5
มันคือตรงกลางระหว่าง
หวาดกลัวและเกลียดชัง
กว่านางจะได้มีเวลาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เกือบจะเข้านอน ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นางรู้สึกงุนงงยากจะจับต้นชนปลาย
ไหนจะเรื่องที่คุณชายเผย สหายของพระเอกผู้นั้นเอ่ยปากไล่นางอ้อม ๆ เพื่อจะได้สนทนากันตามลำพังกับเจียงเซียวเล่อ ไหนจะเรื่องท่าทีที่น่าขนลุกระคนน่ากลัวของพี่ชายสหาย
หากจำไม่ผิด ในนิยายบรรยายไว้ว่า เพราะพระเอกเป็นบุรุษสุภาพอ่อนโยนและอบอุ่นบนใบหน้ามีรอยยิ้มบางประดับอยู่เสมอจึงเป็นที่ชื่นชอบของสตรีในเมืองหลวง แต่ที่นางได้พบเจอมาสองครั้งช่างไม่มีสิ่งใดคล้ายกับที่บรรยายเลยแม้แต่น้อย
ยามพบกันครั้งแรกนางคิดว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนชอบเอาชนะและไม่ใช่คนที่จะมีเมตตาต่อหญิงงาม ตอนนั้นนางจึงพยายามต่อสู้เพื่อจะแย่งชิงเสี่ยวหลงเปาให้ได้
การพบกันครั้งที่สอง เขาดูเจ้าเล่ห์และสนุกกับการเป็นผู้ล่า ที่ไล่ต้อนเหยื่อเช่นนางให้จนมุม แววตาของเขาฉายแววล้ำลึกยากจะหยั่งถึง ทำให้ไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ ยิ่งยามเขาเอ่ยวาจาอ่อนโยนและอ่อนหวานทำให้นางขนลุกเกรียวไปทั้งตัวอย่างประหลาด สมกับที่ถูกขนานนามว่า ‘จิ้งจอกเก้าหาง’ แห่งกลุ่มการค้า
‘ข้าต้องทำเช่นไรต่อไป’ ในเมื่อทุกเรื่องไม่ตรงกับในนิยายที่เคยอ่าน แผนการออดอ้อนเอาใจหวังเกาะแข้งเกาะขาพี่ชายของสหายถูกล้มเลิก
‘หรือข้าควรปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลอง’ แค่ทำตัวเป็นสหายที่ดี ไม่ยุแยงหรือชักชวนเจียงเซียวเล่อให้มองผู้อื่นในทางเสียหายก็พอ ตัวละครที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นไปตามบทบาทที่พวกเขาได้รับ
แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือ ยามสหายเอ่ยถามถึงเรื่องในวัยเด็กที่เกี่ยวกับโหวซื่อจื่อตระกูลหลวน เหตุใดในส่วนลึกของจิตใจถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ไหนจะความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเหรินเสี่ยวเหยาอีก
นางคงต้องเริ่มค้นหาความทรงจำหรือเรื่องราวในวัยเด็กของร่างนี้เสียแล้ว
งานเลี้ยงน้ำชาของคุณหนูใหญ่สือมีคุณหนูคุณชายตอบรับเทียบเชิญเข้าร่วมมากมาย ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากเอาใจราชเลขาธิการสือที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้
“ข้าดีใจที่ยามนี้มีเจ้าเป็นสหาย มิเช่นนั้นหากต้องมาร่วมงานเลี้ยงพวกนี้ลำพัง ข้าคงเฉาตาย”
“ลำพังที่ใดกัน พี่รองของเจ้าก็มาด้วยไม่ใช่หรือ” เพราะมาถึงงานเลี้ยงหลังสหาย นางจึงไม่ได้พบเจอกับพี่ชายของอีกฝ่ายที่ถูกแยกตัวไปอยู่ฝั่งบุรุษ ซึ่งเมื่องานเลี้ยงเริ่ม บุรุษสตรีก็จะเข้ามานั่งตามที่นั่งซึ่งถูกจัดเอาไว้ โดยแบ่งฝั่งซ้ายมือของเจ้าภาพเป็นสตรี ฝั่งขวามือเป็นบุรุษ
“เพราะพี่รองของข้ามาด้วยน่ะสิ ข้าถึงได้ถูกจัดให้นั่งใกล้กับสตรีน่าชังผู้นั้น” กล่าวจบก็ทำหน้าบูดบึ้งพลางคิดว่าคงเป็นเพราะความรูปงามของพี่รอง และการเอื้อผลประโยชน์ให้แก่สหายของสือเจียวจิง ทำให้นางได้นั่งใกล้เหรินเสี่ยวเหยาซึ่งแน่นอนว่าคนที่นั่งตรงหน้านางฝั่งบุรุษย่อมเป็นพี่ชายของตน
ใช้อำนาจในทางที่มิชอบเสียจริง สตรีน่าชัง...
