“ส่วนกูนำทัพ”
ขวับ! นำทัพเดินมาหยุดอยู่ข้างคนตัวเล็กพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นไปกอดเอวแสดงความเป็นเจ้าของ ด้านหมอหนุ่มทำเพียงขยับสายตามองดูการกระทำของอีกคนนิ่ง ๆ ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามหญิงสาว "ผู้ชายคนนี้ใครเหรอครับ" อยู่ ๆ เขาก็เข้ามาโอบเอว หรือว่าจะเป็นคนรักของเธอ ทว่า.. "ผัว" "มะ มันไม่ใช่นะคะ" ใบหน้าดูดีหันขวับไปมองคนข้างกายทันทีเมื่อเธอปฏิเสธคำตอบของเขา "ว่าไงนะ?" เขาจ้องเธอเขม็ง กล้าดียังไงถึงมาหักหน้าเขาต่อหน้ามัน "...หึ~" มุมปากได้รูปกระตุกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นำทัพเห็นแบบนั้นก็แทบพุ่งเข้าไปอัดใบหน้าอีกคนให้ล้มทั้งยืน "ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นผู้ปกครองของคุณสินะ" สายตาของทั้งคู่จ้องกันอย่างฟาดฟันไม่มีใครยอมใคร หมอไมลส์ถือว่าเป็นคนแรกที่กล้าสบตาเขาอย่างไม่คิดเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย พร้อมที่จะพุ่งชนทุกเมื่อ "...." หญิงสาวก้มหน้าเงียบไม่กล้าตอบ "เพื่อนเหรอมิลิน" นำทัพถามน้ำเสียงติดหงุดหงิดไม่ชอบใจ ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบผู้ชายตรงหน้านี้เอาเสียเลย ไหนจะรอยยิ้มและสายตาของมันที่กำลังมองมา กวนส้นตีน.. "มะ ไม่ใช่ค่ะ" มิลินตอบน้ำเสียงตะกุกตะกัก พอเจอเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้มันก็ทำให้เธอยากที่จะพูดอะไรออกไป เธออยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะรู้จักนิสัยของนำทัพดีว่าเขาเป็นคนยังไง "ไม่ใช่..อืม~ แล้วใครกัน" เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจเขาก็ยิ้มออกมาทันที ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง "อย่าลืมนะวันเสาร์นี้เรามีนัดกันแล้ว" ไมลส์ไม่สนสายตานำทัพที่กำลังมองมา เขาเลือกจะเมินแล้วหันไปคุยกับเธอแทน "ไม่เห็นหรือไงว่ากูอยู่ตรงนี้" เขายืนหัวโด่อยู่แท้ ๆ มันยังกล้าอีก "เห็นครับ" แต่แล้วยังไง? นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในใจ "เห็นแต่ยังเสือกนัดคนของกูเนี่ยนะ" คนดี ๆ ที่ไหนเขาทำกัน "พวกเราไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายสักหน่อย" "ฉันไมยักรู้ว่าเธอมีเพื่อนผู้ชายเพิ่มมาอีก ทั้งยังปากดีใส่ฉันด้วยสิ เธอว่าฉันควรจัดการกับมันยังไงดี" เขาโน้นใบหน้าลงไปพูดกับเธอโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่อีกคน สิ่งที่นำทัพต้องการทำมากที่สุดในตอนนี้คือลงโทษคนของตัวเอง หนีเข้ามาไม่พอยังมาอยู่กับผู้ชายสองต่อสองอีก ให้มันได้แบบนี้สิ "คะ..