เวนิสาย่นจมูกใส่ หันมาแทะฝักมะขามต่อ รสชาติของมันสามารถสลายความขุ่นเคืองทั้งหลายทั้งปวงให้หมดไปได้
“ขอโทษนะครับพี่ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่...”
“ช่างเถอะน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว นายกลับไปก่อนไป” ศศินไล่กลายๆ
“จะรีบไล่ไปไหนเนี่ย” ปลายภูท้วง
“แล้วจะอยู่ทำไม ฉันมีเวลาไม่มาก อยากคุยกับ เมีย ฉันหน่อย”
“แค่กๆ” เสียงเวนิสาไอค่อกแค่ก
“เม็ดมะขามติดคอหรือไง”
“คำว่า เมีย ต่างหาก มันติดคอฉัน เลิกล้อเล่นซะทีได้ไหม คนอื่นได้ยินเข้าฉันขายไม่ออกพอดี”
“ก็ช่างสิ ไม่มีใครซื้อฉันรับเลี้ยงก็ได้ จะกินสักแค่ไหนกันเชียว”
“อา...อยู่ต่อผมต้องเป็นเบาหวานแน่ๆ ไปดีกว่า”
แล้วปลายภูก็ลุกจากไป เขาเดินกลับไปทางเดิมเพื่อซื้อมะขามแช่อิ่มกระปุกใหม่ให้น้องสาว อย่างไรเสียวันนี้เขาต้องได้โทรศัพท์คืนมา เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เขาไม่ได้โทรหารวีกานต์ หล่อนจะโกรธไหม จะคิดมากหรือเปล่า เขากลัวว่าหล่อนจะรออยู่ ยังมีความหวังเล็กๆ เพราะ
“ใช่! แกไม่ต้องห่วงนะ ยังไงซะ แกได้เด็กบ้านั่นเป็นผัวแน่ ฉันยืนยันนอนยันเลย” เวนิสาให้คำมั่น ลุกไปยืนข้างเตียง หอบเอาหมอนมาถือไว้รวีกานต์นึกขำท่าทีของเพื่อนรัก หล่อนเป็นใครกันล่ะถึงได้มั่นอกมั่นใจขนาดนั้น“กลับห้องไปไป๊ ฉันจะนอน...”“แหงล่ะ สบายใจแล้วนี่” เวนิสาค่อนขอด แล้วหอบหมอนเดินออกจากห้องไปรวีกานต์ยิ้มบางๆ เอื้อมมือปิดโคมไฟแล้วหลับตาลงเสีย อย่างน้อยสิ่งที่คิดไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น คืนนี้เธอไม่ได้หลับพร้อมคราบน้ำตา แต่หลับไปพร้อมกับความโล่งอกโล่งใจ“ขอบใจนะวี...แม่ดาวพระศุกร์ของฉัน...”_____________เวนิสาย่องเข้ามาในห้องของตัวเอง ห้องทั้งห้องสว่างจ้าแต่ศศินไม่ได้อยู่บนเตียง เธอแลหาโทรศัพท์มือถือ พอเจอก็ต่อสายหาปลายภู รออยู่สักพักเจ้าตัวจึงรับสาย“พี่วีหรือครับ” ปลายสายงงนิดๆ เพราะเวลาในตอนนี้ก็เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว เขายังไม่นอนก็จริง แต่อีกฝ่ายน่าจะหลับไปหลายตื่นแล้วนี่นา“คิดว่าใครละยะ!”“หือ? พี่...เป็นอะไรหรือเปล่
คำพูดของเวนิสาสั่นสะเทือนหัวใจของรวีกานต์ ในเวลาที่เธอเป็นทุกข์ เวนิสากลับมาคอยห่วงใย ไม่สนว่าเธอจะเมินใส่ มาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ให้เธอต้องเศร้าเพียงลำพัง ในขณะที่ตอนหล่อนเศร้า เธอไม่เคยแม้แต่ถามไถ่หล่อนด้วยซ้ำ“มานอนได้แล้ว คนท้องนอนดึกไม่ดีนะ” กวักมือเรียกเพื่อนรักหย็อยๆ ทั้งตบหมอนดังป้าบๆรวีกานต์เลยต้องปิดไฟแล้วปีนขึ้นเตียง เธอนอนทางซ้าย เวนิสานอนทางขวา เธอหันหลังให้เพื่อน