“แล้วเจ้าย้ายมานั่งกับข้าเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือ” แท้จริงที่นั่งด้านข้างเป็นของคุณหนูใหญ่เมิ่งจากจวนรองเจ้ากรมอาญา ที่มีใจชื่นชอบพี่ชายของสหายอยู่แล้ว พอน้องสาวของบุรุษรูปงามเอ่ยปาก อีกฝ่ายก็รีบตอบรับด้วยความดีใจเพราะทราบดีว่าที่นั่งของเจียงเซียวเล่อย่อมอยู่ตรงข้ามกับพี่ชาย
“เชื่อข้าสิ ไม่เป็นไรหรอก” ใครกล้าว่า นางจะตอกกลับให้หมด คิดจะแยกเหอซือซือออกจากนาง ฝันไปเถิด เมื่อคิดได้ก็จ้องมองไปที่พี่ชายคนรองที่คล้ายจะมองมาทางนี้อยู่เช่นกัน ก่อนจะยกยิ้มเช่นผู้ชนะให้
“...” เหอซือซือก้มมองขนมตรงหน้าอย่างพยายามห้ามใจ หากไม่เพราะท่านแม่ตักเตือนว่าการที่นางได้เป็นสหายคนแรกของคุณหนูเจียงซึ่งมีแต่คนอยากผูกมิตร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนริษยา ดังนั้นยามเข้าร่วมงานเลี้ยงหากเป็นไปได้ก็อย่าได้นำสิ่งใดเข้าปากแม้แต่น้ำเปล่าก็ตาม
“เป็นอันใด เหตุใดถึงไม่กินขนม” เจียงเซียวเล่อเอ่ยถามอย่างแปลกใจเพราะสหายไม่ใช่สตรีที่เอาแต่ห่วงภาพลักษณ์จนไม่กล้ากินสิ่งใด
“ท่านแม่ข้าสั่งห้ามไว้ว่า ในงานเลี้ยงของสตรีมักจะเต็มไปด้วยความริษยา หากพลาดพลั้งมิแคล้วต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เบาสุดก็แค่ถูกนินทาว่าร้าย ร้ายแรงสุดเห็นจะเป็นต้องออกเรือนไปกับบุรุษที่ไม่ได้ตั้งใจเลือก”
“ที่ท่านน้ากล่าวมาก็ไม่มีผิด ยามอยู่ในงานเลี้ยงพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ต้องไม่ประมาท”
“หลังจากจบงานเลี้ยงเราไปแวะโรงชาฉากุ้ยดีหรือไม่”
“ดีมาก เป็นเจ้าที่เข้าใจข้า” แท้จริงยามนี้คุณหนูเจียงนั้นท้องหิวไม่น้อย แต่พอได้ยินสหายกล่าวจึงคล้อยตามและไม่กล้ากินสิ่งใดอีก
“แต่ไม่รู้พี่ชายเจ้าจะไปด้วยหรือไม่ เอ่อ...ข้าอยากไปกับเจ้าสองคน” คุณหนูเหอรีบกล่าวต่อเพื่อไม่ให้สหายเข้าใจว่านางอยากใกล้ชิดเจียงเซวียน
“เช่นนั้นก่อนจบงานเลี้ยง ข้าจะแกล้งปวดหัว เจ้าก็รีบพาข้าออกจากงาน”
“ไม่ได้ ๆ หากเจ้าปวดหัวพี่รองของเจ้าก็ต้องไปด้วย ให้ข้าปวดหัวดีกว่า เจ้าจะได้อ้างว่าจะไปส่งข้าที่จวน”
“ตกลงตามที่เจ้าบอก ซือซือรู้ใจข้าที่สุด” หากไม่ติดว่าอยู่ในงานเลี้ยง ตนคงโผกอดสหายที่น่ารักแล้ว
เมื่อองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสามมาถึง งานเลี้ยงจึงเริ่มต้นขึ้น แน่นอนว่าในทุกงานเลี้ยงจะต้องมีสาวงามขึ้นประชันความสามารถเพื่อโอ้อวดตนเองให้บุรุษได้ต้องตาต้องใจ
‘ง่วงจริง ๆ นอกจากบรรเลงเพลงพิณ กู่ฉิน เป่าขลุ่ย พวกเจ้าไม่มีความสามารถใดที่น่าตื่นตาตื่นใจหรือ’ เหอซือซือคิดพลางพยายามกลั้นหาวอย่างสุดความสามารถ ครั้นจะหาวออกไปเลยก็จะเป็นการเสียมารยาท ประเดี๋ยวจะถูกต่อว่าไม่ได้รับการสั่งสอนอีก
