LOGINชีวิตในโรงเรียนสำหรับพวกนักเรียนแวมไพร์เป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากลำบากนัก แต่กลับเป็นที่น่ากดดันสำหรับพวกนักเรียนมนุษย์ ด้วยความที่โรงเรียนนี้เต็มไปด้วยเหล่าลูกหลานชนชั้นสูงของตระกูลแวมไพร์จากทั่วทุกมุมโลก มันจึงเกิดเป็นชนชั้นทางสังคมภายในโรงเรียนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับเจย์เนสกับเรย์เน่แล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเลยสักนิด พวกเขาเป็นถึงลูกหลานของเชื้อพระวงศ์จากตระกูลแวมไพร์ที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด แล้วมีหรือที่นักเรียนคนอื่นจะกล้าล้ำเส้นมาจัดชนชั้นให้กับพวกเขา
เรียกได้ว่าอยู่เหนือห่วงโซ่ของพวกหัวสูงอย่างสบาย ๆ เลยล่ะ
“นั่นเจย์เนสใช่ไหม”
“ใช่ หล่อมากเลยเนอะ”
“หล่อที่สุดเท่าที่เคยเจอพวกผู้ชายมาเลยล่ะ”
“เคยเห็นพ่อเขาหรือยัง เหมือนกันอย่างกับฝาแฝดแหนะ”
“แสดงว่าเบ้าหน้าดีทั้งบ้านเลยสิ”
“เรียนดี กีฬาเด่น หน้าหล่อ ตรงสเป็คสุด ๆ เลย”
“เสียดาย อันตรายเกินไปหน่อย”
เสียงเจื้อยแจ้วของพวกนักเรียนหญิงดังขึ้นตลอดทางที่เจย์เนสเดินผ่าน ยอมรับว่าสมัยที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ ๆ แล้วเจอเหตุการณ์เช่นนี้เขามักจะทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ปรับตัวได้อย่างน่าเหลือเชื่อ กลายเป็นไม่ยี่หระต่อสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
และด้วยความหล่อเหลาที่มาพร้อมกับบุคลิกที่มองดูเหมือนว่าจะสุขุม แต่ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามเหมือนมีมาดผู้นำตามแบบพ่อของเขานั้น ทำให้เจย์เนสถูกสถาปนาเป็นเจ้าชายน้ำแข็งแห่ง เซ็นต์โยเซีย อะคาเดมี ไปโดยปริยาย
ส่วนเรย์เน่ผู้เป็นน้องสาวฝาแฝดก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน เพียงแต่เธอคนนี้ร่าเริงกว่าพี่ชายมาก จึงถูกสถาปนาเป็นเจ้าหญิงรอยยิ้มแทน
“อย่าลืมการบ้านคลาสนี้นะเด็ก ๆ” อาจารย์ประจำวิชาบอกนักเรียนในคลาส “เจย์เนส รวบรวมงานของเพื่อน ๆ มาส่งที่โต๊ะครูนะ”
“ครับ” ตกปากรับคำเรียบร้อย นักเรียนทั้งห้องก็เก็บของลงกระเป๋า
“พี่เจย์เนส จะรีบไปไหนน่ะ” เรย์เน่รีบจ้ำอ้าวเข้ามาถามทันทีเมื่อเห็นว่าพี่ชายกำลังเก็บของอย่างเร่งรีบ ด้วยความที่ว่าพี่ชายจะออกไปเที่ยวข้างนอกกับกลุ่มเพื่อนเขาอีกหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นเธอจะได้ติดสอยห้อยตามไปเล่นสนุกด้วยอย่างไรล่ะ
“ห้องสมุด”
แต่คำตอบนั้นทำให้เรย์เน่หงอลงทันที “แล้วจะรีบอะไรขนาดนั้น”
“ไปยืมหนังสือ เดี๋ยวมันจะหายไปซะก่อน”
คำพูดแบบสั้น ๆ นี่ถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อไม่มีผิด เรย์เน่ที่ได้ยินประสงค์ของพี่ชายอย่างชัดเจนก็เบะปากอย่างนึกขัดใจ พลันหันหน้าเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเขาอีก
