Share

บทที่ 3

Author: หมึกย้อมแผ่นดิน
ทุกคนกำลังดื่มด่ำกับบทกวีนี้อย่างลึกซึ้ง

“ฝนดีย่อมรู้ฤดูกาล เมื่อยามวสันต์จึงโปรยปราย...”

คิ้วที่ขมวดแน่นของสวีหย่วนคลายออก “สหาย บทกวีนี้ท่านเป็นคนแต่งหรือ?”

ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภูมิศาสตร์ หรืออารยธรรมของราชวงศ์ต้าเซิ่ง ล้วนไม่ต่างจากประเทศหัวเซี่ย แต่ประวัติศาสตร์หลังจากยุคชุนชิวเป็นต้นมา กลับแตกต่างจากประวัติศาสตร์จริงของประเทศหัวเซี่ยอย่างสิ้นเชิง นักกวีอย่างหลี่ไป๋หรือตู้ฝู่ก็ย่อมไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

ลั่วฝานพยักหน้า

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! บทกวีนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก มีเพียงอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศเท่านั้นจึงจะแต่งออกมาได้ คนธรรมดาทั่วไป ไม่มีทางแต่งบทกวีเช่นนี้ออกมาได้เด็ดขาด!”

“ต้องเป็นเจ้าหมอนี่ไปอ่านเจอมาจากตำราโบราณที่ไหนสักแห่งแน่ๆ! เจ้าหนู พูดความจริงมา ไปเห็นมันมาจากที่ใดกันแน่!”

ในไม่ช้า ก็มีคนสองสามคนเริ่มตั้งข้อสงสัย

“สหาย ในเมื่อท่านมีพรสวรรค์ด้านกวีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าขอทดสอบท่านอีกสักสองสามบท นี่จึงจะเป็นการพิสูจน์ที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่?”

สวีหย่วนกล่าว

“ใช่”

มุมปากของลั่วฝานอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ในชาติที่แล้วเขาชื่นชอบประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ในหัวของเขาจำโคลงกลอนราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่งได้นับไม่ถ้วน

“โครก...”

ท้องของเขาร้องโครกครากออกมาอีกครั้ง ลั่วฝานพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “เถ้าแก่ ข้าหิวมาก ขออะไรกินสักหน่อยได้หรือไม่?”

สวีหย่วนสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำชาหนึ่งกาและขนมหนึ่งจานมาหืทันที ลั่วฝานกินอย่างรวดเร็วและหมดเกลี้ยงราวกับผีตายอดตายอยาก

“สบาย...”

ลั่วฝานเรอออกมาเสียงดังอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางเช่นนั้นทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เมื่อครู่เขาเพิ่งแต่งผลงานชิ้นเอกที่สามารถสืบทอดไปชั่วลูกชั่วหลานออกมา

สวีหย่วนข่มความสงสัยในใจลง กล่าวว่า “แม่น้ำเซิ่งหล่อเลี้ยงประชาชนนับสิบล้าน เป็นดั่งแม่น้ำมารดาแห่งประเทศหัวเซี่ยของเรา แม่น้ำเซิ่งยังไหลผ่านมณฑลเจียงหนานของเราด้วย ทำให้บัณฑิตเจียงหนานนับไม่ถ้วนต่างขับขานบทกวีสรรเสริญแม่น้ำเซิ่ง สหาย จงแต่งกวีในหัวข้อแม่น้ำเซิ่งหนึ่งบท”

“แม่น้ำเซิ่ง”

ลั่วฝานจิบชา ลุกขึ้นเดินไปมา พลางค้นหาบทกวีเกี่ยวกับแม่น้ำเซิ่งในหัว

“แม่น้ำเซิ่งไหลทะลักสู่บูรพา คลื่นซัดสาดวีรชนจนหมดสิ้น ถูกผิดสำเร็จล้มเหลวเพียงพริบตาก็ว่างเปล่า ขุนเขายังคงตระหง่านเช่นเดิม อาทิตย์อัสดงสาดส่องมาแล้วกี่ครา”

ผลงานของหยางเซิ่นอัจฉริยะในสมัยราชวงศ์หมิง

บทกวีนี้ราวกับก้อนหินขนาดยักษ์ที่ตกลงในสมองของทุกคน ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์มหาศาลในทันที!