‘ง่วงจริง ๆ นอกจากบรรเลงเพลงพิณ กู่ฉิน เป่าขลุ่ย พวกเจ้าไม่มีความสามารถใดที่น่าตื่นตาตื่นใจหรือ’ เหอซือซือคิดพลางพยายามกลั้นหาวอย่างสุดความสามารถ ครั้นจะหาวออกไปเลยก็จะเป็นการเสียมารยาท ประเดี๋ยวจะถูกต่อว่าไม่ได้รับการสั่งสอนอีก “เจ้าง่วงใช่หรือไม่ ข้าก็ง่วงเช่นกัน” เจียงเซียวเล่อป้องปากกระซิบ “อีกนานหรือไม่จะจบลง” “เห็นว่ามีคุณหนูที่จะแสดงความสามารถทั้งหมดยี่สิบคน ตอนนี้ผ่านไปสิบคนแล้ว” “อีกครึ่งทาง ช่างเป็นเวลาที่ยาวนาน” “หากเจ้าง่วงจะงีบหลับก็ได้ ข้าจะดูต้นทางให้” “ทำเช่นนั้นได้ที่ใดกันเล่าเล่อเ
“นี่เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำให้สหายของข้าล้มลงเช่นนี้” เจียงเซียวเล่อที่ไม่ชอบใจสตรีผู้นี้อยู่แล้ว รีบเข้าประคองสหายแทนก่อนจะเอ่ยปากต่อว่า “คุณหนูเจียงข้าทราบดีว่าก่อนหน้านี้ท่านไม่ชอบข้าอยู่แล้ว แต่ข้าไม่ได้ทำร้ายสหายของท่าน ข้าเพียงอยากทักทายสหายของข้า” “สหายของเจ้า? ซือซือน่ะหรือสหายของเจ้า ช่างเอ่ยวาจาโกหกได้หน้าตาเฉย” “จวนของข้าอยู่ห่างจากจวนนางไม่ไกล ตอนเป็นเด็กข้าเคยไปเล่นกับนางอยู่บ่อยครั้ง มิเชื่อถามนางสิ ใช่หรือไม่ซือซือ” “...” นางไม่ตอบได้หรือไม่ ยามนี้นางจำได้แล้วว่าเหตุใดเหอซือซือถึงได้ไม่อยากให้สตรีผู้นี้แตะตัว มันเป็นสิ่งที่ผสมปนเปกันระหว่างหวาดกลัว เกลียดชัง “ซือซื
“ซือซือนางเป็นสหายในวัยเด็กของข้าเจ้าค่ะ เพียงแค่ข้าทักทาย นางก็ล้มลงแล้วร้องโวยวาย ข้าไม่ได้ทำอันใดนางนะเจ้าคะคุณชายรองเจียง” “เจ้ามีนามว่าเซียวเล่อหรือ” สิ้นเสียงบุรุษรูปงาม เสียงหัวเราะคล้ายจะดังขึ้นในกลุ่มสตรีที่ยืนมองดู “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากอธิบายให้คุณชายรองเจียงฟัง” เหรินเสี่ยวเหยาก้าวเท้าเข้าใกล้คล้ายอยากอธิบายให้บุรุษที่ตนพึงใจฟังแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงร้องหวาดกลัวของสตรีอีกคน “เล่อเล่อข้ากลัวนาง อย่าให้นางเข้าใกล้ข้านะ” “พี่รอง ข้าว่าเราไปสนทนากันที่จวนเถิดเจ้าค่ะ” “อืม...ก็ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวพี่อุ้มนางเอง ประคองกันไปเช่นนี้ช้าเกินไป” กล่าวจบเขาก็รวบตัวนางที่
6 สองพี่น้องตระกูลเจียง เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงของราชเลขาธิการคล้ายจะถูกเล่าลือไปใหญ่โตว่าคุณหนูเหรินเสี่ยวเหยาร้ายกาจ รังแกคุณหนูเหอ จากจวนรองเจ้ากรมยุติธรรม แม้อีกฝ่ายพยายามจ้างคนไปแก้ไขข่าวลือแต่ดูเหมือนเสียงเล่าลือจะไปไกลจนยากแก้ไข ทำให้คุณหนูรองเหรินถูกท่านราชครูสั่งลงโทษกักบริเวณเป็นเวลาเจ็ดวัน “พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก” เจียงเซวียนเอ่ยหลังจากฟังคำรายงานของลูกน้องจบ “ที่ถูกเล่าลือจนยากกลบเกลื่อนเช่นนี้ เป็นเพราะมีคนอีกกลุ่มช่วยแพร่ข่าวลือเรื่องนี้ขอรับ” จิ้นไฉกล่าว “ใคร?” “คุณชายฮุ่ยขอรับ” “ฮุ่ยหลานซีหรือ เหตุใดคนผู้นั้นถึงทำเช่นนั้น” “ไม่ทราบขอรับ” “หรือจะเป็นเพราะนาง พวกเจ้าไปตามสืบว่าฮุ่ยหลานซีมีความสัมพันธ์กับคุณหนูเหอเช่นไร” “ขอรับคุณชาย” เมื่อสนทนากับลูกน้องเสร็จ คุณชายรองก็เดินกลับไปที่เรือนของน้องสาว เพื่อไปสอบ
“เห็นหรือไม่ ที่ข้ากล่าวผิดที่ใดกัน เหรินเสี่ยวเหยาเป็นแค่สตรีดอกบัวขาว สร้างภาพว่าตนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แท้จริงเบื้องลึกคงเน่าเฟะ พี่รอง! ท่านคิดดูขนาดคุณชายฮุ่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังตกใจและพยายามช่วยเกลี้ยกล่อมซือซือ ยามนั้นนางน่าสงสารจริง ๆ” “ไม่ต้องห่วง ภาพลักษณ์ที่สตรีผู้นั้นพยายามสร้างกำลังพังทลายยากจะกอบกู้” “จริงหรือเจ้าคะ” เจียงเซียวเล่อรู้สึกยินดียิ่งนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนราชเลขาธิการถูกเล่าลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว มีแต่คนสงสารและเห็นใจซือซือ ว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะโดนอีกฝ่ายทำร้ายอย่างหนัก และพอทราบเรื่องนี้ก็ไม่มีใครแปลกใจแล้วว่าเหตุใดยามที่ส่งเทียบเชิญตระกูลเหอ ถึงไม่มีเงาของคุณหนูตระกูลนี้เข้าร่วมเลยสักครั้ง” “สมน้ำหน
“ว่าอย่างไร จะจุมพิตข้าหรือไม่” แววตาที่จ้องมองสตรีตรงหน้าพราวระยับทำให้นางต้องเบือนสายตาหนี “ได้เจ้าค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องหลับตาก่อน” “ย่อมได้” เขากล่าวก่อนจะหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ‘ข้าเอาตัวรอดไปได้ในวันนี้ อย่าได้หวังว่าวันหน้าข้าจะเข้าใกล้คนผู้นี้’ นางคิดก่อนจะกดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาตามต้องการ แต่จนใจเขาสูงกว่าทำให้นางต้องเขย่งปลายเท้าขึ้น ในขณะที่นางจะกดริมฝีปากจุมพิตแก้มอีกข้างของเขา ดวงตาของเขาที่ปิดอยู่ก็ลืมขึ้นตอนที่นางกดริมฝีปากจุมพิตเขาพอดี ด้วยความตกใจนางจึงผละออกห่างทำให้เสียการทรงตัวพานจะล้มลง เขาจึงรีบโอบรั้งเอวแล้วดึงเข้าไปแนบชิดกว่าเดิม “ระวังห
‘ของเจ้าที่ใดกัน เจียงเซียวเล่อ’ โดนหมายหัวแล้วยังไม่รู้ตัว กว่าคุณหนูเหอจะตื่นขึ้นอีกครั้งก็เข้ายามโหย่ว (17.00-18.59) นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองรอบตัวจึงได้เห็นสหายนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับยกยิ้มด้วยความดีใจ “ตื่นแล้วหรือซือซือ” “อืม ข้าหลับไปนานหรือไม่” “ไม่นานเท่าใดนัก เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือไม่” แท้จริงสหายหลับไปเกือบสองชั่วยาม แต่ตนไม่อยากให้นางรู้สึกกังวลจึงบอกออกไปเช่นนั้น “ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”&nb
