวชาวบ้านเห็น ไปดูลูกก่อนดีกว่านะคะคนดี” ศศินอ้อนเมีย พยายามดึงมือที่กำลังลูบไล้แผงอกเขา ขนาดท้องอยู่ยังหื่นได้ใจนะแม่ตัวแสบ“ไม่เอา พี่อ่า...เมื่อคืนน้องจูนก็งอแง น้
ในค่ำคืนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกน้ำค้าง แลเห็นดวงดาราน้อยใหญ่ประปราย ณ ที่ตรงนั้นท่ามกลางหมอกหนาและดาราพร่างพราว พระจันทร์ดวงใหญ่กำลังอวดโฉมสีเหลืองนวลตาเวนิสากับกลุ่มเพื่อนนั่งสังสรรค์กันอยู่ บนระเบียงดูดาวเหนือหลังคาเรือนพัก พวกเขาปูเสื่อลงนั่ง มีผ้าห่มคนละผืน มีเครื่องดื่มวางตรงหน้าทั้งขนมขบเคี้ยวมากมาย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุขกระจ่างอยู่บนใบหน้าของทุกคน ตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งค่อนคืนเมื่อเบียร์มากกว่าหนึ่งโหลถูกเทใส่กระเพาะน้อย ไม่นานหลังจากนั้นเจ๊หวานก็สลบเหมือด รวีกานต์กับปลายภูอาสาพยุงร่างหมีของเจ๊ลงไปส่งที่ห้องพัก แน่นอนว่าเพื่อนสาวของเวนิสาไม่ได้ขึ้นมาที่ระเบียงดูดาวอีก ตอนนี้จึงเหลือเพียงแม่ดาวพระศุกร์คนงามกับพ่อพระจันทร์ดวงโต“อืม...ทีนี้ก็ไม่มีก้างขวางคอแล้วเนาะ”ศศินว่าแล้วขยับไปหาเวนิสา พาร่างหล่อนนอนลง ใช้ผ้าห่มของตัวเองห่มทับทั้งสองร่างอีกชั้นหนึ่ง เขามองขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางหมอกหนายังแลเห็นดาวพระศุกร์ขึ้นเคียงข้างดวงจันทร์ เขาเผยรอยยิ้มละไม“พี่ยิ้มอะไรคะ”“ฉันน่ะ...เหมือนคนโง่แ
เจ๊หวานพยักหน้าเข้าใจ หากเปรียบผู้ชายเป็นของกินได้ ก็แสดงว่าผ่าน เพราะคนเราก็ยังต้องกินเพื่อความอยู่รอด อย่างน้อยรวีกานต์ก็ไม่ต้องทนง่วงอีกต่อไป เพราะมีม็อคค่าปั่นให้ซดทั้งคืน!“แล้วหล่อนละยะแม่ดาวพระศุกร์ ผู้ชายของหล่อนเป็นยังไง”เวนิสาถอนหายใจเฮือกๆ ศศินนั่นหรือ ยังไงดีล่ะ“ก็ดี...พอมองย้อนกลับไป ก็จำได้ว่าเวลาลำบาก เขาก็คอยดูแล คอยปลอบโยน คอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อนคู่คิด แม้ว่าความเจ้าอารมณ์ของเขาจะทำให้ฉันอยากจับเขาลงทอดในกระทะก็เถอะ เขาน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี บางครั้งการกระทำกับคำพูดก็สวนทาง เรื่องนี้ฉันต้องทำใจให้ชิน”“แล้วไงยะ ก็โอเคในเรื่องนั้น แล้วเรื่องแซ่บล่ะ แซ่บมะ” เจ๊หวานยิ้มหื่นๆวนิสาหรี่ตามอง นึกว่าเธอจะไม่กล้าตอบหรือ เธอไม่ใช่แม่แสงตะวันผู้เหนียมอายนะ“แซ่บเว่อร์ค่าเจ๊! ฮ่าๆๆๆ”“อ๊ายยย!!!”เจ๊ร้องระงมเพราะถูกใจ เหล่าคนงานและสองหนุ่มเมืองกรุงฯ หันมามองทางพวกเธอ ปลายภูโบกมือใส่รวีกานต์ ส่งยิ้มหวานให้กันอย่างข้าวใหม่ปลามันที่แรกรักน้ำต้มผักยังหวานอยู่ ส่วนศศ