เก็บของอย่างเร่งรีบแล้ว ขายาวก็รีบก้าวตรงสู่ห้องสมุดแทบจะทันที ด้วยความที่หนังสือเล่มนั้นเป็นวรรณกรรมที่เขาเคยได้ลองอ่านเล่มหนึ่งจากห้องสมุดของที่บ้าน และพบว่ามันสนุกจนติดใจเลยทีเดียวเชียว
แต่เมื่อลองหาเล่มสองดูแล้ว ท่านพ่อกลับบอกว่ามันหายไปไหนก็ไม่ทราบได้ และด้วยความที่อยากจะอ่านจนใจแทบขาด ก็ลองไปหาซื้อดูแล้ว แต่มันเก่าเกินกว่าจะตีพิมพ์ออกมาขายอีก
โชคดีที่บังเอิญมาเจอในห้องสมุดโรงเรียนเข้า เพราะฉะนั้นวันนี้เขาจะไม่ยอมพลาดมันอย่างแน่นอน
ร่างสูงตรงไปยังโซนหนังสือวรรณกรรมด้วยท่าทีมุ่งมั่น แต่แล้วเมื่อมือหนาของเขาเอื้อมออกไปสัมผัสเข้ากับสันปกหนังสือ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มือของใครอีกคนเข้ามาสัมผัสพร้อมกันพอดี
สายตาคมกริบตวัดมองขึ้นทันที ก่อนจะพบกับดวงหน้าสวยหวานราวตุ๊กตาของหญิงสาวคนหนึ่ง ผมสีบลอนด์ที่ปรกอยู่นั้นทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นเป็นเท่าตัว ทำเอาคนที่พยเห็นดั่งต้องมนต์สะกดเลยทีเดียว
สายตาของทั้งคู่สบประสานกันอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากนั้น จากสายตาในตอนแรกที่เหลือบมองอีกฝ่ายประหนึ่งจ้องจะเอาเรื่องก็พลันระส่ำกลายเป็นรีบเหลือบมองไปทางอื่นแทบจะทันที
ไม่เพียงเท่านั้น ยังดึงมือหนาของตัวเองออกจากสันปกที่จับค้างเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก
“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาระคนว่าเขินอายกับการกระทำอันล่วงร้ำของตัวเอง ก่อนจะชักมือกลับเช่นกัน
แต่แล้วเมื่อเธอเงยหน้าชายตาขึ้นมองและพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของเจย์เนส ดวงหน้าสวยก็ขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความประหม่า ตามมาด้วยเสียงเข้มของเขาที่ดังขึ้นชวนให้ใจของเธอยิ่งเต้นระส่ำ
“เอาไปเถอะ ดูเหมือนเธอจะหยิบก่อน” เจย์เนสกล่าวเสียงเรียบ จากนั้นก็ถอยหลังออกจากชั้นวางหนังสือเพื่อเปิดทางให้แก่เธอ
ทั้งที่อยากจะอ่านจนใจแทบขาดแท้ ๆ ทำไมถึงยอมง่ายขนาดนี้เล่าเจย์เนส! รู้สึกเหมือนว่าจิตใต้สำนึกกำลังตำหนิกับการกระทำของตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวตรงหน้ายกยิ้มร่าด้วยความดีใจ แต่ก่อนที่จะได้หยิบหนังสือไป สาว ๆ กลุ่มหนึ่งที่มักจะคอยตามติดเจย์เนสอยู่เสมอ
ซึ่งหัวหน้ากลุ่มแก๊งสาว ๆ พวกนั้นก็คือ โซเฟีย อีแวนสัน เธอเรียนอยู่ในคลาสเดียวกับเจย์เนส และไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหล่อนยังแสดงออกว่าชอบพอเขาอย่างออกนอกหน้าอีกต่างหาก
แต่มีหรือที่คนซึ่งถูกสถาปนาว่าเป็น ‘เจ้าชายน้ำแข็ง’ จะสนใจเรื่องนั้น เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ผู้ที่ถือคติว่า ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกอย่างโซเฟียน่ะ ไม่มีวันที่จะยอมแพ้ให้กับท่าทีเมินเฉยของเขาหรอก!