หันหน้าเข้าหาตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ โทรศัพท์ที่วางไว้บนหมอนยังสั่นครืดๆ ไม่หยุด ไม่รู้จะรับดีไหม สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินมันช่างบาดหัวใจเหลือเกิน พวกเขาเป็นอะไรกันนะ เป็นแค่คนรู้จักเหรอ ไม่หรอก คนรู้จักที่ไหนจะกอดกันแน่นขนาดนั้นครืดๆ ครืดๆ“รับซะทีเถอะน่า หรือไม่ก็ปิดเครื่องไป ไม่งั้นแกไม่ได้นอนแน่ๆ”“ไม่อยากรับ แต่ก็ไม่อยากปิดเครื่อง จะดูซิว่าเขาจะอึดแค่ไหน”“หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่ได้พิสูจน์หรือไง เขารักแกนะ เชื่อฉันสิ”“แล้วทำไม...ถึงอยู่กับผู้หญิงคนนั้นล่ะ แถมยังโกหกฉันว่าเป็นคนจน”“หือ?&rd
ภายในรถยนต์ของศศิน ที่กำลังแล่นบนถนนที่รถรถรายังหนาตา ตอนเที่ยงเขาพาเวนิสาลงมาที่ลานจอดรถก็จริง แต่ไม่ได้ส่งหล่อนขึ้นรถของตัวเอง อย่างน้อยหากหล่อนไปอยู่ที่ไหน เขาก็ควรรู้ไม่ใช่หรือ แต่หล่อนน่ะ...เหมือนอยากหลบเลี่ยงไม่ยอมให้เขารู้ ตั้งท่าจะกลับเอง เขายื้อหล่อนไว้ตลอดบ่าย พาไปหาอะไรกิน พาไปดูหนังฟังเพลงจนตะวันลับขอบฟ้า แต่หล่อนก็ไม่ยอมตกหลุมพราง สุดท้ายก็ให้เขาพาไปส่งยังบ้านที่หล่อนอยู่กับเพื่อน และในระหว่างที่นั่งรถอยู่นั้น รวีกานต์ก็โทรหาหล่อน แล้วเรื่องทั้งหมดก็มาถึงจุดนี้ จุดที่เขากลายเป็นสารถีในขณะที่สองสาวนั่งเป็นคุณนายอยู่ที่เบาะข้างหลังหยดน้ำตายังเปื้อนใบหน้าของรวีกานต์แต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น เวนิสาไม่รู้จะทำอย่างไรดี จำได้ว่าตอนที่มาถึงรวีกานต์กำลังวิ่งหนีนักข่าวอยู่ คนพวกนั้นช่างแล้งน้ำใจ คนกำลังลำบากยังมาหากินแบบนี้ ทุเรศที่สุด“เขาอยู่ที่นั่นเหรอ” เวนิสาเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ รถคันหรูจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง ยังไม่ถึงบ้านของพวกเธอง่ายๆ รวีกานต์เอาแต่นั่งร้องไห้ หันหน้าเข้าหาประตูรถไม่ยอมมองหน้ากัน“อือ...กับผู้หญิงอีกคน ที
[18]เพราะฉันคือเพื่อน_____________แสงตะวันลาลับขอบฟ้าแล้ว ในตอนที่รวีกานต์ลุกจากที่เก้าอี้ที่นั่งอยู่ วันนี้เธอก็คงไม่ได้พบเขา มันเป็นเวรกรรมหรือว่าสวรรค์กลั่นแกล้งกันเล่า ตอนที่อยากเจอเธอกลับหลีกหนี มาตอนนี้ที่แค่อยากเจอหน้า แค่ได้คุยกับเขาสักสองสามคำกลับทำได้ยากเย็น เธอเข้าใจความรู้สึกของปลายภูแล้ว เขาคงทรมานในตอนที่เฝ้ารอเธอแล้วไม่ได้เจอ ทำไมเธอถึงใจร้ายนักนะ รู้ทั้งรู้ว่าเขาเฝ้ารออย่างมีหวัง แต่กลับทำลายความหวังของคนคนหนึ่งได้ลงคอปลายเท้ามนก้าวออกมาจากโถงทางเดิน ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินสวนกันแต่ไม่มีใครหน้าคล้ายปลายภูเลยสักคน บางทีค่ำนี้เขาอาจไม่มาที่นี่ เขาอาจสวนทางกับเธอ ตอนนี้อาจอยู่ที่ร้านกาแฟ หรือไม่ก็...อยู่กับผู้หญิงคนนั้น คนที่ครอบครองโทรศัพท์มือถือเขาตั้งแต่เมื่อวานรวีกานต์เดินออกทางประตูหน้า เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปทางป้ายรถเมล์ ทว่าสองเท้ายังก้าวไม่พ้นชายคาคอนโดฯ ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น เขาเดินผ่านเธอไปเหมือนไม่เห็น หรือบ
