Share

บทที่ 2

Author: หมึกย้อมแผ่นดิน
ในชั่วขณะนั้น ดวงตาที่คมกริบดุจพยัคฆ์ของลั่วฝานก็ฉายแววเย็นเยียบออกมาอย่างห้ามไม่ได้ น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวนั้นแสดงถึงเจตจำนงอันแน่วแน่

“ดี ดี”

หวังซานโก่วแค่นยิ้ม “เช่นนั้นข้าให้เวลาเจ้าเจ็ดวัน อีกเจ็ดวันข้าจะมาใหม่ ถึงตอนนั้นหากเจ้ายังหาเงินมาไม่ได้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า!”

พูดจบ หวังซานโก่วก็พาลูกน้องสองคนจากไป

จูอีโหรวมองลั่วฝาน ในใจพลันเกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะมีวันที่ท่านพี่ปกป้องตนเอง

หวังซานโก่วก็แต่งภรรยาหลายคนเช่นกัน เพียงแต่หน้าตาธรรมดาๆ การที่ลั่วฝานสามารถแต่งภรรยาที่งดงามดั่งเทพธิดาได้ถึงสามคน ก็ต้องขอบคุณใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานี่แหละ

“อีโหรว ชิงเอ๋อร์ ระยะนี้ ข้าผิดต่อพวกเจ้าจริงๆ”

ลั่วฝานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ภรรยาทั้งสามของตน หากไปอยู่ในยุคปัจจุบัน พวกนางคือเทพธิดาในใจของผู้ชายนับไม่ถ้วน แต่ในโลกนี้ กลับต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส

“ลั่วฝาน! ระยะนี้ท่านเอาแต่ทุบตีด่าทอพวกเรา เดิมทีพวกเราก็กินไม่อิ่มไม่มีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่อยู่แล้ว ยังต้องเจียดเงินที่หามาได้ยากลำบากให้ท่านผลาญเล่น! นี่ก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ท่านกลับวางแผนคิดจะหาผลประโยชน์จากพวกเรา!”

ดวงตาหงส์ของอู่ชิงเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

“จากนี้ไป ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าต้องลำบากอีกแม้แต่น้อย”

ลั่วฝานหยิบหนูนาขึ้นมาอย่างเงียบๆ “ของอย่างหนูนามันจะกินได้อย่างไร พวกเจ้ารออยู่ที่บ้าน ข้าจะเข้าไปในเมืองหาเงินสักหน่อย แล้วจะซื้อของกลับมาให้พวกเจ้า”

พูดจบ ลั่วฝานก็เดินจากไป ทิ้งให้ทั้งสองคนยืนตะลึงอยู่ที่เดิม

ขณะเดินเท้าไปยังเมืองหย่งอัน ลั่วฝานรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา

คนอื่นทะลุมิติไป หากไม่ได้เป็นฮ่องเต้ก็เป็นองค์รัชทายาท อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย

แต่ตนกลับโชคร้าย พอทะลุมิติมาก็มีหนี้ก้อนโตถึงสิบตำลึง!

สองชั่วยามต่อมา เมื่อมองดูอำเภอเมืองหย่งอันที่เจริญรุ่งเรืองและคึกคักตรงหน้า ในใจของลั่วฝานก็พลันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง

ข้าเป็นถึงนักศึกษาหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศในยุคปัจจุบัน ครอบครองมรดกทางปัญญาที่เหล่านักปราชญ์ได้สั่งสมมาตลอดชีวิต มีความรู้กว้างขวางครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง การจะหาเงินสักหน่อยในยุคโบราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกหรือ?

เมื่อคิดดังนี้ ลั่วฝานก็มุ่งหน้าไปยังสำนักราชการ เตรียมเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาให้กับท่านผู้ว่าการอำเภอ

ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้เดินเข้าที่ว่าการอำเภอ ข้าราชการที่เฝ้าประตูก็ตวาดเสียงดังลั่น “ขอทานมาจากไหน ไสหัวไป ไปขอทานที่อื่นไป!”