‘ถ้าไม่อ่านก็ปิดตำราไปเถิด แสร้งทำเป็นอ่านตำราไม่สนใจ แท้จริงก็แอบฟังอยู่’ เจียงเซียวเล่อคิดพลางลอบกลอกตาเบ้ปากอย่างรู้สึกหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยรวบรัดตัดบทเพราะกลัวสหายจะเปลี่ยนใจ “เช่นนั้นรบกวนพี่รองรับหน้าที่ไปขออนุญาตท่านน้าทั้งสองให้ซือซือนะเจ้าคะ” “ย่อมได้” ‘เขาคงไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ’ แต่ไปด้วยแล้วอย่างไรเจียงเซียวเล่อก็อยู่ด้วย คงจะสำรวมท่าทีบ้างกระมัง คุณหนูเหอคิดโดยลืมไปว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วยาม แม้จะมีสหายอยู่ในรถม้าด้วยกันก็ยังฉวยโอกาสกินเต้าหู้ของตนได้เลย “มีคนไปแจ้งเหอฮูหยินที่จวนเหอแล้ว ว่ายามนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ที่จวนตระกูลเจียง”
18 เป็นเพียงความเข้าใจผิด ด้านเหอซือซือที่ยอมเดินตามนางกำนัลผู้นั้นมาก็เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของตน ว่าจะไม่พลาดพลั้งเนื่องจากว่าก่อนลงจากรถม้านางได้กินยาถอนหมื่นพิษและยาถอนพิษปลุกกำหนัดมาแล้ว และนางคิดว่าการที่เหรินเสี่ยวเหยาเลือกใช้วิธีสาดพิษปลุกกำหนัดใส่นางเช่นนั้นอีกฝ่ายก็คงกินยาถอนพิษปลุกกำหนัดมาแล้วเช่นกัน ชั่วช้าไม่เปลี่ยนจริง ๆ&nb
‘ข้าว่าแล้วแท้จริงสองคนนี้ไม่ถูกกัน มิเช่นนั้นคุณหนูเหอคงไม่แสร้งตกใจจนผลักคุณหนูเหรินล้มเช่นนี้’ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าว ‘ข้าว่าเรื่องนี้ต้องเป็นคุณหนูเหอที่ผิด สตรีดีงามเช่นคุณหนูเหรินหรือจะทำร้ายผู้อื่น วันนั้นข้ายังเห็นนางเอาตัวเข้าบังคุณหนูเติ้งเพื่อช่วยเหลือจากการโดนแส้ฟาด’ เป็นสตรีคนหนึ่งป้องปากสนทนากับสหาย ‘ข้าเห็นด้วยกันเจ้า คุณเหอต้องริษยาที่คุณหนูเหรินงดงามและมีชื่อเสียงดีงามเป็นที่หมายปองของบุรุษมากกว่าตนเป็นแน่’ “นี่พวกเจ้า!” จูเฉ่าเหมยตั้งใจจะหันไปตวาดใส่พวกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็ตัดสินผู้อื่นแล้ว แต่สหายเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะแตะมือเป็นเชิงห้าม “ช่างเถิดอย่าได้สนใจเลย เราไปกันเถิด” นางหมดอารมณ์จะชมสวนแล้ว แต่ในขณะที่นางกำลังหมุนตัวจะพาสหายเดินจากไป