เวลา 17:45 ณ คอนโดฯ ที่พักของปลายภูรวีกานต์กวาดตามองไปรอบๆ คอนโดฯ สุดหรู ที่สนนราคาคงสูงเกินกว่าพนักงานออฟฟิศอย่างเธอจะเอื้อมถึง วันนั้นหากเธอไม่เอาแต่จ่อมจมอยู่กับสิ่งที่สูญเสียไป คงได้รู้แล้วว่าฐานะของปลายภูไม่ธรรมดา วันนี้เธอมาหาเขา ไม่ได้มาเพราะรู้ว่าเขาร่ำรวย แต่มาเพราะคนอีกคนที่อยู่ในท้อง หวังว่าเขาจะไม่เข้าใจผิดวินาทีนี้เธอเข้าใจแล้วว่าการเป็นคนที่เห็นแก่เงินทองมากกว่าสิ่งอื่น มันน่ารังเกียจเพียงใด หากก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สารภาพกับเขาว่าชอบคนมีเงิน เธอคงไม่ต้องนึกละอายอยู่อย่างนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นปลายภูไม่ได้ผิด เป็นเธอเอง เป็นเธอที่ผิดมาตั้งแต่ต้น และเธอเอาแต่โทษคนอื่น ไม่กล้าแม้แต่จะโทษตัวเอง“นายจะยอมฟังฉันไหมนะ จะยอมคุยกับฉันไหม ขอโทษที่ให้รอเป็นเดือนนะปลายภู” เอ่ยกับตัวเองอย่างนั้นในตอนที่นั่งอยู่เก้าอี้หน้าล็อบบีอันโอ่โถง แค่ล็อบบียังนึกว่าเดินเข้ามาในโรงแรมห้าดาว ที่นี่...คงจะมีเฉพาะคนมีเงินซื้อหาเข้ามาพักกระมัง เธอตัดสินใจโทรหาปลายภูอีกครั้ง ด้วยอยากให้เขารู้ว่าเธอมารอที่นี่ กดเบอร์โทรออกแล้วรอสายอยู่นานกว่าจะมีคนรับสาย ทว่าก็
เวนิสาย่นจมูกใส่ หันมาแทะฝักมะขามต่อ รสชาติของมันสามารถสลายความขุ่นเคืองทั้งหลายทั้งปวงให้หมดไปได้“ขอโทษนะครับพี่ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่...”“ช่างเถอะน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว นายกลับไปก่อนไป” ศศินไล่กลายๆ“จะรีบไล่ไปไหนเนี่ย” ปลายภูท้วง“แล้วจะอยู่ทำไม ฉันมีเวลาไม่มาก อยากคุยกับ เมีย ฉันหน่อย”“แค่กๆ” เสียงเวนิสาไอค่อกแค่ก“เม็ดมะขามติดคอหรือไง”“คำว่า เมีย ต่างหาก มันติดคอฉัน เลิกล้อเล่นซะทีได้ไหม คนอื่นได้ยินเข้าฉันขายไม่ออกพอดี”“ก็ช่างสิ ไม่มีใครซื้อฉันรับเลี้ยงก็ได้ จะกินสักแค่ไหนกันเชียว”“อา...อยู่ต่อผมต้องเป็นเบาหวานแน่ๆ ไปดีกว่า”แล้วปลายภูก็ลุกจากไป เขาเดินกลับไปทางเดิมเพื่อซื้อมะขามแช่อิ่มกระปุกใหม่ให้น้องสาว อย่างไรเสียวันนี้เขาต้องได้โทรศัพท์คืนมา เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เขาไม่ได้โทรหารวีกานต์ หล่อนจะโกรธไหม จะคิดมากหรือเปล่า เขากลัวว่าหล่อนจะรออยู่ ยังมีความหวังเล็กๆ เพราะ