คุณไมลส์เขาเป็นหมอค่ะ" "อ๋อ~ เป็นหมอนี่เอง" สงสัยไม่อยากรักษาผู้ป่วยแล้ว "คุณควรพาเธอไปรักษานะครับ" คิ้วเข้มขมวดเป็นปม รักษาอะไร ทำไมเขาต้องพาเธอไปรักษาในเมื่อเธอก็ปกติดีทุกอย่าง พล่ามอะไรของมันวะ "เธอไม่สบายหรอ" หันไปถามมิลิน "ใช่ครับ คุณรู้หรือเปล่าว่าเธอเป็นแพนิค อาการพวกนี้คุณไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด" "ดูมึงจะรู้จักคนของกูดีจังเลยนะ" "ผมกับเธอเราเพิ่งเจอกัน แต่อาการเธอกำเริบ ผมเลยช่วยเอาไว้" "หมายความว่าไง?" "คุณไมลส์คะ มิลินขอตัวก่อนนะคะ" มิลินแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท ขืนยังปล่อยให้พวกเขาคุยกับต่อเธอกลัวว่านำทัพจะเข้าไปต่อยคุณหมอเอาจนได้น่ะสิ คนตัวเล็กบอกพลางกระตุกแขนนำทัพให้ตามไปด้วย ทว่า.. "ชื่อมิลินนี่เอง น่ารักจัง เสาร์นี้เจอกันนะครับ" "มั่นใจจังเลยนะว่าเธอจะไปหา" เขาไม่มีทางปล่อยเธอไปเจอมันแน่นอน ฝันไปเถอะ "ถ้าคุณไม่ห้าม ผมก็มั่นใจว่าพวกเราจะได้เจอกัน" พร้อมกับแสยะยิ้ม "ก่อนที่จะรักษาคนอื่นรักษาตัวเองก่อนดีไหม" คำพูดที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันกลับแฝงไปด้วยความดุดันน่าเกรงขาม สายตาที่เขามองชายหนุ่มตรงหน้าเต็มไปด้วยความเกี้ยวโกรธ ทั้งที่เขาเองก็ยืนอยู่ตรงนี้แต่มันยังกล้าวุ่นวาย แบบนี้ก็เท่ากับว่ามันยอมที่จะเปิดศึกกับเขาแล้วสินะ "คนต่อไปอาจเป็นคุณก็ได้ที่ผมรักษา" ทว่าประโยคถัดมาของหมอหนุ่มทำเอานำทัพแสยะยิ้มร้ายทันที นาน ๆ จะเจอคนที่มันกล้าต่อกลอนด้วย เจอคู่แข่งแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน น่าสนุกดีออก.. "อย่าเสือกเรื่องของกู" "หึหึ กลัวผมเหรอครับ" "...." ทำไมเขาต้องกลัว มันมีอะไรให้เขากลัวงั้นเหรอ "ไว้เจอกันครับคุณมิลิน ส่วนคุณไม่ต้องคิดถึงผมนะครับ" นำทัพมองหมอหนุ่มที่หมุนตัวเดินจากไป ไม่ลืมที่จะทิ้งถ้อยคำยั่วโมโหให้เขาได้หงุดหงิดใจ มือหนาที่กอดเอวคอดอยู่แล้วออกแรงบีบทำคนตัวเล็กนิ่วหน้าเจ็บ แต่แล้วใบหน้าที่เรียบนิ่งในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มน่ากลัว "เรากลับบ้านกันเถอะ..มิลิน" เขาบอกกับเธอเสียงเยือกเย็นชวนขนลุก "คะ คุณนำทัพจะไม่ทำอะไรลินใช่ไหม" เธอกลัวว่าเขาจะรุนแรงกับเธอเหลือเกิน "เมื่อเช้ายังแทนตัวเองว่าฉันอยู่เลย ไหงตอนนี้ กลับมาแทนตัวเองว่าลินเหมือนเดิมแล้วล่ะ" เธอคงกำลังกลัวเขาสินะ "ถ้าลินกลับจะไม่ทำอะไรลินใช่ไหมคะ" "ตอนนี้อารมณ์ฉันไม่ค่อยคงที่ซะด้วยสิ ขอไม่รับปากก็แล้วกันว่าจะเบามือได้หรือเปล่า" แล้วเขาก็ออกแรงกระชากเธอให้ตามไปที่รถอย่างแรง ภาพที่หญิงสาวถูกฉุดกระชากลากเดินไปตามทางได้ตกอยู่ในสายตาของผู้คนที่เข้ามาเดินเลือกซื้อของกันอย่างมากมาย แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเพราะสายตาที่เขาใช้มองมันน่ากลัวจนเกินไป“ว่าแต่พี่ไบค์เป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวถามคนตัวโตขณะนั่งทานข้าวอยู่ในห้องอาหาร“มันไม่เป็นอะไรมาก” เขาโกหกเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก ความจริงแล้วไบค์ยังอยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากเสียเลือดมาก เขาได้แต่ภาวนาให้ลูกน้องปลอดภัย แคล้วคลาดจากสิ่งร้าย ๆ สักที“หนูอยากไปหาพี่ไบค์” เธออยากไปขอบคุณที่อีกคนเอาตัวมารับมีดแทน หากไม่ได้ไบค์ปานนี้คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก คงได้ไปอยู่วัดที่ไหนสักแห่ง“ใจเย็นที่รัก เราต้องพักผ่อนก่อน” ขืนปล่อยให้เธอไปตอนนี้มีหวังเธอได้รู้ความจริงน่ะสิว่ามันยังไม่ฟื้น“หนูไม่เป็นอะไรแล้ว”“ไม่ได้ครับหมอบอกต้องดูแลตัวเอง” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เป็นอะไรก็จริง แต่หมอได้สั่งเด็ดขาดห้ามเธอเดินหรือขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นเธอมีโอกาสแท้งได้ เนื่องจากแรงกระแทกที่เธอได้รับมันส่งผลต่อเด็กในท้องอยู่ไม่น้อย“ก็ได้ค่ะ” คนตัวเล็กทำหน้าสลดพร้อมกับยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย“หายแล้วเฮียจะพาไปเยี่ยมมัน”“....” ยิ้มอ่อน“ทานต่อเถอะ” ทว่า..“เฮียรู้ไหม.. ตอนนั้นหนูกลัวมากเลย กลัวว่าตัวเองกับลูกจะไม่ได้กลับมาหาเฮียอีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตา เธอกลัวว่าจะไม่ได้กลับมาเจอหน้าพ่อของลูกอีก ใครจะคิดว่
เช้าวันใหม่“หนูไม่เป็นอะไรแล้ว” หญิงสาวบอกกับพ่อของลูก ก็นำทัพเล่นประกบเธอไม่ห่างจนอีกคนรู้สึกอึดอัด เข้าใจว่าเขาห่วง แต่อารมณ์เธอยิ่งแปรปรวน กลัวว่าจะเผลอใส่อารมณ์แล้วเขาจะเสียใจ อีกอย่างเธอก็อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนเลย ข้างล่างก็ยังไม่ได้ลงไป“เฮียต้องอยู่ใกล้หนูกับลูก” เขาตอบหน้าตาย นำทัพกลับมาสนใจที่การเลือกชุดให้คนตัวเล็กต่อ“เฮียนี่นะ” ส่ายหน้าเนือย ๆ ขณะนั่นเอง..ครืน ครืน“มีคนโทรมาค่ะ” ในขณะที่เธอกำลังเดินดูเครื่องประดับในตู้ มือถือนำทัพที่วางอยู่ก็มีสายเรียกเข้า คนตัวโตเห็นดังนั้นจึงบอกให้เธอรับสายแทน“หนูรับให้เฮียหน่อย” เขาพูดโดยที่ไม่หันไปมอง“คะ?” มิลินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาขอให้เธอรับสายให้อย่างนั้นเหรอ ทั้งที่เมื่อก่อนเธอแตะต้องของส่วนตัวเขาไม่ได้เลย อยู่ ๆ คนตัวเล็กก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จริงที่นำทัพไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เอาเข้าจริงมันก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ หญิงสาวเผลอยิ้มจนลืมรับสาย“หนู”“ฮะ? อะ..อ๋อค่ะ” มือเล็กลุกลี้ลุกลนหยิบเอามือถือขึ้นมากดรับติ๊ด!“สวัสดีค่ะ”(คุณนำทัพอยู่ไหม) ทว่าคนตัวเล็กต้องนิ่งไปเมื่อคนที่โทรเข้ามาดันเป็นผู้หญิง ใบหน้าสวยหันไป