“แม่น้ำเซิ่งไหลทะลักสู่บูรพา คลื่นซัดสาดวีรชนจนหมดสิ้น... เพียงคำสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่กลับมีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลดุจจักรวาล วีรบุรุษนับไม่ถ้วนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สุดท้ายก็ล้วนกลายเป็นเถ้าธุลี”

“ถ้อยคำช่างน่าทึ่ง ท่วงทำนองไพเราะ ความหมายช่างลึกซึ้ง... ใช้คำน้อยแต่ความหมายครอบคลุม ถ้อยคำเล็กน้อยแต่มีนัยยะยิ่งใหญ่ เพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็แฝงไว้ด้วยสัจธรรมที่ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วนจึงจะเข้าใจได้ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”

“ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากบทกวีนี้แพร่ออกไป จะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนเพียงใด จะโด่งดังไปทั่วทุกสารทิศขนาดไหน!”

ความดูถูกและสงสัยในสายตาของทุกคนหายไปในทันที ถูกแทนที่ด้วยความทึ่งและตกตะลึง

“ในเมื่อแต่งถึงแม่น้ำเซิ่งแล้ว ก็จะขาดแม่น้ำฮวงโหไปไม่ได้”

“ราชวงศ์นี้ก็มีแม่น้ำฮวงโหด้วยหรือ?”

ลั่วฝานตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงกล่าวออกมา “ตะวันลับทิวเขาจนสิ้นแสง น้ำฮวงโหไหลรินสู่ทะเล หากปรารถนามองไกลพันลี้ ต้องขึ้นหอสูงอีกชั้นหนึ่ง”

ทุกคนในที่นี้ต่างฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง!

“นี่ นี่สะ... สหายผู้นี้เป็นเทพเซียนมาจากที่ใดกันแน่? ราชวงศ์ต้าเซิ่งของเราก็มีนักกวีอยู่ไม่น้อย แต่เท่าที่ข้ารู้ การจะแต่งกวีออกมาสักบทไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เพียงแต่ต้องมีแรงบันดาลใจที่เพียงพอ เมื่อแต่งออกมาแล้วยังต้องขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก”

“สหายผู้นี้ไม่เพียงแต่พูดออกมาก็เป็นบทกวี แต่บทกวีของเขายังเรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน! ข้าไม่อยากจะจินตนาการเลยว่า ในหัวของเขายังซ่อนบทกวีอันยอดเยี่ยมไว้อีกมากเพียงใด!”

ทุกคนในที่นี้ต่างมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ!

“สหายท่านนี้ต่างหากคืออัจฉริยะที่แท้จริง!”

คุณชายเหวินลุกขึ้นยืนคารวะลั่วฝานอย่างนอบน้อม “ข้าคิดว่าตนเองพอจะเข้าใจพวกบทกวีอยู่บ้าง วันนี้เมื่อได้เห็นบทกวีของสหายแล้ว ข้ารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง สหายวิจารณ์ได้ถูกต้อง ข้ายังต้องไปอ่านหนังสือเพิ่มอีกหลายปี สหาย ขอบคุณเจ้าที่นำบทกวีทั้งสามบทนี้มาให้ได้ประจักษ์ในวันนี้ ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อย โปรดรับไว้ด้วย”

คุณชายเหวินยื่นถุงเงินให้ พูดจบก็เดินจากไปอย่างละอายใจเล็กน้อย

คุณชายอีกสองสามคนก็เดินจากไปอย่างหดหู่ พวกเขาเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ตั้งแต่เล็กที่บ้านก็จ้างอาจารย์มากมายมาสอนพวกเขาอ่านเขียนหนังสือ แต่ระดับความสามารถด้านบทกวีกลับยังสู้ลั่วฝานที่แม้แต่ข้าวยังไม่มีจะกินไม่ได้เลย

“สหาย เชิญนั่ง”

สวีหย่วนเกิดความรู้สึกรักใคร่ในผู้มีความสามารถ เขานำชาหลงจิ่งชั้นเลิศออกมา ขณะที่กำลังจะรินชา คนสนิทคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับฟ้าถล่ม “เถ้าแก่ เกิดเรื่องแล้ว!”

