3
สหายของเจ้าช่างน่าเอ็นดู
ในความคิดของนางพิธีปักปิ่นของคุณหนูจวนแม่ทัพน่าจะยิ่งใหญ่อลังการมีคนมาร่วมแสดงความยินดีมากมาย ทั้งยังมีบรรดาฮูหยินต่างเลียบเคียงถามถึงคู่หมายของเจียงเซียวเล่อ เพื่อที่จะได้ส่งแม่สื่อมาเยือนจวนเจียงหวังเกี่ยวดอง
แต่นี่คืออันใด มีผู้ร่วมงานเพียงสิบกว่าคนเองกระมัง ทว่านางกลับได้รู้ภายหลังว่าแม้คนจะน้อยแต่ทว่าคนที่มากลับเป็นบุคคลสำคัญทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้กับฮองเฮาที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของคนตระกูลเจียง องค์หญิงองค์ชาย และคหบดีใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับจวนเจียง ซึ่งนางที่มาทราบเรื่องนี้ภายหลังยังรู้สึกหวาดหวั่นที่บังอาจเอ่ยวาจาหยอกเย้าองค์หญิงตัวน้อยวัยประมาณสิบสองหนาวว่าหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
ช่างมีตาหามีแววไม่เสียจริง ได้แต่หวังว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายจะไม่ถือสาความไร้มารยาทของนาง
“ซือซือ ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้ามา ขออภัยที่ส่งเทียบเชิญไปอย่างกะทันหัน” หลังจากส่งแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายกลับไปแล้วคุณหนูเจ้าของจวนก็รีบมานั่งสนทนากับนาง
“ข้าบอกแล้วอย่างไร เราเป็นสหายกัน เจ้าอย่าได้เกรงใจ” กล่าวจบนางก็ส่งยิ้มให้สหาย ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ ว่าทันทีที่ผ่านพ้นพิธีปักปิ่นสหายผู้นี้ดูเหมือนจะงดงามขึ้น
“หน้าข้ามีอันใดติดหรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงจ้องหน้าข้าเช่นนั้น” คนที่ชื่นชอบความน่ารักของสหายอยู่แล้ว รู้สึกเขินอายยิ่งนักยามถูกสตรีน่ารักน่าเอ็นดูจับจ้อง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งนั่นทำตนไม่กล้าสบตา ใบหูแดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ปักปิ่นยังไม่ทันข้ามวัน จากเดิมที่งดงามอยู่แล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้ากลายเป็นสตรีที่งดงามยิ่งกว่าเดิม” คงเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าความงามของสตรีเพศสินะ หาใช่เด็กน้อยเช่นก่อนหน้านี้
“เจ้าชมข้าเช่นนี้ ทำให้ข้าเขินอายยิ่งนัก” ยิ่งอยู่ใกล้เหตุใดถึงยิ่งชอบสหายผู้นี้กัน
“ยามเขินอายยิ่งดูน่ารัก” โชคดีที่นางรั้งมือของตนเองไว้ได้ มิเช่นนั้นคงเผลอเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มของสหายแล้ว
ขออภัย...ข้าเคยมือ อยู่กับหลิวอี้หรานนางก็เป็นเช่นนี้
“พอแล้ว เจ้าอย่าชมข้าเลย ประเดี๋ยวข้ามุดโต๊ะหนีจะเป็นเรื่องใหญ่” เจียงเซียวเล่อกล่าวพลางหัวเราะ
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของสตรีทั้งสองที่นั่งอยู่โต๊ะหินด้านนอกเรียกสายตาของบุรุษให้หันมามองได้ไม่ยาก
“นั่นสหายของเซียวเล่อหรือ”
“ใช่”
“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย” คุณชายเผยกล่าวพลางมองภาพตรงหน้า
“...” เขาไม่ตอบแต่สายตากลับจ้องมองน้องสาวและสหายอยู่
“ไม่รู้ว่ามีคู่หมายแล้วหรือไม่”
“เจ้าสนใจนางหรือ”
“สตรีที่มองแล้วสบายตาหาได้ยากมิใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่ข้าจะอยากทำความรู้จักนาง กล่าวไปบุรุษไร้ความรู้สึกเช่นเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” กล่าวจบก็รีบเดินจากไป เพราะทราบดีว่าหากอธิบายเพิ่มเติมไปอีก เจียงเซวียนก็คงไม่เข้าใจ คนที่อ่อนโยนและยิ้มเพียงฉากหน้าจะไปเข้าใจความละเอียดอ่อนของชีวิตได้อย่างไร