ตึกตึกเสียงฝีเท้าวิ่งหาที่หลบ ก่อนจะเห็นซอกหนึ่งที่น่าจะพอซ่อนตัวได้ ไม่รอช้ารีบพาตัวเองเข้าไปหลบทันทีตึกตึกกึก!“จะออกมาดี ๆ หรือให้กูไปลากคอออกมา" น้ำเสียงเย็นยะเยือกของร่างสูงผู้มาใหม่เอ่ยขึ้น เขาถอดแมสก์ที่ปิดใบหน้าออก ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางเงยหน้าพ่นควัน“.....” มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา แววตาเฉียบคมขยับมองไปรอบ ๆ บริเวณ เท้าหนักก้าวไปหยุดที่รถยนต์คันหนึ่ง ก่อนจะย่อนก้นลงไปนั่งกับกระโปรงรถแล้วเอ่ยอีกครั้ง“กูมีทางเลือกให้มึงสองทาง” “.....”"ระหว่างพูดความจริง กับ.. ตายตรงนี้ มึงอยากได้แบบไหน" “.....”“กูมีเวลาเล่นกับมึงไม่มาก รีบออกมาซะ” แล้วคนที่ไซลอน กำลังคุยด้วยอยู่ตอนนี้ เป็นคนเดียวกับที่แทงไบค์จนต้องหามส่งโรงพยาบาล และทีมพวกมันถูกคนของเขาจัดการจนสิ้นซากหมดแล้ว จะเหลือก็แค่มันคนเดียวที่เขาต้องการจับเป็น ทว่ายังไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย ไซลอนดันตัวขึ้นยืนแล้วมองไปรอบกายตัวเองอีกครั้ง "หึ~"ราวเกือบสิบนาทีได้ที่อีกคนไม่ยอมออกมาจากที่ซ่อน เมื่อมั่นใจว่าคนที่ตามล่าตนได้หายไปแล้วเขาจึงพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าตัวเองนั้นรอดแล
“ผมเห็นด้วยกับคุณศิธาครับ” นำทัพนั่งประชุมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะตอนนี้บริษัทที่คาเรนดูแลอยู่มีปัญหาอย่างหนัก พรุ่งเขาต้องกลับไปจัดการให้จบก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้ คาเรนไม่อยู่แล้วก็ต้องเป็นเขาที่เข้าไปจัดการด้วยตัวเอง เพราะไบค์ยังมีงานอีกที่ที่ต้องไปทำเหมือนกัน จะให้เขาโยนทุกอย่างให้ไบค์หมดก็คงไม่ได้ แค่ทุกวันนี้ที่ทำก็หนักมากแล้ว“แล้วคุณนำทัพจะเข้ามาเมื่อไหร่ครับ” หุ้นส่วนวัยกลางคนถามประธานหนุ่มที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ พวกเขาทุกคนต่างก็เครียดที่อยู่ ๆ หุ้นของบริษัทก็ตกฮวบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งการเงินยังคลาดเคลื่อน พวกเขาต้องหาตัวต้นเหตุของเรื่องให้ได้“เร็วสุดคืนนี้” ถ้าช้าก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า เขาต้องดูก่อนว่ามิลินจะไหวเดินทางหรือเปล่า แม้มันจะไม่ไกลมากแต่วันนี้เธอก็ไปเที่ยวมาทั้งวัน หากต้องเดินทางต่ออีกเขากลัวว่าเธอจะไม่ไหว ต่อให้นอนบนรถได้ก็เถอะ ถึงยังไงซะมันก็ยังไม่สบายตัวเท่าเรานอนบนเตียงหรอกนะ“พวกเราจะรอ” “ส่วนระ..” ซึ่งในขณะนั้นเอง..ติ๊ด ๆขวับ! ใบหน้าดูดีหลุบมองหน้าจอมือถือด้วยความรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ถูกส่งมาจากคนตัวเล็ก เขาไม่รอช้ารีบหยิบมือถือ