ลั่วฝานถึงกับหน้ามืด จึงมุ่งหน้าไปยังโรงเงิน ซึ่งเทียบเท่ากับธนาคารของยุคโบราณ คิดจะใช้ความรู้ด้านการเงินของตนมาเป็นผู้บริหารระดับสูงที่นี่

ผลคือยังไม่ทันพูดจบ เถ้าแก่ก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไล่เขาออกไป “คนโง่ที่ไหนกัน ‘ระดมทุน’ ‘ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน’ พูดจาอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไล่ออกไป!”

ลั่วฝานไปมาหลายต่อหลายที่ แต่ก็ล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า

ท้องของเขาร้องโครกคราก ความหิวโหยอย่างรุนแรงทำให้ลั่วฝานอ่อนแรงไปทั้งตัว ขาทั้งสองข้างหนักอึ้งราวกับมีตะกั่วถ่วงไว้ ก้าวเดินแทบไม่ไหว

“ใครบอกว่าทะลุมิติมายุคโบราณแล้วจะร่ำรวยได้? หลอกลวงคนชัดๆ !”

ในขณะนั้น ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า หยดแหมะๆ ลงมาบนร่างกายของลั่วฝาน

น้ำฝนไหลผ่านจมูกเข้าไปในปาก ลั่วฝานใช้พลังงานจนหมดสิ้น เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงทิ้งตัวนั่งลงหน้าร้านแห่งหนึ่ง

ที่นี่คือโรงพิมพ์ ในห้องโถงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชา กลุ่มคุณชายที่แต่งตัวหรูหรากำลังนั่งพูดคุยกันอย่างออกรส

“คุณชายทุกท่านช่างมีความสามารถเป็นเลิศ ข้าขอชื่นชมจากใจจริง”

เถ้าแก่สวีหย่วนลุกขึ้นประสานมือคารวะทุกคน เพื่อที่จะขายหนังสือ เขามักจะคอยแต่งบทกวีประชันโคลงกลอนกับเหล่าบัณฑิตและคุณชายเหล่านี้อยู่เสมอ

“ฝนตกแล้ว”

สวีหย่วนมองออกไปนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ฝนชโลมผืนดิน หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ช่างเป็นน้ำทิพย์ที่สวรรค์ประทานลงมาอย่างแท้จริง ข้าน้อยมีบทกวีบทหนึ่ง ขอมอบให้คุณชายทุกท่าน”

“สายฝนดั่งฝันดุจควัน ล่องลอยเคว้งคว้างกลางอากาศ หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน โลกหล้าสี่ฤดูฝนพรำไม่ขาดสาย”

สวีหย่วนเดินไปมา พลางขับขานบทกวีอย่างช้าๆ

“ดี ดี! เถ้าแก่สวีมีพรสวรรค์ด้านกวีเป็นเลิศ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!”

“สมกับที่เป็นเถ้าแก่สวี เอ่ยปากก็เป็นบทกวี พรสวรรค์ล้ำเลิศจริงๆ !”

ทุกคนต่างพยักหน้าชื่นชม

“ขอเชิญคุณชายทุกท่าน แต่งกวีในหัวข้อสายฝนคนละบทด้วยเถิด”

สวีหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฝนยามค่ำคืนกระทบหน้าต่างจิตใจยากสงบ ความคิดถึงร่วงหล่นไร้เสียงตามสายฝน ตะเกียงโดดเดี่ยวเงียบงันฟังเสียงพิรุณ ความคิดนับพันล่องลอยตามสายลม”

คุณชายท่าทางสูงศักดิ์คนหนึ่งลุกขึ้นยืน โบกพัดกระดาษในมือเบาๆ พลางขับขานบทกวี

“ดี ดี! เพียงไม่กี่ประโยค ก็สร้างบรรยากาศของการอยู่คนเดียวในคืนฝนพรำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม วิเศษเกินคำบรรยายจริงๆ !”