“คุณหนูเจียงหรือ ใช่บุตรสาวแม่ทัพเจียงหรือไม่” มิใช่ว่ามีคุณหนูอยากเข้าหามากมายหรือ เพื่อใช้เป็นสะพานทอดไปหาพี่ชายคนรองที่มีแต่สตรีหมายปอง “ถูกแล้ว เล่อเล่อนางน่ารักและเป็นสหายที่ดีมาก” “หากคุณหนูเจียงไม่รังเกียจข้าที่เป็นบุตรสาวพ่อค้า ข้าย่อมยินดีที่จะเป็นสหายกับนาง” “ดียิ่ง” นางยิ้มก่อนจะรีบวางจอกชาลงทันที เพราะสนทนากันอย่างเพลิดเพลินจึงลืมตัวหยิบจอกชาขึ้นมาและเกือบจะจิบมันเข้าไปแล้ว “ซือซือ ข้ามองหาเจ้าตั้งนานแท้จริงเจ้ามาหลบอยู่ที่นี่เอง” สตรีดีงามผู้มีรอยยิ้มอ่อนหวานเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยปากทักทายนาง ‘ตามหาข้าเช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่’ นางคิดก่อนจะปรายตามองฝั่งบุร
‘เขาดูหลงใหลข้าเช่นนี้ดีไม่น้อย’ แค่นางกอดขาเขาให้แน่น เพียงเท่านี้ทางรอดของนางก็สว่างไสวแล้ว หลังจากคืนนั้นคุณชายรองเจียงก็ไม่ว่างมาปีนเข้าเรือนคุณหนูเหออีก มีเพียงจดหมายถามไถ่และเล่าเรื่องราวที่กำลังทำอยู่ให้นางทราบพร้อมทั้งส่งของปลอมประโลมที่ทำให้นางต้องคิดถึงเขาเป็นเครื่องประดับล้ำค่าและน้ำมันหอมสลับกันไปจนถึงวันที่มีการจัดงานเลี้ยงในวังหลวง ว่าด้วยงานเลี้ยงจิบชาชมดอกไม้ของฮองเฮา ไม่ต่างจากงานเลือกคู่ดูตัวเท่าใดนัก เพราะมีคุณชายคุณหนูวัยออกเรือนเข้าร่วมมากมาย แต่ละคนนั้นแต่ตัวงดงามจนเรียกได้ว่าแย่งชิงความโดดเด่นจากดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ในสวน ‘งานเลี้ยงที่ไม่มีเล่อเล่อช่างน่าเบื่อหน่าย’ เหอซือซือลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เห็นสหายว่าติดพ
17 พบเจอสหายคนใหม่ แม้จะมีเวลาเพียงหนึ่งเค่อก่อนจะถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับองค์รัชทายาท เจียงเซวียนก็ยังแวะเวียนมาจวนตระกูลเหอและปีนหน้าต่างเข้าเรือนคุณหนูของจวนหวังจะได้สนทนากันสักสองสามประโยคให้ชื่นใจก็ยังดี “ซือซือ เจ้ามานั่งรอพี่หรือ” วันนี้เขาอารมณ์ดี
ก็อย่างที่เคยบอก มารยาดอกบัวขาวมีแต่บุรุษที่โง่เขลาเท่านั้นแหละที่มองไม่ออก จะมาเทียบมารยาชั้นครูเช่นนางได้อย่างไร ด้านคุณหนูเหรินที่วันนี้ได้รับคำเชิญจากหลวนโหวซื่อจื่อ ให้มาพบที่จวนโหว ได้แต่สะกดกลั้นความไม่พอใจในท่าทางของสตรีที่ตนเคยมองว่าเป็นเบี้ยล่างมาตลอด ก่อนจะยิ้มให้ดูอ่อนหวานที่สุดแล้วเดินเข้าจวนโหว “พี่จิ้นฝานรอข้านานหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามพลางมองอีกฝ่ายอย่างเพ่งพิศ แม้จะรูปงามน้อยกว่าคุณชายรองเจียง แต่ทว่าฮูหยินโหวซื่อจื่อนั้นมีศักดิ์สูงกว่า หรือนางจะเปลี่ยนใจมาล่อลวงบุรุษผู้นี้ดี ในอดีตความสัมพันธ์ก็ดีงาม หากนางต้องการสานสัมพันธ์ใหม่อีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องยาก “เจ้ามาแล้วหรือ” โหวซื่อจื่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อ