โซเฟียจ้ำอ้าวเข้ามาพร้อมบรรดากลุ่มแก๊งก่อนจะตวัดสายตามองหญิงสาวหน้าสวยตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“อาเรียน่า ฟลอเรนซ์”
น้ำเสียงแข็งกร้าวทำให้หญิงสาวที่ยื่นมือไปจับหนังสือถึงกับตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที
“บ้านเธอจะล้มละลายอยู่แล้ว ยังเสนอหน้ามาเรียนต่อที่นี่อีกเหรอ?”
“นั่นสิ แล้วยังจะมีหน้ามาแย่งหนังสือกับเจย์เนสอีก” หนึ่งในสาว ๆ พูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
“เป็นฉันคงไม่มีทางเสนอหน้ามาโรงเรียนที่ต้องจ่ายแพงขนาดนี้หรอก พ่อเธอไม่คิดจะเก็บเงินเอาไว้ไปจัดงานแต่งให้เธอหน่อยเหรอ อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องหัวหมุนตอนขายลูกสาวออกไง” อีกคนพูดเสริมยาวเหยียด
คำพูดนั้นทำให้อาเรียหน้าขึ้นสี ทั้งโกรธและอายไปในเวลาเดีวกัน จนไม่อาจทนยืนอยู่ตรงนั้นได้
ร่างบางรีบวิ่งออกไปจากห้องสมุด แต่ก็ยังไม่วายที่นักเรียนหญิงกลุ่มนั้นจะยังหัวเราะไล่หลังเธอไปอย่างไม่ขาด
ขณะเดียวกัน เจย์เนสที่เห็นพฤติกรรมของพวกเจ้าหล่อนก็ตวัดสายตาคมกริบไปหาสาว ๆ กลุ่มนั้น คิ้วหนาขมวดมุ่นฉายแววไม่พอใจ และมันก็ทำให้พวกเธอหยุดหัวเราะลงแทบจะทันที
ให้ตายเถอะ เป็นแบบนี้เสียแทบทุกครั้ง น่ารำคาญเสียจริง ไม่ว่าจะหญิงสาวคนไหนเฉียดเข้ามาใกล้ตน พวกนักเรียนหญิงกลุ่มนี้ก็จะคอยปะทะฝีปากอย่างร้ายกาจใส่พวกเธออยู่ร่ำไป
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ด้วยท่านพ่อพร่ำสอนเอาไว้ว่าเกิดเป็นชายชาตรีไม่ควรลงไม้ลงมือหรือทำให้หญิงสาวต้องบาดเจ็บ เขาจึงได้แต่ปล่อยผ่านไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก
ร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาไว้ในมือพร้อมเดินจากไปโดยไม่สนใจหญิงสาวกลุ่มนั้นแม้แต่น้อย
“จะเมินกันตลอดเลยสินะ” โซเฟียเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเขาตั้งท่าจะก้าวเดินออกไป
แต่ก็อย่างว่า ฉายาเจ้าชายน้ำแข็งไม่ใช่งว่าได้มาเล่น ๆ เขาไม่แม้แต่จะหันไปตอบโซเฟียเลยสักนิด ทำเอาหญิงสาวได้แต่กระทืบเท้าอย่างนึกขัดใจ
เดินออกมาจากห้องสมุด เจย์เนสก็มุ่งหน้าตรงไปยังโซนตู้ล็อคเกอร์ ถึงแม้อะคาเดมีแห่งนี้จะถูกก่อตั้งมาดึครอบหนึ่งร้อยปี สถาปัตยกรรมจึงถูกสร้างออกมาเป็นรูปแบบกอทอคเสียส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นการอำนวยความสะดวกให้กับนักเรียนก็ยังถือเป็นสิ่งที่โรงเรียนต้องคำนึงถึง จึงได้มีตู้ล็อคเกอร์เก็บของเพิ่มเข้ามาให้นักเรียน
ขณะที่ร่างสูงกำลังจะตรงไปเก็บของของตัวเองเข้าตู้ล็อคเกอร์นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผมสีบลอนด์คนเดียวคนเดิมกับที่เจอในห้องสมุดกำลังยืนง่วนเก็บของของเธออยู่
แต่แววตานั้นดูเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก มันแดงก่ำเหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างเห็นได้ชัด
เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายตาพลันจ้องมองหนังสือที่อยู่ในมืออย่างช่างใจ และสุดท้ายขายาวก็ก้าวตรงเข้าไปหาเธออย่างเงียบเชียบ มือหนาตัดสินใจยื่นออกไปก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นลงบนชั้นตู้ล็อกเกอร์ของเธอ
ให้ตายเถอะ อยากอ่านนะเนี่ย แต่ดูเหมือนเธอจะเศร้า จึงต้องพึ่งหนังสือเล่มนี้มากกว่าเขาล่ะ เจย์เนสคิดเห็นเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นการปลอบใจตัวเองไปในตัวหรือเปล่านะ!
ส่วนอาเรียที่กำลังก้มหน้าเก็บของใส่ตู้ล็อคเกอร์ก็ไม่ทันได้สังเกตอะไรเลยสักอย่าง เธอยังคงมุ่งมั่นเก็บของต่อไปก่อนที่จะได้ยินเสียงของบางอย่างกระทบเข้ากับล็อคเกอร์ของตัวเอง
ดวงหน้าสวยเงยขึ้นมาก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับหนังสือเล่มที่เธอหวังจะหยิบมาครอบครองในห้องสมุด และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหนังสือไม่ได้มีขาเดินมาหาเธอเองเป็นแน่ จึงรีบหันกลับไปพบกับคนที่นำมันมาส่งให้ตนถึงที่
ใบหน้าของเขานิ่งเรียบ ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ พร้อมทั้งดวงตาสีแดงเข้มที่ทำเพียงจ้องมองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันมาสบตาเธอเลยสักนิด
อะไรกัน...ทำเท่ห์หรือเล่าเนี่ย แต่ยอมรับว่าเท่ห์จริงเรือ่งนี้ไม่อาจเถียงได้ อาเรียคิดในใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรขอบคุรเขาให้เป็นกิจลักษณะ
แต่ในขณะที่อาเรียจะทันได้เปิดปากพูดอะไร ร่างสูงก็เริ่มออกตัวก้าวเดินไปเสียก่อนแล้ว
เขาทำประหนึ่งว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้มีเค้าโครงสำคัญอะไรต่อตัวเองมากนัก เพียงแค่นำหนังสือมาวางให้ก็เท่านั้นเอง
ดวงตาคู่สวยมองตามร่างสูงจนกระทั่งลับตาไปจากมุมตึกอาคาร และในตอนนั้นเองเธอก็หันกลับมามองดูที่ตู้ล็อคเกอร์ของตัวเองอีกครั้ง
มือเรียวบางสัมผัสต้องกับหนังสืออย่างแผ่วเบา ภายในใจก็นึกขอบคุณเขาคนนั้นที่นำมาวางให้ ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายเจอหนังสือเล่มนี้ก่อนแท้ ๆ
หลังจากเจย์เนสเดินออกมาจากอาคารเรียน แววตาคมกริบก็เหลือบไปเห็นน้องสาวฝาแฝดของตนอย่างเรย์เน่ ยืนโบกไม้โบกมือมาให้พร้อมท่าทางร่าเริง
เห็นได้ชัดว่าพ่อกับแม่คงมารับเขากลับบ้านอีกแล้วล่ะ ทั้งที่บอกแล้วแท้ ๆ ว่าไม่ต้องมารับบ่อยขนาดนั้นก็ได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งเขามาเรียนที่โรงเรียนประจำไปเพื่ออะไรกันเล่า