“บทกวีของคุณชายเหวินยังคงโดดเด่นเช่นเคยนะ!”

ทุกคนต่างปรบมือโห่ร้องชื่นชม เสียงดังไปทั่วห้องโถง

“ฮ่าๆ...”

ลั่วฝานที่นั่งอยู่หน้าประตูเห็นดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “แค่บทกวีระดับง่ายเช่นนี้ ยังบอกว่าวิเศษเกินคำบรรยาย ช่างเป็นพวกขี้ประจบจริงๆ ...”

คำพูดนี้หลุดออกมา ลั่วฝานก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที!

“นี่ นี่มันไอ้สารเลวที่โผล่มาจากไหน ถึงกล้ามาพูดจาโอหังที่นี่!”

“พูดจาเหลวไหล บทกวีของคุณชายเหวินยังไม่วิเศษพออีกหรือ?”

“ไล่ออกไป ไล่ออกไป! ไม่สิ ตีมันสักยก ตีมันให้ตาย!”

ทุกคนต่างโกรธแค้นขึ้นมาทันที

เสี่ยวเอ้อร์ในร้านสองสามคนกำหมัด เดินตรงเข้ามาหาลั่วฝาน

ลั่วฝานเห็นดังนั้นก็ใจหายวาบ แย่แล้ว นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน การปากพล่อยต้องจ่ายค่าตอบแทนแสนสาหัส!

เสี่ยวเอ้อร์ในร้านสองสามคนหิ้วลั่วฝานโยนไปกลางห้องโถง ในชั่วพริบตา สายตาเย็นชานับไม่ถ้วนก็พุ่งมาที่เขาราวกับมีดบิน

คำพูดเมื่อครู่ของลั่วฝาน เรียกได้ว่าเป็นการล่วงเกินทุกคนในที่นั้น

“เจ้าหนู เมื่อครู่เจ้าพูดจาพล่อยๆ ทางที่ดีจงให้คำอธิบายกับพวกเรา! มิฉะนั้น วันนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะเดินออกจากที่นี่ไปได้!”

“เจ้าหมอนี่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เกรงว่าแม้แต่ข้าวก็ยังไม่มีกิน กล้าดีอย่างไรมาดูถูกบทกวีของคุณชายเหวิน!”

ทุกคนต่างตะโกนด่าทอด้วยความโกรธ!

ส่วนคุณชายเหวินที่ทุกคนปกป้องถึงเพียงนี้ กลับขมวดคิ้วแน่น ราวกับกำลังสงสัยในตัวเอง

“บทกวีของข้ามีระดับแค่บทกวีระดับง่ายจริงๆ หรือ?”

คุณชายเหวินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ลั่วฝานไม่กล้าล่วงเกินคุณชายเหวิน แต่ก็ไม่อยากพูดโกหกขัดต่อมโนธรรม “ก็ยังดีกว่าบทกวีง่ายๆ นิดหน่อยขอรับ”

“เจ้าเด็กนี่มันไม่เห็นหัวใครจริงๆ คุณชายเหวินท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเขาแทนท่านเอง!”

คุณชายคนหนึ่งพูดจบ ก็ถกแขนเสื้อแล้วพุ่งเข้าใส่ลั่วฝานทันที!

“ข้าน้อยมีบทกวีบทหนึ่ง ขอมอบให้ทุกท่าน”

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ลั่วฝานทำได้เพียงแสดงฝีมือออกมา

“เจ้าเนี่ยนะ? ดูสภาพมอมแมมของเจ้าสิ ไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้วล่ะ? ข้าวยังไม่มีจะกิน ยังจะมาแต่งกวีอีก!”