นัยน์ตาคมมองตามหลังสหาย มีประกายล้ำลึกบางอย่าง มือใหญ่สะบัดเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าจะเผยรอยยิ้มบางแล้วเลือนหายคล้ายไม่มีมาก่อน
สองสาวนั่งสนทนากันอย่างออกรสโดยไม่ได้ทันสังเกตว่ามีบุรุษผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้
“โอ๊ย! ใครลอบทำร้ายข้า” ประมุขปราสาทเมฆาที่ไม่ได้สุขุมเช่นภาพลักษณ์ที่สร้างหลอกตาผู้อื่น ร้องโวยวายพลางกวาดสายตามองหาคนที่ทำร้ายตน
ไม่มี! แต่รอบตัวกลับไม่มีใครเลยพลันสายตาเห็นผลลี่จึ[1]ตกอยู่ไม่ไกลจึงทราบได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร
‘เจียงเซวียน ข้าแค่บอกว่าจะลองเกี้ยวพาสหายของเซียวเล่อ หาใช่น้องสาวของเจ้า เหตุใดต้องมีโทสะเช่นนั้น’ เผยหลี่จุนกล่าวพลางปรายตามองไปที่สหายซึ่งยืนห่างออกไป จะไม่ให้เขาทราบได้เช่นไรว่าเป็นฝีมือของสหาย ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาเห็นสหายนั่งคลึงผลลี่จึคล้ายครุ่นคิดอยู่
“พี่หลี่จุนเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงได้ร้องเสียงหลงเช่นนั้น
“เมื่อครู่มีหูหลี่[2]ตัวหนึ่งวิ่งมากัดพี่”
“หูหลี่หรือเจ้าคะ? ในจวนข้าจะมีหูหลี่ได้เช่นไร”
“มันคงลอบเข้ามา”
“เช่นนั้นข้าจะสั่งคนตามจับมาถลกหนังให้พี่หลี่จุนเจ้าค่ะ” เจียงเซียวเล่อกล่าวก่อนจะลุกขึ้น
‘หูหลี่ที่ว่าคงเป็นการเอ่ยวาจากระทบกระเทียบใครหรือไม่’ เหอซือซือคิดก่อนจะหลุบตามองพื้น
“เมื่อครู่พี่ตกใจสะบัดเท้าเตะมันไป ป่านนี้คงเตลิดออกจากจวนเจียงไปแล้ว แต่ก็น่าเสียดายพี่น่าจะจับมันถลกหนังเสีย”
“นั่นสิเจ้าคะ” คุณหนูเจียงคล้ายจะจริงจังกับวาจาของสหายพี่ชาย
“สนทนากันมาตั้งนาน เจ้าจะไม่แนะนำสหายของเจ้าให้พี่รู้จักหรือ”
“ขออภัยเจ้าค่ะ พี่หลี่จุน นี่คือคุณหนูเหอ สหายเพียงคนเดียวของข้าเจ้าค่ะ ซือซือ นี่คือคุณชายเผย สหายของพี่ชายคนรองของข้า”
“เหตุใดถึงได้แนะนำตัวห่างเหินเช่นนั้น ซือซือ พี่เรียกเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่ ส่วนเจ้าก็เรียกพี่ว่าพี่หลี่จุนเช่นที่เซียวเล่อเรียกขาน” เขาเอ่ยวาจาคล้ายหยอกเย้า
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับสั้น ๆ พลางครุ่นคิดว่าคนผู้นี้มีบทบาทสำคัญในเรื่องหรือไม่จะได้ประจบประแจงเอาใจถูก
“พี่นั่งร่วมสนทนาด้วยได้หรือไม่” เผยหลี่จุนเอ่ยถาม
“วันนี้พี่หลี่จุนดูแปลก ๆ นะเจ้าคะ จะลุกจะนั่งท่านเคยขออนุญาตข้าที่ใดกัน” เจียงเซียวเล่อกล่าวอย่างไม่ได้คิดอันใดในตอนแรกก่อนจะชะงักแล้วหันมามองสหายของพี่ชาย
[1] เกาลัด
[2] จิ้งจอก
“ตามใจท่านเจ้าค่ะ” นางโถมกายเข้าหาเขา บดเบียดอกอวบอิ่มลงบนอกเขาด้วยดวงหน้าที่แดงก่ำ ยามถูไถส่วนอ่อนไหวกับแท่งหยกของเขาไม่เพียงแต่ปลุกเร้าความปรารถนาของเขา แต่นางก็ถูกปลุกเร้าไปด้วยเช่นกัน บุรุษรูปร่างกำยำผิวสีเข้มเล็กน้อยโอบอุ้มฮูหยินของตนไปที่เตียง เขาวางนางลงบนเตียงอย่างรีบร้อนก่อนจะจับเรียวขางามแหวกออกเผยให้เห็นดอกเหมยที่ดูคับแน่น เขากดนิ้วแกร่งเคล้นคลึงหวังกระตุ้นน้ำหวาน “ดูเหมือนเจ้าจะปรารถนาในตัวพี่ไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่าเมื่อแตะนิ้วลงไปสัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะลื่นไหลจึงยิ่งเคล้นคลึงปลุกเร้าน้ำหวานให้ซึมออกมามากขึ้น “ท่านเล่าเจ้าค่ะปรารถนาในตัวข้าเพียงใด” “มากล้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้” สิ้นเสียงเขาก็กดริมฝีปากลงตรงจุดอ่อนไหวลิ