แต่ดูเหมือนน้องสาวของเขาจะชอบใจที่ได้กลับบ้านบ่อย ๆ เนี่ยสิ ‘มารับเรย์เน่แค่คนเดียวก็ได้นี่นา’
ก็อย่างว่า ด้วยความเป็นวัยรุ่น การได้อยู่กับผองเพื่อนจึงดูเป็นอะไรที่น่าสนุกกว่าการต้องกลับบ้านไปอยู่ร่วมกับครอบครัว
“เร็วหน่อยสิ! รถมาจอดรอนานแล้วนะ!” เรย์เน่ตะโกนพลางรีบเดินขึ้นไปนั่งบนรถ เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างหนื่อยหน่าย
แต่ก็ดีเหมือนกัน ไหน ๆ ก็จะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มโปรดที่เฝ้ารอมานานแล้ว กลับบ้านไปอยู่กับพวกน้อง ๆ ก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก
เจย์เนสพยักหน้าเบา ๆ ให้น้องสาวฝาแฝด เหมือนกำลังจะบอกว่า ฉันรู้แล้วหน่า ไม่ต้องเร่งหรอก ก่อนจะมุ่งตรงไปทางลานจอดรถอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่นัก
แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นชัดเจนว่ามุ่งตรงมาทางตัวเอง เขาจึงรีบหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณความเป็นแวมไพร์
‘เธอนี่เอง’ เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวคนที่พยายามหยิบหนังสือเล่มเดียวกับเขาในห้องสมุด เขาก็ทำหน้าผ่อนคลายลง
เธอวิ่งตามมาพร้อมหอบหายใจเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าดูเหมือนเธอจะวิ่งตามเขามาตั้งนานแล้วล่ะ และสิ่งนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เจย์เนสไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่นัก การมีใครวิ่งตามอย่างเอาเป็นเอาตายเนี่ย ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
“ขอบคุณนะ…” เสียงแผ่วเบาเจือความหอบนิดหน่อย แต่ก็ชัดเจนพอที่จะให้เจย์เนสได้ยิน
แววตาคมกริบมองจ้องเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีคำพูดใดตอบกลับไป เพียงพยักหน้ารับเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่า รับรู้แล้ว แต่ไม่มีท่าทางใดที่แสดงถึงความสนใจมากไปกว่านั้น
จากนั้นมือหนาก็กระชับสายสะพายกระเป๋าเป้แล้วหมุนตัวหันหลังเดินไปขึ้นรถ ทิ้งให้อาเรียยืนนิ่งงันทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้น
อะไรกัน...เธอไม่ได้วิ่งตามเขามาด้วยความพิสวาทเสียเมื่อไหร่ล่ะ แค่พยายามทำตัวมีมารยาทก็เท่านั้นเอง
แต่การกระทำของเขามันช่าง...จะว่าหลงตัวเองดีไหมล่ะเนี่ย ทำไมเขาต้องทำเหมือนว่าเธอวิ่งตามเขามาเพราะชื่นชอบเขาขนาดนั้นเล่า!
หลังจากร่างบางหันหลังให้เธอก็ทำหน้าพองลมอย่างนึกหงุดหงิดอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็เอาเถอะ เธอไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วล่ะ เป็นเพราะได้รับหนังสือจึงอยากมาขอบคุณให้เป็นกิจลักษณะก็เท่านั้น! อยากจะคิดอะไรก็ให้เป็นเรื่องของเขาเถอะ!