“คุณชายฮุ่ย ข้าเข้าใจนะเจ้าคะ ว่าตัวข้านั้นน่ารักน่าเอ็นดูและน่าทะนุถนอมไม่แปลกที่ท่านจะหวั่นไหวและอยากตอบแทนบุญคุณด้วยร่างกาย แต่ข้าอยากให้ท่านเข้าใจว่ายามนี้ตัวข้านั้นมีบุรุษที่พึงใจแล้ว และเขาก็พึงใจข้า อีกไม่นานเราสองตระกูลก็คงจะได้เกี่ยวดองกัน ดังนั้นข้าไม่อาจตอบรับการตอบแทนบุญคุณของท่านได้จริง ๆ เจ้าค่ะ” คำพูดของนางคล้ายของหนักที่กดศีรษะของอีกฝ่ายให้ก้มหัวลงเรื่อย ๆ ในขณะที่นางกอดอกกล่าววาจาด้วยท่าทางมั่นใจ แม้เขาจะมีมัดกล้ามที่แน่นน่าสัมผัสไม่น้อย แต่ก็ชะตาชีวิตเขาก็สู้ลูกรักของสวรรค์อย่างเจียงเซวียนไม่ได้ และต่อให้นางมีโอกาสได้เลือกใหม่อีกครั้งนางก็ยินดีจะเลือกพ่อค้าเช่นพี่ชายของสหายมากกว่าหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรอย่างเขาที่มีหน้าที่จะต้องปกป้องผู้สูงศักดิ์ก่อนปกป้องตนเองและครอบครัว เหตุใดนางถึงรู้น่ะหรือ ว่าฮุ่ยหลานซีคนนี้เป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ก็นางเห็นหยกพกประจำตำแหน่งของเขาอย่างไรเล่า
‘ขอเพียงท่านตอบตกลง ข้าสามารถทำให้ท่านคู่ควรกับข้าได้’ ‘ข้ามิบังอาจ และหากท่านจำไม่ผิดข้าปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับท่านมาโดยตลอด ดังนั้นเลิกป่าวประกาศว่าข้าเป็นคนรักของท่านได้แล้ว และหยุดระรานผู้อื่นด้วย’ ‘เจียงเซวียนแม้ท่านจะใจร้ายกับข้า แต่ข้าก็ยังรักท่าน พวกเจ้าจงจำเอาไว้ นอกจากข้าไม่มีใครคู่ควรกับเขา หากยังมีสตรีใดกล้ามองเขา ข้าจะควักลูกตามันออกมาให้หมด’ กล่าวจบเหลียงจิ่วเม่ยก็ก้มเก็บแส้แล้วรีบเดินฝ่าวงล้อมออกไปทันที ‘คุณหนูเติ้งท่านปลอดภัยดีหรือไม่’ สตรีผู้งดงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา ‘ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเหรินที่ช่วยเหลือ’ เติ้งจูหลี่ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคุณหนูที่แทบ
16 เสี้ยนจู่แห่งแดนเหนือผู้ร้ายกาจ วันนี้ย่านการค้ายังคงคึกคักและมีคนออกมาจับจ่ายซื้อของมากเช่นเดิม อาจเพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีงานเลี้ยงจิบชาชมดอกไม้ที่ถูกจัดขึ้นโดยฮองเฮา จึงมีคุณชายและคุณหนูที่ถูกเชิญเข้าร่วมต่างออกมาซื้ออาภรณ์และเครื่องประดับใหม่ “สือหลิวเจ้านั่งลงเถิด” “จะดีหรือเจ้าคะคุณหนู” “จะให้ข้านั่งกินคนเดียวโดยมีเจ้ายืนมอง ข้าจะกินลงได้อย่างไร มิสู้เจ้านั่งกินด้วยกัน ข้าจะได้เจริญอาหารขึ้น” “แต่ว่ามันไม่เหมาะสม” “หากเจ้าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับข้า เช่นนั้นก็กลับจวนไปก่อน ข้าจะนั่งจิบชากินขนมคนเดียวเงียบ ๆ” “...” “ว่าอย่างไร หากไม่นั่งก็รีบกลับจวนไปซะ” “บ่าวนั่งก็ได้เจ้าค่ะ” สือหลิวบอกเสียงอ่อน “ดีมาก” ต้องให้เอ่ยวาจาร้ายกาจก่อนถึงจะยอมใช่หรือไม่ เมื่อสาวใช้ยอมนั่งร่วมโต๊ะแล้วนางก็หยิบขนมแล