Share

บทที่ 4 เลือดเนื้อเชื้อไขอีกครึ่งของเธอ

เบียงก้าส่ายหัวและหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงเรื่องแม่ตน แม่ที่เธอไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้แม้แต่

ชื่อ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ

ครู่หนึ่ง โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น

ปลายสายคือนีน่า แลงดอน เพื่อนสนิทของเบียงก้า

เบียงก้ารับสายนั้น

“ไงจ๊ะ นี่ก็นานมาก ๆ แล้วนะที่เราไม่วิดีโอคอลกัน ทำไมเธอต้องบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคุยกับฉันสักที?” นีน่าบ่นผ่านโทรศัพท์ เธอวางมือไว้ที่แก้มอย่างเศร้าใจ แล้วกล่าวต่อ “บี เธอแน่ใจนะว่าจะไปอังกฤษจริง ๆ น่ะ? แล้วถ้าเธอโดนคนที่นั่นรังแกล่ะ? ฉันก็ไม่มีมือมีเท้าไกลถึงที่นั่นหรอกนะ”

“แล้วก็ ฉันได้ยินมานะว่าพวกผู้ชายที่นั่นเจนโลกกันจะตาย แถมหอพักนักเรียนยังเป็นแบบหอรวมด้วยนะ เมื่อเธอไปถึงที่นั่นแล้ว ก็ต้องระวังเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะ! นี่ เธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดไหมเนี่ย? แต่ช่างเถอะ เอาตรง ๆ เลยนะ ถ้าหนุ่ม ๆ พวกนั้นฮอตเสียจนเธอหักห้ามใจไว้ไม่อยู่ล่ะก็! อย่าลืมป้องกันล่ะ!”

ในหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ เบียงก้าเห็นว่านีน่ากำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารเล็ก ๆ ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะสั่งอาหารไป และกำลังรออาหารมาเสิร์ฟอยู่

บริเวณผนังของร้านอาหารด้านหลังนีน่า มีจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่พอสมควร

ทีวีเสนอรายงานข่าวบันเทิง พร้อมคำบรรยายที่เห็นได้อย่างชัดเจน มหาเศรษฐีวัยห้าสิบหกปีเพิ่งจะมีลูกสาวสด ๆ ร้อน ๆ!

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเด็กคนนั้นเป็นใคร

“บี?”

“เบียงก้า นี่เธอยังฟังฉันอยู่รึเปล่า?”

นีน่ามองเบียงก้าผ่านหน้าจอโทรศัพท์ เห็นเธอนิ่งไม่ไหวติง และอารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างพิลึก นีน่ารีบเขย่าหน้าจอของเธอ และพูดว่า ”เบียงก้า ได้ยินฉันไหม? เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า? ขอร้องแหละ อย่าทำให้ฉันกลัวแบบนี้สิ!”

ในตอนนี้ เบียงก้าค่อนข้างอ่อนไหวอย่างยิ่ง เมื่อเธอออกจากโรงพยาบาล เธอสาบานกับตัวเองว่าเธอจะไม่คิดถึงเด็กที่เธอเคยอุ้มท้องเป็นอันขาด แต่ทว่า มันเป็นไปได้อย่างไรกัน

เด็กคนนั้นเป็นเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขอีกครึ่งหนึ่งของเธอ

เบียงก้ากำลังจะสติแตก

เธอกำลังจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ

เอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมาเล่า?

เธอต้องหยุดคิดเรื่องนี้สักที

เธอวางสายและล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

นั่นไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกใจเย็นลง

บางที นั่นเป็นเพราะว่าเธอเคยถูกแม่ทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้น สิ่งที่นี้ก็กลายเป็นประวัติที่ซ้ำรอยเดิม แต่เกิดขึ้นกับลูกสาวเธอแทน

เธอไม่สามารถลืมวัยเด็กอันหนาวเหน็บของเธอได้ เธอไม่มีแม่ มีแค่พ่อและปู่เท่านั้น พ่อของเธอมีรายได้จากการทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ไกลบ้าน และปู่ของเธออายุมากขึ้นทุกวัน เพื่อนบ้านของเธอไม่เคยหยุดนินทาถึงพ่อแม่ของเธอเลย พวกเขาพูดถึงแต่เรื่องเสีย ๆ หาย ๆ เสียงเหล่านั้นก้องกังวานอยู่ในหัวเธอตลอดช่วงวัยเด็ก

เธอโตมากับการถูกรังแกจากคนที่รอบข้างที่เห็นแก่ตัว

เธอไม่รู้ว่าทำไมการที่เธอไม่มีแม่ถึงทำให้เธอต้องกลายเป็นเป้าของการกลั่นแกล้งด้วย พวกเขาทำร้ายเธอด้วยวาจา และคำสาปแช่งก็ก้องกังวานเต็มโสตประสาทของเธอ

บางครั้ง เธอก็รู้สึกเกลียดแม่เป็นอย่างมาก

เมื่อหลับตาลง ความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวคือรายงานข่าวบันเทิงทางทีวีในหัวข้อพ่อมหาเศรษฐีวัยกลางคน เขาเพิ่งได้ลูกสาวคนหนึ่งมา แต่ไม่มีใครรู้ว่า แม่ของเด็กหญิงผู้นั้นคือใคร...