เวนิสาหรี่ตามอง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง “มาปิดให้ไว!”“คร้าบ! ปิดเดี๋ยวนี้คร้าบ!” ศศินจำต้องเดินรอบเตียงเพื่อมาปิดโคมไฟให้แม่ของลูก เอาเถิด จัดมาเสียให้พอ ให้ต้องโดนเมิน ต้องโดนจิกหัวหรือต้องเป็นทาสก็จัดมา สักวันเมื่อเวนิสาเริ่มเบื่อ หล่อนคงกลับมาเป็นแม่ดาวพระศุกร์ผู้น่ารักของเขาเหมือนเดิมกระมัง_________พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออก เหนือยอดเขา มันเริ่มโผล่ขึ้นมาทีละนิดๆ ราวกับพู่กันอันใหญ่ที่จุ่มสีส้มแดงคอยแต้มแต่งเวิ้งฟ้ารวีกานต์จ้องมันไม่วางตา หมอกน้ำค้างเหนือชายคายังคงแรงอยู่ แต่มิอาจขัดขวางความตั้งใจ รอบๆ เรือนไม้ของปลายภูโอบล้อมด้วยต้นกาแฟเขียวชอุ่ม มันกินพื้นที่ทั่วทั้งหุบเขา ไม่ต้องบอกว่ามีมูลค่าทางการตลาดมากเท่าใด เธอไม่อยากคาดคิดเพราะอาจทำให้ตัวเองจุกความสุขตาย ในที่สุดฝันของเธอก็เป็นจริงสินะ ฝันว่าสักวันจะได้กลายเป็นซิลเดอเรลล่าของเจ้าชายรูปงามความรักที่เธอมีให้ปลายภูนั้น แม้ไม่ได้ถึงขั้นคลั่งไคล้หลงใหล แต่มันคือรักซึมลึกที่เธอเองยังไม่รู้ตัว ไม่ได้หวือหวา แต่แอบผลิดอกงอกงามในจิตใจ คว
[21]คำสัญญาจากพระจันทร์______________ไร่กาแฟ ณ ปลายภู สัปดาห์ถัดมาเรือนไม้หลังงามผุดขึ้นท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมด้วยต้นกาแฟ เส้นทางลดเลี้ยวยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา ทำให้สองสาวเมารถมากกว่าจะได้ชื่นชมธรรมชาติ กว่าจะนั่งรถขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ว่าที่คุณแม่ทั้งสองก็จอดรถอาเจียนไปหลายรอบ รวีกานต์ถึงกับหมดแรงนั่งซบอกพ่อเด็กน้อย ในขณะที่เวนิสานั่งหน้าบูดอยู่เบาะข้างหลังบนรถตู้คันหรู ส่วนเจ๊หวานจ้อเจรจาอยู่ด้านหน้ากับคนขับรถวัยขบเผาะหุ่นล่ำหน้าโหด ที่ถูกใจนางเสียเหลือเกิน“ใกล้ถึงแล้วครับ ตะวันไหวไหม”รวีกานต์ส่ายหน้า ปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อจะได้กอดปลายภูดีๆ เธอซุกหน้าเข้าหาอกเขาราวลูกแมวตัวน้อยที่ต้องการไออุ่นจากเจ้าของ ปลายภูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบใจนักเวนิสามองเพื่อนรักกับปลายภูผ่านทางช่องว่างระหว่างเบาะนั่ง ได้แต่เบะปากใส่เพราะหมั่นไส้“นี่! แกจะอ้อนเด็กเพื่อ!?”“เรื่องของฉันน่า นั่งเงียบๆ ไปเลย คนจะสวีตกัน เนาะภูเนาะ”รวีกานต์ยิ้มหวานอย
“แล้วเธอมาทำไม!” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ค่อยพอใจนัก จากแค่ประหม่ามึนงง ก็เริ่มมีอารมณ์โกรธเข้ามาปะปน เวนิสากำลังป่วนประสาทเขาอีกแล้วใช่ไหม“มาทำธุรกิจ”“หือ?”คนสวยยิ้มแป้น ก่อนจะอธิบาย“เรามาทำธุรกิจกัน เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต”“ยังไง”“ง่ายๆ เลย เราก็แค่ทำให้คนรอบข้างเรา เช่นพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูง เข้าใจว่าเราสองคนตกลงกันได้เรียบร้อย พี่ก็รู้นี่ ตอนนี้แม่ถามยิกๆ ว่าเมื่อไหร่ฉันจะแต่งงานกับพี่ เมื่อเช้าพ่อพี่ก็โทรมา เพื่อนฉันขู่จะคว่ำบาตรถ้าไม่คืนดีกับพี่ ฉันเลยคิดว่า เพื่อความสบายใจของคนที่รักเราทุกๆ คน ฉันควรเสียสละความไม่สะดวกน้อยนิดแล้วร่วมมือกับพี่น่ะ”“ร่วมมืออะไร ไม่เห็นเข้าใจ” ศศินชักงง“เฮ้ย...พี่นี่โง่ปะเนี่ย พูดไปตั้งเยอะไม่เข้าใจได้ยังไง”“นี่ด่าฉันเหรอ!”“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ!” ตะคอกมาตะคอกกลับ เวนิสาไม่โกงศศินหุบปากฉับ“เอาแบบนี้แหละ พี่เข้าใจแล้วนะ บอกพ่อพี่