“ฮูหยิน เจ้าเหนื่อยหรือไม่” “เล็กน้อยเจ้าค่ะ” เพราะชุดเจ้าสาวหนักเกินไปจึงทำให้นางเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง “ให้พี่ปรนนิบัติเจ้าอาบน้ำดีหรือไม่” “ไม่ใช่ต้องเป็นข้าปรนนิบัติท่านอาบน้ำหรือเจ้าคะ” “ให้พี่ปรนนิบัติเจ้าก่อนดีกว่า” กล่าวจบเขาก็โอบอุ้มนางขึ้นแล้วพาไปที่ถังอาบน้ำซึ่งมีน้ำอุ่นอยู่เต็มถัง เขาวางนางลงยืนในถังก่อนจะรีบปลดเปลื้องอาภรณ์เผยให้เห็นแท่งหยกที่แข็งขึงใหญ่โต “ขะ ข้าคิดว่าข้ารีบอาบน้ำดีกว่าเจ้าค่ะ” แม้จะได้เรียนรู้จากพี่สาวนางโลมมาแล้ว ศึกษาตำราปกขาวมาก็ไม่น้อย แต่นางไม่คิดว่าแท่งหยกของบุรุษที่พี่สาวนางโลมบอกว่าสามารถทำให้สตรีทั้งเจ็บปวด
“ฮูหยินของข้าอยู่ที่ใด” เจ้าของเสียงเย็นชาตวาดใส่สาวใช้ “ดะ ด้านบนเจ้าค่ะ” “ผู้ดูแลอยู่ที่ใด” “ข้าอยู่ที่นี่เจ้าค่ะท่านประมุข” แท้จริงผู้ดูแลเช่นตนเห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาทำท่าจะออกไปต้อนรับก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นประมุขแห่งปราสาทเมฆาจึงตั้งใจจะรีบหนีไปซ่อนตัว ใครบางในเมืองนี้ไม่รู้ว่าหากเขาได้ลงมือเขาจะไม่ไว้ไมตรีใด ๆ “พาข้าไปหาฮูหยินของข้า” “จะ เจ้าค่ะ” ผู้ดูแลนึกก่นด่าตนเองที่ไม่น่าเห็นเงินก้อนทองสีแวววาวแค่ไม่กี่ก้อนเลย ใครจะคิดว่าท่านประมุขจะมีโทสะรุนแรงเช่นนี้ เพียงแค่ฮูหยินแอบมาเรียนวิชาการเอาใ
‘ขนาดข้าบอกว่าตนป่วยยังจะกินเต้าหู้ข้าอยู่นะ’ นางคิด ผ่านไปไม่ถึงชั่วจิบชาเขาก็กลับเข้าห้องมาอีกครั้ง บุรุษรูปร่างกำยำยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียงก่อนจะจับมือของนางไปกุมไว้ “เซียวเล่อยามนี้ที่เรื่องราวที่เมืองหลวงถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เสี้ยนจู่ได้รับสมรสพระราชทานแต่งกับโหวซื่อจื่อแซ่หลวน” “ช่างดีจริงแล้ว ซือซือสหายข้าปลอดภัยหรือไม่” “คุณหนูเหอมีเจียงเซวียนอยู่ใกล้ ๆ เขาไม่ปล่อยให้นางเป็นอันตรายหรอก” รักปานดวงใจเช่นนั้นมีหรือจะปล่อยให้เป็นอันตราย “เซียวเล่อ เจียงเซวียนกับคุณหนูเหอมีใจให้กันอีกไม่นานก็คงหมั้นหมายและตบแต่ง พี่ที่ควรจะแต่งฮูหยินแล้วอยา
ฮูหยินของท่านประมุข (2) ทุ่งดอกหมู่ตานสีขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้เจียงเซียวเล่อรู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก “ถูกใจหรือไม่” “เจ้าค่ะข้าไม่คิดว่าจะมีใครปลูกดอกหมู่ตานเป็นทุ่งใหญ่ขนาดนี้” “เป็นพี่ลงมือปลูกมันเองทุกต้น เพื่อรอเจ้า” “จริงเจ้าคะ” “ตั้งแต่พี่รู
“พี่ย่อมกลับมาหาเจ้า พี่รักเจ้านะเซียวเล่อ” สิ้นเสียงเขาก็กดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกเข้าโพรงปากนุ่มอย่างง่ายดายก่อนจะกวาดต้อนความหวาน ตักตวงจนพอใจก่อนจะยอมผละออก “...” ดวงหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย ต่างจากใบหูที่แดงก่ำ “เซียวเล่อ เจ้าทำให้พี่ไม่อยากจากไปเลย” กล่าวจบเขาก็กดจุมพิตลงบนหน้าผากมนอีกครั้งอย่างพยายามห้ามใจ “ค่ำคืนนี้ท่านต้องออกไปที่ใดหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่เลย” ในทุกวันหลังจากมากินเต้าหู้นางจนอิ่มเอมแล้ว เขาที่กลับเรือนไปก็นอนไม่หลับสุดท้ายจึงไปนั่งทำงานต่อ “เช่นนั้นท่านก็นอนที่เรือนนี้ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าอนุญาตให้แค่นอนนะเจ้าคะไม่ให้ทำอย่างอื่น” นางกล่าวพลางหลุ