ตอนนี้ เธอได้กลายเป็นแบบผู้หญิงที่เธอเกลียดที่สุดแล้ว เธอกลายเป็นแม่ที่ให้กำเนิดลูก แต่ไม่ได้รับผิดชอบชีวิตลูกเลย

เธอเดินกลับมาที่ห้องและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ค้นหาข่าวเกี่ยวกับมหาเศรษฐีคนนั้นและลูกของเขา

ในรายงานระบุว่า ชายคนนี้อายุห้าสิบหกปี ศีรษะล้าน แต่รูปร่างดีและตัวสูง

ผ่านมาสักระยะแล้ว เบียงก้าไม่สามารถบอกได้ว่าชายมีอายุคนนี้เป็นพ่อของลูกเธอจริง ๆ

หรือไม่

จริงด้วย มีเสียงของเขาในรายงานข่าวด้วยนี่!

เบียงก้าเริ่มค้นหาวิดีโอของชายมหาเศรษฐีคนนี้ เธอพยายามฟังเสียงของเขา เธออยากรู้ว่าเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่เธอได้ยินในคืนนั้นรึเปล่า

น่าเสียดาย เธอค้นหาเป็นเวลานานจนโทรศัพท์ของเธอแบตหมด แต่เธอก็ยังไม่เจอวิดีโอที่มีเสียงของเขาอยู่ในนั้น

ความสิ้นหวังทั้งหมดห่อหุ้มหัวใจเธอเอาไว้

ทางทิศตะวันออกของเมืองเอ

ณ บ้านของครอว์ฟอร์ด มีหนึ่งในสุนัขพันธุ์ดีที่บรรดาเศรษฐีกระเป๋าหนักมักจะเลี้ยงเอาไว้กำลังวิ่งพล่านไปทั่ว

ถึงเวลารับประทานอาหารแล้ว และบนโต๊ะอาหารค่ำในคฤหาสน์ ก็เต็มไปด้วยอาหารเลิศหรู

สมาชิกในครอบครัวอยู่กันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งชายและหญิง นางพยาบาลเหงื่อโชกทั้งสองคนกำลังเข็นเด็กน้อยทั้งสองมาไว้ข้างกายผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ด

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดนั่งอยู่บนรถเข็นพลางมองดูหลานชายที่ร่าเริงของเขาอยู่ในเปล “เด็กคนนี้หน้าเหมือนลุคอย่างกับแกะ ฉันมั่นใจเลยว่าเขาจะโตขึ้นเป็นบุคคลที่น่ามีน่าเกรงขามเช่นเดียวกันกับลุคแน่!”

ท่านผู้อาวุโสดูค่อนข้างพอใจมากเลยทีเดียว

สำหรับครอว์ฟอร์ดคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะต่างพากันเผยรอยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ

แม้พวกเขาจะขุ่นเคืองเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าแสดงอารมณ์นั้นออกมา

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดเล่นกับหลานชายของตนอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกล่าวกับทุกคนในครอบครัวอย่างหนักแน่น “ถ้าไม่ได้ลุคและการทำงานหนักอย่างไม่หยุดหย่อนของเขา

ในช่วงตลอดสองปีที่ผ่านมา ครอว์ฟอร์ดคงหมดความรุ่งเรืองและชื่อเสียงไปแล้ว! เข้าใจจุดประสงค์ที่ฉันพูดออกไปไหม?

ไม่มีใครคัดค้าน แต่ก็ไม่มีใครเห็นด้วยเช่นกัน

แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดยังคงมีสายตาที่เฉียบคม เขามองไปรอบตัว และจ้องมองท่าทีของทุกคน “ฉันแก่แล้ว ถึงเวลาที่จะส่งต่อธุรกิจครอบครัวให้กับคนรุ่นใหม่เสียที” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหันไปหาหลุยส์และกล่าวว่า “หลุยส์ เธอควรตามพี่ชายของเธอไป ต่อจากนี้ไป ก็จงเรียนรู้จากเขา!”

“ได้อยู่แล้ว” หลุยส์เอ่ยขึ้นอย่างไร้มารยาท ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง

“คุณพ่อคะ แบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?!” ซูซาน อาร์มสตรองพลันลุกขึ้นยืน ท่าทีของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ลุคเป็นหลานชายของคุณพ่อ ใช่ค่ะ แต่หลุยส์ของเราก็เป็นหลานชายของคุณพ่อเหมือนกันนิ! พ่อกำลังทำร้ายจิตใจลูกสะใภ้ที่ยืนอยู่ตรงนี่นะ! หลุยส์ลูกชายของหนูแย่กว่าลุคตรงไหนคะ?!”