“ก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าสามารถแต่งบทกวีดีๆ ออกมาได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าแต่งออกมาไม่ได้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

ท่ามกลางสายตาดูถูกเหยียดหยามของทุกคน ลั่วฝานเดินไปมา สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็กล่าวว่า “ฝนดีย่อมรู้ฤดูกาล เมื่อยามวสันต์จึงโปรยปราย พัดพาตามสายลมยามราตรี หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน”

นี่คือบทกวี ‘ฝนชื่นในคืนวสันตฤดู’ ของปราชญ์แห่งกวีตู้ฝู่

ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบสงัด ไร้สุ้มเสียงใดๆ

จากนั้น

ก็เหมือนกับกระทะที่ระเบิดออก เกิดเสียงฮือฮาดังลั่นทันที!

“ฝนดีย่อมรู้ฤดูกาล เมื่อยามวสันต์จึงโปรยปราย... เรียกได้ว่าทุกตัวอักษรล้ำค่าดุจไข่มุก ทุกประโยคล้วนทรงคุณค่า!”

“พัดพาตามสายลมยามราตรี หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน... ประโยคนี้ยิ่งยอดเยี่ยมหาที่เปรียบมิได้ ถ้อยคำธรรมดาแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา ใช้คำพูดที่เรียบง่ายที่สุดสร้างจินตภาพที่ลึกซึ้งที่สุดออกมา! นี่เป็นผลงานชิ้นเอกที่เพียงพอที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จริงๆ!”

“แต่ก็แปลกจริงๆ พวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ชื่นชอบในบทกวี เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินบทกวีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน?”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 30

    ระยะเวลาในการแช่ไม้ไผ่ โดยทั่วไปยิ่งนานยิ่งดี กระดาษก็จะยิ่งอ่อนนุ่มแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เพื่อดึงดูดลูกค้า ลั่วฝานก็ยังยืนกรานที่จะแช่ไว้ครึ่งเดือน ถึงจะเริ่มขั้นตอนที่สองนั่นคือการนึ่ง“จางเหลียว หม่าเหลียง พยายามกำจัดสิ่งเจือปนออกไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่นิดเดียว” ลั่วฝานขมวดคิ้ว สั่งการหม่าเหลียงและจางเหลียวค่อนข้างมีความสามารถ อีกทั้งยังฉลาดมาก ส่วนจางหู่กลับดูซื่อ ๆ ไปบ้าง แต่ก็สามารถข่มขวัญคนที่คิดไม่ซื่อได้“เถ้าแก่ กระดาษของเรานี้เรียกว่าอะไรหรือขอรับ”หม่าเหลียงมองเยื่อไผ่ที่นึ่งไปแล้วสามครั้ง เอ่ยถามขึ้น“คิดไว้แล้ว เรียกว่ากระดาษเหวินหย่าเซวียน!”“จิ๊ ๆ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ”หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดการผลิตชุดใหม่ก็เสร็จสิ้น ผลิตได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าแผ่น หักที่ต้องให้โรงกระดาษหยางจี้ห้าพันแผ่น ยังเหลืออีกห้าพันแผ่น ลั่วฝานตั้งใจจะเก็บไว้หาคู่ค้าเพิ่มอีกสักสองสามรายขนกระดาษหนึ่งหมื่นแผ่นขึ้นรถม้า ลั่วฝานพาหม่าเหลียงและจางหู่มุ่งหน้าไปยังเมืองลวี่วั่งออกจากบ้านแต่เช้า พอใกล้ถึงตอนเที่ยงก็มาถึงเมืองลวี่วั่ง ลั่วฝานอาศัยความทรงจำตามหาโรงก