แต่หลังจากทั้งสองแยกย้ายและเจย์เนสเดินมารถตู้ที่ถูกส่งมาจากคฤหาสน์แบรดฟอร์ด เพียงแค่เขาหย่อนก้นนั่งลงบนเบาะก็ถูกน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่โถมคำถามเข้าใส่อย่างจัง
“ใครอ่ะ!” ไม่เพียงแค่ถาม ยังมาเกาะเบาะที่นั่งของเขาอีกต่างหาก
“นั่งดี ๆ เรย์เน่ โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็ก ๆ” ว่าจบก็ทำเป็นเมินคำถามของน้องสาวไปโดยปริยาย
ชีวิตหลังแต่งงานของเจย์เนสเริ่มเต็มไปด้วยความบันเทิง แต่เหนือสิ่งอื่นใด สองแฝดดูจะเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากที่สุด(รองจากแม่ของพวกเขา)กลางดึก สองหนุ่มน้อย เรเวียน ไวน์อัส ก็แอบย่องออกจากห้องนอนลงมา ก่อนจะเริ่มหากิจกรรมเล่นกัน นับว่าดีมากที่พวกเขาได้นอนอแยกห้องกับท่านพ่อท่านแม่ จึงสะดวกแก่การย่องออกมาที่สุดอันที่จริงของพวกนี้ก็เป็นเรื่องปกตินี่นา พวกเขาเป็นแวมไพร์ก็ต้องใช้ชีวิตตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวันสิถึงจะถูก!“ดูนี่สิไวน์อัส!” เรเวียนพุ่งขึ้นไปอยู่บนตู้เก็บหนังสือในห้องสมุด ก่อนจะกระโดดข้ามชั้นไปมาอย่างช่ำชอง“รอฉันด้วยสิ!” ไวน์อัสเห็นแฝดตัวเองทำแบบนั้นได้ก็ไม่อยากน้อยหน้า รีบกระโดดตามข้นไปก่อนจะวิ่งโลดโผนกันอยู่บนนั้นเสียงตึงตังข้างล่างทำเอาแวมไพร์หนุ่มอย่างเจย์เนสที่กำลังนอนอยู่ข้างอาเรียเริ่มขมวดคิ้ว ‘โจรขึ้นบ้านหรือไงนะ’นั่นเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่นี่เป็นบ้านแวมไพร์นะ จะมีโจรหน้าไหนกล้าบุกเข้ามากัน!แต่ด้วยความสงสัย เจย์เนสจึงยอมลุกออกจากเตียงแล้วลงไปสังเกตการณ์ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า และเมื่อไปถึงข้างล่างปึง! ปัง! ตึง! ตัง!เสียงปึงปังเหมือนม
อาเรียเริ่มปรับตัวกับร่างกายใหม่ในฐานะแวมไพร์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่เธอยังต้องเรียนรู้ไม่แพ้กันนั่นก็คือ “การเป็นแม่” ของลูกชายฝาแฝดที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน แเต่อย่างที่บอกว่าลูกแวมไพร์โตเร็วมาก นอกจากนี้ยังแข็งแรงเกินกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้ด้วยแม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่พละกำลังของพวกเขากลับไม่ต่างจากเด็กแวมไพร์ทั่วไปเลย บอกตามตรงว่าตอนแรกเธอเป็นกังวลมาก ว่าการเลี้ยงลูกแวมไพร์จะเหมือนกับการเลี้ยงเด็กทั่วไปหรือเปล่าแต่โชคยังดีที่ ลินิน แม่สามีของเธอคอยช่วยให้คำปรึกษาอยู่ตลอด“เลี้ยงลูกแวมไพร์ก็เหมือนเลี้ยงลูกมนุษย์นั่นแหละอาเรีย แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องดูแลเป็นพิเศษด้วย” ลินินเอ่ยพลางอุ้มหลานชายคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน“ค่ะแม่...” อาเรียพยักหน้า ขณะที่มองดูลูกอีกคนนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขน“เด็กแวมไพร์จะมีสัญชาตญาณนักล่าตั้งแต่ยังเล็ก เพราะฉะนั้นต้องคอยควบคุมพวกเขาให้ดี ไม่อย่างนั้นบ้านจะเละเอาได้”ระหว่างที่กำลังให้คำปรึกษา ลินินก็เล่าถึงลูกแวมไพร์ทั้งสี่ของเธอให้ฟัง“เจ้าสี่คนนี้เนี่ยนะ ตอนนั้นทำคฤหาสน์แทบจะถล่ม” ซึ่งสี่คนที่ลินินกำลังพูดถึง ก็รวมพ่อของทั้งสองแฝดนี้ด้วยนั่น