เพียงเพราะลุค ครอว์ฟอร์ด ไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้ ซูซานจึงกล้ายืนขึ้นและโพล่งทั้งหมดออกมา

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดมีลูกชายเพียงคนเดียว และลูกชายของเขามีลูกชายอีกสองคน คือ

ลุคและหลุยส์ ครอว์ฟอร์ด

ลุคเป็นผู้ใหญ่และตรงไปตรงมา เขาสามารถเปลี่ยนเป็นคนโหดเหี้ยมได้ตามใจนึก เมื่ออยู่ในแวดวงธุรกิจ ไม่มีใครกล้าต่อกรหรือต้องการสร้างปัญหากับเขา

หลุยส์เป็นพวกพ่อมาลัยลอยชาย เขาไม่ได้โง่ แต่เขาใช้สติปัญญาทั้งหมดไปกับเรื่องการหาผู้หญิง

นอกจากตัวเขาเองแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขามีความทะเยอทะยานหรือต้องการทำการทำงานบ้างรึเปล่า

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดเพิกเฉยต่อการประท้วงของซูซาน การเลือกผู้สืบทอดเป็นอะไรที่สำคัญ

อย่างที่สุด เขาจะไม่ปล่อยให้อารมณ์มาเป็นอุปสรรค์ในการตัดสินใจ เขาเลือกได้เพียงครั้งเดียว หากเขาเลือกผิด เขาอาจเป็นคนทำลายทุกอย่างที่ครอว์ฟอร์ดสร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา

“โทรหาลุคที ฉันมีบางอย่างที่จะต้องคุยกับเขา” ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดสั่งการคนรับใช้

คนรับใช้เริ่มโทรออกทันทีและวางโทรศัพท์นั้นแทนที่โทรศัพท์ของผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ด

“สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรเหรอครับ คุณปู่?” ลุคเอ่ยถามจากปลายสาย เขากำลังเดินทางออกนอกประเทศ และดูเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“ปู่คิดว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแก่การตั้งชื่อให้เหลนชายน่ะสิ ปู่คิดชื่อเอาไว้แล้ว หลานคิดอย่างไรกับชื่อคลาเรนซ์? คลาเรนซ์ ครอว์ฟอร์ด ปู่อยากให้เหลนเติบโตด้วยดวงตาที่สดใส มีและจิตใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง!” ผู้อาวุโสกล่าว

ซูซานขุ่นเคืองไม่น้อยที่ไม่มีใครมาแยแส แต่เธอไม่กล้าพูดอะไร ดังนั้นเธอจึงนั่งและเงียบอยู่แบบนั้น

ทางปลายสาย ลุคไม่ตอบสนองต่อผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดในทันที เขาขมวดคิ้วราวกับกำลังใช้ความคิด และเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น “คุณปู่ครับ ผมเข้าใจสิ่งที่คุณปู่หมายถึงเกี่ยวกับจิตใจที่บริสุทธิ์และดวงตาที่ชัดเจนนะครับ แล้วบลองช์ล่ะครับ? หมายถึงสีขาวบริสุทธิ์เช่นกันนะครับ”

บลองช์ ครอว์ฟอร์ด.

"ก็ฟังดูเข้าท่าดีนะ!" ชายชราพลันมองใบหน้าหลานชายในเปลทันที “เหลนมีชื่อแล้ว เด็กน้อย”

ผู้อาวุโสครอว์ฟอร์ดจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชื่อเหลนสาวเลย เพราะลุครู้สึกว่าลูกสาวของเขาควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ราวกับเจ้าหญิง เธอจึงมีสิทธิ์ที่จะตั้งชื่อให้กับตนเองได้เมื่อโอกาสนั้นมาถึง

เวลาผ่านไปในพริบตา

ไม่นานก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องไปต่างประเทศ

เบียงก้าไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับมาลี เพราะเจนนิเฟอร์จัดการให้มาลีไปประเทศอังกฤษล่วงหน้าหนึ่งเดือนเพื่อให้เธอคุ้นกับที่นั่น

“พอไปถึงที่นั่นแล้ว ผมฝากคุณดูแลเบียงก้ากับมาลีทีนะ” เควินพูดอย่างจริงจังกับเจนนิเฟอร์ ลี ที่สนามบิน

ฌอง สูงร้อยแปดสิเซนติเมตร เขารูปร่างดีและค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบ เขาเป็นพี่ชายของนีน่า เขาตั้งเป้าหมายว่าจะไปเรียนต่างประเทศนานแล้ว แต่เขาตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าต้องการจะไปประเทศไหน

เมื่อเขาได้ยินน้องสาวพูดว่า เบียงก้ากำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เขาจึงตัดสินใจจะไปกับเธอทันที

ผู้ชายทุกคนล้วนมีหญิงสาวอยู่ในใจ หญิงสาวที่น่าอัศจรรย์เหมือนรักแรกสำหรับฌอง ผู้หญิงคนนั้นคือเบียงก้า

“ฝากดูแลบีด้วยนะ” นีน่าสวมกอดพี่ชายของเธอและกระซิบข้างหูว่า “พี่ไม่ต้องใส่ใจนางมาลีอะไรนั้นก็ได้ เดี๋ยวกลิ่นสาบจะติดตัวพี่เอา”

ฌอง “…”

เมื่อทั้งสองเข้าแถวที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เบียงก้าก็หันกลับมาน้ำตาไหลริน ขณะที่เธอโบกมือลาพ่อที่แก่ชราของตน

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status