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 29

    อีกทั้งลั่วฝานยังรู้ดีว่าหลี่หน้าบากไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้ได้ เป็นไปได้เพียงว่ามีคนว่าจ้างให้หลี่หน้าบากมาฆ่าคน“ให้ตายเถอะ เงินแท้ตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึง หลี่หน้าบากไปร่ำรวยมาจากไหนตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จางหู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความประหลาดใจเมื่อหวนนึกถึงเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชที่จงใจถ่วงเวลาเมื่อครู่ ลั่วฝานก็แสยะยิ้มเย็นชา “ดูท่าว่า พวกเขาคงวางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว คิดจะดักปล้นฆ่าพวกเรากลางทาง”“เถ้าแก่ ท่านหมายความว่าเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชคนนั้นมีปัญหาหรือขอรับ?” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“จางเหลียว เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจ้ารู้จักกับเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช?” สีหน้าของจางหู่เปลี่ยนไปทันที ตวาดเสียงกร้าว“จางหู่” ลั่วฝานพูดขัดจางหู่ขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่จางเหลียว เมื่อครู่ในมือของจางเหลียวถือมีดตัดฟืน ทั้งยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา หากเขามีความคิดไม่ดี ข้าคงตายไปนานแล้ว”จางเหลียวประสานหมัดกล่าว “ขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ”จางหู่ตะโกนอย่างเดือดดาล “หากข้ารู้นะว่าไอ้สารเลวหน้าไหนมันคิดร้ายต่อพี่ชายของข้า ข้าจางหู่จะชกมันให้ตายไปเลย”“กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อย ๆ คิ

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 28

    จากนั้นก็ทะยานพรวดขึ้น โถมเข้าใส่ม้าตัวนั้น ฉากต่อมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้างเห็นจางหู่กอดรวบหัวม้าไว้ คำรามลั่นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง!ม้าชั้นดีที่หนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชั่ง ถูกจางหู่เหวี่ยงกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตรหัวหน้าโจรป่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถูกม้าทับอยู่ใต้ท้องในทันที กระอักเลือดออกมาคำโต ไม่นานก็สิ้นใจตายโจรป่าที่เหลืออีกสองสามคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงอย่างหนัก แววตาฉายแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัดจางหู่ในยามนี้ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต่างอะไรไปจากอสูรสงครามตนหนึ่งเลย“จางหู่ ลั่วฝาน พวกเจ้าจงไปตายเสีย!” โจรป่าสองสามคนคำรามลั่น ควบม้าเงื้อดาบพุ่งเข้าใส่จางหู่ลั่วฝานเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นคนเหล่านี้รู้ชื่อของข้าได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักกัน?ลั่วฝานมัวแต่คิดไม่ตก พลันเห็นจางหู่คำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่คนทั้งห้าเห็นเพียงจางหู่พลิกตัวหลบคมดาบยาวที่ฟันเข้ามาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชกหมัดตรงเข้าที่ท้องของม้าอย่างจังม้าร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบ โซซัดโซเซล้มลงกับพื้นจางหู่ฉวยโอกาสนั้นจับโจรที่อยู่บนหลังม้า ทุ่มลงกับพื้นจนมึนงงไป

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 27

    เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชยิ้มประจบประแจง “นั่นน่ะสิขอรับ ใครบ้างจะไม่รู้ว่ากระดาษของเฉิงซินถังตระกูลหวังนั้นดีที่สุดในเมืองหย่งอัน ไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกนั่นมันจะไปนับเป็นอะไรได้ ถึงกล้ามาแย่งธุรกิจกับตระกูลหวัง”“ฮ่า ๆ พูดได้ดี”ชายร่างผอมบางมองไปยังเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช “เจ้าวางใจได้ ต่อไปธัญพืชของตระกูลหวังข้า จะให้เจ้าเป็นคนจัดหาให้”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นยินดีในทันที “ขอบคุณเถ้าแก่หวังมากขอรับ”ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม พอออกมาจากตำบลได้ราวสองลี้ ลั่วฝานก็พลันสังเกตเห็นว่ามีคนติดตามอยู่รอบ ๆลั่วฝานสงสัยอย่างมากว่า เมื่อครู่เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชจงใจถ่วงเวลา ทำให้ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันได้“เถ้าแก่ ไม่น่าไว้วางใจเลยขอรับ” จางเหลียวขมวดคิ้ว กวาดตามองไปรอบทิศ“มีอันใดหรือ? มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“ด้านหน้าคล้ายกับมีคนอยู่ขอรับ อาจจะเป็นพวกโจรป่าดักปล้น” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของจางเหลียว ลั่วฝานก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้า พลันเห็นคบเพลิงสี่ห้าอันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนช่วงเวลาเช