สามวันผ่านไป ร่างบางของอาเรียยังนอนแน่นิ่งอยู่ในโรงแก้วเย็นที่ช่วยรักษาสภาพร่างกายของเธอเอาไว้ เจย์เนสคอยนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แต่ในใจก็เริ่มหวั่น ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะยังพอมีหวังกับปาฏิหาริย์ได้อยู่หรือเปล่า“เจ้าต้องพักผ่อนบ้าง” เจย์เดนเดินเข้ามาบอกลูกชาย“อาเรียไม่ฟื้น ผมเสียเธอไปตลอดกาลแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงเว้าวอน เหมือนอยากจะยอมแพ้แต่ก็ยังไม่อยากปล่อยวาง ถ้าหากว่าเขายอมแพ้ตอนนี้อาเรียรู้เข้าคงเสียใจแน่“ข้าตอบเจ้าไม่ได้หรอก แต่เจ้าต้องพักบ้าง ถ้าอาเรียตื่นขึ้นมาเห็นสภาพเจ้าตอนนี้ นางคงปวดใจหนักแน่”เจย์เนสหันมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานใหญ่กลางห้อง ก็จริงอย่างที่ท่านพ่อว่า เขาควรจะไปแต่งตัวหล่อ ๆ รอต้อนรับเธอกลับมาสิร่างสูงพยักหน้า ก่อนจะยอมเดินออกจากห้องโถงที่ตั้งวางโลงแก้วเย็นอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เพียงลับตาจากห้องโถง ร่างบางในโลงแก้วก้เริ่มมีปฏิกิริยา ร่างกายเริ่มฟูฟ่อง บาดแผลฉกรรจ์ที่ได้รับตอนผ่าคลอดเริ่มสมาน เชิงกรานที่เคยแตกหักเชิ่มต่อกันอีกครั้ง เส้นผมที่เคยแห้งกร้านจากการที่เลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงเริ่มกลับมาเงาสลวยอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ผิวพรรณยังเริ่มเปล่งประ
หลังจากนั้น เจย์เนสก็แทบไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาคอยดูแลเธอทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องอาหาร การพักผ่อน แม้กระทั่งการเดินเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องคอยประคอง ทำอย่างกับว่าอาเรียเหมือนแก้วที่เปราะบางมากแต่ถึงอย่างนั้น ความกังวลก็ยังไม่ลดลง เมื่อเห็นว่าภรรยายังซูบผอมอยู่ตลอดทั้งที่ทานเยอะกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว“ลองให้นางดื่มเลือดดูดีไหม” เจย์เดนเสนอความเห็น เมื่อเห็นว่าอาเรียทานไปเยอะเท่าไหร่ก็ยังไม่มีน้ำมีนวลขึ้นมาเลย แถบยังซุบจนเกือบจะเหลือแต่กระดูกแล้ว“ลองดูก็ไม่เสียหายครับ” เจย์เนสสั่งให้คนไปเตรียมเลือดมนุษย์มา ก่อนจะบรรจุลงในแก้วน้ำเพื่อให้เธอลองดื่มตอนแรกทุกคนต่างกังวลว่าเธอจะสะอืดสะเอียนแล้วดื่มไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าดื่มเก่งกว่าแวมไพร์เสียอีก โดยเฉพาะช่วงที่กระหาย บอกตามตรงว่าบางครั้งอาเรียก็นึกกลัวตัวเองเหมือนกันแล้วมันก็ได้ผล หลังจากที่เธอดื่มเลือดมนุษย์ควบคู่กับการทานเนื้อเสต็กติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หน้าตาก็เริ่มสดใสขึ้น เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็แทบจะรีบไปสรรหาเลือดจากทุกแหล่งมาถวายให้เธอเลยทีเดียวไม่เพียงเท่านั้น ทุกสิ่งอย่างที่อาเรียร้องบอกว่าอยากทาน ไ