“ดูแลมิลินให้ดี” มาเฟียใหญ่กำชับลูกน้องตัวเอง วันก่อนนำทัพรับปากคนตัวเล็กว่าจะพาไปเที่ยวในเมือง ทว่าวันนี้กลับมีงานเร่งด่วนเข้ามา เขาต้องอยู่ประชุมกับหุ้นส่วนทุกคน จึงไม่สามารถไปกับคนตัวเล็กได้ มิลินเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่ได้ไปก็ซึมไปทันที คงเป็นอารมณ์น้อยใจของคุณแม่ที่ไม่ได้เที่ยว นำทัพเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ไบค์พาไปแทน แล้วตัวเองจะตามไปทีหลัง เพราะการประชุมอย่างน้อยต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควร“ครับ”“เฝ้าอย่าให้ห่าง เธออยากได้อะไรซื้อให้เลยอย่าขัดใจ” เขาส่งบัตรเครดิตให้ลูกน้องตัวเอง เผื่อเธออยากได้เสื้อผ้าหรืออะไรก็ให้ไบค์จัดการได้เลย ถ้าให้มิลินพกไว้เองเธอคงไม่ใช้แน่นอน ให้ไบค์นั่นแหละดีแล้ว“มาแล้วค่ะ” คนตัวเล็กเดินตรงมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่ นำทัพทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นพร้อมกับใช้เท้าบี้จนแหลกละเอียด ผ้าเช็ดหน้าถูกดึงออกมาจากกระเป๋าเพื่อนำมาเช็ดมือให้สะอาด ไม่ให้มีกลิ่นบุหรี่ติดมือ“หมวกล่ะ” เขาถามหาหมวก วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน ใส่หมวกไว้จะได้ไม่โดนแดดมาก“นี่ค่ะ” มิลินเอาหมวกที่เก็บไว้ในกระเป๋าออกมาให้คนตัวโตดู ไว้ไปถึงที่เที่ยวค่อยเอาออกมาใส่ ยังไงตอนไปเธอก็อยู่บนรถอยู่แล้ว“อย่าห่างไ
"จริงสิผมลืมไปเลย" เขานึกได้ว่ามีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้รายงานเจ้านาย"เรื่องไอ้คาเรนสินะ""ใช่ครับ""...." เงียบเพื่อรอฟัง"ไอ้คาเรนกลับญี่ปุ่นจริง ๆ ครับ""เพราะอะไรมันถึงไปโดยไม่บอก""ผมเองก็สงสัย มันเพิ่งถึงญี่ปุ่นเมื่อเช้านี้เอง" เขาตรวจไฟท์บินพบว่าคาเรนเดินทางถึงญี่ปุ่นในช่วงเช้าของวันนี้"งั้นก็ปล่อยมันไปก่อน" สงสัยจะเหนื่อยแล้วอยากพัก ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าถ้ามันอยากกลับบ้านทำไมไม่เดินมาบอกเขาดี ๆ ทำไมมันต้องเก็บข้าวของออกไปจากบ้านโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา ตอนนี้ทั้งนำทัพและไบค์ต่างก็กำลังหาสาเหตุว่าเพราะอะไรคาเรนถึงทำแบบนี้ แล้วหวังว่าเหตุผลนั้นมันจะมากพออีกคนถึงยอมทิ้งทุกอย่างแล้วกลับบ้านตัวเองไป"ครับ""แล้วมึงล่ะ..อยากกลับไหม" ในเมื่อไบค์กับคาเรนมาด้วยกัน เป็นแบบนี้แล้วไบค์ไม่คิดอยากตามเพื่อนตัวเองไปหรือยังไง เขาไม่คิดห้ามถ้าไบค์จะกลับไปจริง ๆ ถามว่าเสียดายไหมแน่นอนมันต้องเสียดายอยู่แล้วเพราะไบค์เป็นคนที่ทำงานเก่งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่คาเรนหรอกที่เป็นน้องชาย ยังมีไบค์อีกคนที่เขารักเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่ง แม้จะมีด่ามีดุบ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะไล่อีกคนออก ไม่ใช่