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 26

    ธัญพืชสิบสือ ก็คือหนึ่งพันชั่งในยุคโบราณ นี่ถือเป็นการค้าที่ใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ร้านขายธัญพืชเองก็ใช่ว่าจะหาธัญพืชจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ง่าย ๆ“เถ้าแก่ รอไม่ได้ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายเพราะภัยสงคราม ยามค่ำคืนเกรงว่าจะมีพวกโจรออกอาละวาด” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเตือนสติลั่วฝานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เถ้าแก่ ตอนนี้ท่านมีธัญพืชอยู่เท่าใด?”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชกล่าวว่า “มีธัญพืชไม่ถึงสามสือขอรับ หากพวกท่านต้องการ ข้าก็สามารถขายให้พวกท่านได้ทั้งหมด”ธัญพืชสามสือก็ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีคนกินข้าวอยู่สิบกว่าชีวิต ในแต่ละวันต้องบริโภคข้าวสารสิบกว่าชั่ง สามสือก็พอจะประทังไปได้หนึ่งเดือนทว่า ในขณะที่ลั่วฝานกำลังคิดจะจ่ายเงินแล้วกลับเข้าเมืองนั้นเอง เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชก็พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีธัญพืชมาส่งอีกชุดหนึ่งแล้วขอรับ ท่านรออีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็พอ น่าจะมีสักประมาณห้าสือ”หนึ่งชั่วยามหรือ? ลั่วฝานหันไปมองจางเหลียว แล้วกล่าวว่า “จะสามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันก่อนฟ้ามืดได้หรือไม่?”จางเหลียวเงยหน้ามองดูสีของท้องฟ้า พยักหน้าแล้วตอบว่า “ก็น่าจะทันอยู่ขอรับ”เม

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 25

    “ออกไปนอกเมืองหรือขอรับ?” สีหน้าของจางเหลียวตกตะลึง“มีอันใดหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“เถ้าแก่ ท่านอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้ด้านนอกเมืองหย่งอันวุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ ได้ยินมาว่าด่านชายแดนถูกตีแตกแล้ว ช่วงนี้จึงมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่ที่นอกเมือง” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“ผู้อพยพ?” ลั่วฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ฉายแววระมัดระวังขึ้นมา“พวกเราจำเป็นต้องออกไปนอกเมืองจริง ๆ หรือขอรับ?” จางเหลียวเอ่ยถามลั่วฝานพยักหน้า “เจ้าก็รู้ว่าราคาข้าวสารอาหารแห้งในเมืองมันแพงเพียงใด คนสิบกว่าชีวิตต้องกินต้องใช้ ธัญพืชถือเป็นรายจ่ายก้อนโตทีเดียว”หากคิดจะประหยัดต้นทุน ก็ทำได้เพียงออกไปรับซื้อธัญพืชตามหมู่บ้านนอกเมืองเท่านั้น แต่ตอนนี้ด้านนอกเมืองมีผู้อพยพอยู่ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดลั่วฝานก็ยังคงตัดสินใจที่จะออกไปนอกเมืองความมั่งคั่งย่อมต้องเสาะหามาจากในภยันตราย หากปราศจากความกล้า ก็อย่าได้คิดทำการใหญ่“พวกเราฟังเถ้าแก่ขอรับ” จางเหลียวกล่าวลั่วฝานพยักหน้า เตรียมตัวจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังเดินกลับไปบอกจูอีโหรวว่า “ตอนกลางวันข้า

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status