ไม่นานหมอประจำตระกูลก็ถูกเรียกตัวมา หลังจากตรวจร่างกายด้วยเครื่องมือทันสมัยแล้ว เขาก็บอกเล่าอาการของท่านหญิงคนใหม่แห่งตระกูลแบรดฟอร์ดด้วยน้ำเสียงหนักใจ“ท่านหญิงตั้งครรภ์ขอรับ”อาเรียเบิกตากว้างก่อนจะรีบหันไปมองเจย์เนส ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่เป็นเพราะ…ลูก เธอกำลังจะมีลูก...มือเรียวลูบไล้หน้าท้องตัวเอง ใจหนึ่งก็ตกใจจนแทบคลั่ง แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกมีความสุขจนเหลือล้นแต่ฝ่ายที่นิ่งเงียบไปราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างก็คือสามีของเธอ ดวงตาสีแดงเข้มของเขาสั่นไหว ก่อนจะหันรีบถามหมอทันที“แต่เธอเป็นมนุษย์ แล้วแบบนี้เด็กก็เป็น…” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง รู้ดีว่าไม่ต้องพูดให้จบประโยค ทุกคนในห้องก็เข้าใจดีว่าทารกในครรภ์ของอาเรียเป็นอะไรท่านหมอพยักหน้ายืนยันคำตอบ “ใช่ขอรับ เป็นลูกครึ่งแวมไพร์”“มันเกิดขึ้นได้เหรอครับ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นแวมไพร์ด้วยกันเหรอ” น้ำเสียงของเจย์เนสดูร้อนรนมาก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยได้ยินเรื่องที่มนุษย์ตั้งท้องกับแวมไพร์เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วไข่ที่ปฏิสนธินั้นไม่ได้แข็งแรงพอจะหล่อเลี้ยงลูกแวมไพร์ได้“จริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นได้ แต่ปกติแล้วโอกาสน้อยมาก ท่
แดดยามเช้าส่องผ่านม่านสีขาวพร้อมเสียงคลื่นที่ กระทบฝั่งเบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอสัมผัสเย็นไล้ผ่านแผ่นหลังบางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มของเจย์เนสที่ทำให้อาเรียลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย“เธอเจ็บหรือเปล่า”ได้ยินคำถามนั้นหัวใจของอาเรียก็เต้นวูบ ทำไมอยู่ดี ๆ เจย์เนสถึงถามแบบนั้นล่ะ หรือว่า...เขาเปลี่ยนเธอแล้วอย่างนั้นเหรอแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้สำรวจตัวเอง มือหนาของเขาก็ยื่นออกมาสัมผัสผิวบริเวณต้นแขน ข้อมือ และต้นขาบางส่วนของเธอ นั่นทำให้อาเรียเห็นรอยจ้ำสีจางที่ประปรายอยู่บนนั้นดวงตาคู่สวยปรายมองเจย์เนสที่กำลังใช้นิ้วเกลี่ยรอยเหล่านั้นบนผิวของเธออย่างแผ่วเบา ดวงตาสีแดงเข้มของเขาฉายแววเจือความกังวล"เมื่อคืนฉันเผลอแรงไปหรือเปล่า"แบบี้นี่เอง เขาไม่ได้เปลี่ยนเธอเป็นแวมไพร์แต่อย่างใด แต่กำลังหมายถึงร่องรอยที่เขาเผลอทำเอาไว้เมื่อคืนบนตัวเธอต่างหากอาเรียแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ รุ้สึกผิดหวังยังไงก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกแล้วว่ามันจะทำให้เธอทรมานมากหากไม่ใช้พิษที่สกัดบริสุทธิ์ แต่เธอก็ยังอยากเปลี่ยนเลยอยู่ดี เพราะอย่างน้อยก็จะได้ก้าวเข้าสู่โลกของเขา...เธอพร้อมแล้ว เตรียมใจมาตลอด