“เรื่องอะไร?”

หัวใจของสวีหย่วนหนักอึ้ง

“โกดังสินค้าไฟไหม้ กระดาษป่านข้างในถูกเผาหมดแล้ว!”

คนสนิทรีบกล่าว

“อะไรนะ?!”

สวีหย่วนเบิกตากว้างในทันที ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก พลิกตัวขึ้นม้า

“สหาย ข้าเจอปัญหาเล็กน้อย ท่านรอข้าอยู่ที่โรงพิมพ์ก่อนนะ”

สวีหย่วนกล่าว

“เถ้าแก่ พาข้าไปดูด้วยเถิด”

สวีหย่วนไม่ได้คิดอะไรมาก ดึงลั่วฝานขึ้นม้า

“ไป...”

ม้าพาทั้งสองคนวิ่งไปประมาณสิบลี้ ก็มาหยุดที่บริเวณชายขอบของเมือง

ที่นี่มีโกดังสินค้าสร้างเรียงรายอยู่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นกำลังถูกไฟเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพัง แม้ว่าไฟจะดับลงแล้ว แต่ภายในโกดังก็เละเทะไปหมด เต็มไปด้วยขี้เถ้าหลังจากที่กระดาษถูกเผา

“เถ้าแก่...”

ลูกน้องที่ดับไฟในโกดังเสร็จแล้วคุกเข่าลงเสียงดังตุบ “เมื่อครู่ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเกิดไฟไหม้ขึ้นกะทันหัน แม้ว่าฝนจะตก ไฟก็ยังคงลุกโหมอย่างรุนแรง... กระดาษในโกดัง ถูกเผาไปหมดแล้ว!”

ลั่วฝานเดินเข้าไปดมกลิ่น ก็ได้กลิ่นน้ำมัน “เถ้าแก่ มีคนราดน้ำมันในโกดัง ไฟได้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง แม้ฝนตกก็ยังลุกไหม้ได้ เกรงว่าจะมีคนคิดจะเล่นงานท่าน”

สวีหย่วนหลับตาลง ราวกับรู้ตัวคนร้ายแล้ว เขามองไปที่โกดังที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่าน อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลง ตาขุ่นมัวไหลรินจากดวงตา “การทำกระดาษนั้นแพงแสนแพง กระดาษป่านเหล่านี้ใช้ต้นทุนข้าไปกว่าร้อยตำลึง!”

สวีหย่วนไม่ได้พูดเกินจริง กำลังการผลิตในยุคโบราณนั้นต่ำมาก กระดาษที่ไม่มีราคาในยุคปัจจุบันกลับมีราคาแพงอย่างยิ่งในยุคโบราณ มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อหามาใช้ได้

เพียงแต่สวีหย่วนไม่คิดว่า คู่แข่งจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!

“เถ้าแก่ แจ้งทางการเถอะ!”

ลั่วฝานอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น แม้จะไม่ได้คลุกคลีกับสวีหย่วนมากนัก แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี

“เจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นพึ่งพาไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้เถ้าแก่หลิวสั่งซื้อกระดาษป่านจากข้าสามพันแผ่น จ่ายเงินมัดจำแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดส่งของ แต่กระดาษป่านถูกทำลายจนหมดสิ้น ทำให้ข้าแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ข้าส่งของให้เขาไม่ได้ แถมยังต้องจ่ายค่าเสียหายจากการผิดสัญญาอีกก้อนโต! สวรรค์คิดจะทำลายข้า ธุรกิจของตระกูลสวีของข้าต้องพังพินาศในคราวเดียว!”

เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเร็วเกินไป สวีหย่วนทำอะไรไม่ถูก

ลั่วฝานหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ยังเผาไหม้ไม่หมดขึ้นมาจากพื้น มันหยาบมาก เป็นกระดาษที่แข็งแรงทนทานทำจากเส้นใยป่านและเศษผ้า

“ในตอนนั้นไช่หลุนได้ปรับปรุงกระดาษป่าน ก่อนราชวงศ์ถัง กระดาษป่านเป็นกระดาษหลักที่ผู้คนใช้ในการเขียน และหลังจากราชวงศ์ถัง กระดาษเซวียนและกระดาษอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กระดาษป่านจึงค่อยๆ หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์”

ลั่วฝานผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์คิดเช่นนี้ จึงเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่ โรงพิมพ์ของท่านทำกระดาษเยื่อไผ่หรือไม่?”

“กระดาษเยื่อไผ่คืออันใด?”

สวีหย่วนไม่เข้าใจ

ลั่วฝานยืนตกตะลึงอยู่กับที่ ในยุคต้าเซิ่งนี้ ยังไม่มีใครคิดค้นกระดาษเยื่อไผ่ขึ้นมาหรือ?

“เถ้าแก่ ข้ามีวิธีที่จะคลี่คลายวิกฤตของท่านในตอนนี้ได้!”

ลั่วฝานกล่าวอย่างตื่นเต้น
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 30

    ระยะเวลาในการแช่ไม้ไผ่ โดยทั่วไปยิ่งนานยิ่งดี กระดาษก็จะยิ่งอ่อนนุ่มแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เพื่อดึงดูดลูกค้า ลั่วฝานก็ยังยืนกรานที่จะแช่ไว้ครึ่งเดือน ถึงจะเริ่มขั้นตอนที่สองนั่นคือการนึ่ง“จางเหลียว หม่าเหลียง พยายามกำจัดสิ่งเจือปนออกไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่นิดเดียว” ลั่วฝานขมวดคิ้ว สั่งการหม่าเหลียงและจางเหลียวค่อนข้างมีความสามารถ อีกทั้งยังฉลาดมาก ส่วนจางหู่กลับดูซื่อ ๆ ไปบ้าง แต่ก็สามารถข่มขวัญคนที่คิดไม่ซื่อได้“เถ้าแก่ กระดาษของเรานี้เรียกว่าอะไรหรือขอรับ”หม่าเหลียงมองเยื่อไผ่ที่นึ่งไปแล้วสามครั้ง เอ่ยถามขึ้น“คิดไว้แล้ว เรียกว่ากระดาษเหวินหย่าเซวียน!”“จิ๊ ๆ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ”หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดการผลิตชุดใหม่ก็เสร็จสิ้น ผลิตได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าแผ่น หักที่ต้องให้โรงกระดาษหยางจี้ห้าพันแผ่น ยังเหลืออีกห้าพันแผ่น ลั่วฝานตั้งใจจะเก็บไว้หาคู่ค้าเพิ่มอีกสักสองสามรายขนกระดาษหนึ่งหมื่นแผ่นขึ้นรถม้า ลั่วฝานพาหม่าเหลียงและจางหู่มุ่งหน้าไปยังเมืองลวี่วั่งออกจากบ้านแต่เช้า พอใกล้ถึงตอนเที่ยงก็มาถึงเมืองลวี่วั่ง ลั่วฝานอาศัยความทรงจำตามหาโรงก

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 29

    อีกทั้งลั่วฝานยังรู้ดีว่าหลี่หน้าบากไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้ได้ เป็นไปได้เพียงว่ามีคนว่าจ้างให้หลี่หน้าบากมาฆ่าคน“ให้ตายเถอะ เงินแท้ตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึง หลี่หน้าบากไปร่ำรวยมาจากไหนตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จางหู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความประหลาดใจเมื่อหวนนึกถึงเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชที่จงใจถ่วงเวลาเมื่อครู่ ลั่วฝานก็แสยะยิ้มเย็นชา “ดูท่าว่า พวกเขาคงวางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว คิดจะดักปล้นฆ่าพวกเรากลางทาง”“เถ้าแก่ ท่านหมายความว่าเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชคนนั้นมีปัญหาหรือขอรับ?” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“จางเหลียว เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจ้ารู้จักกับเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช?” สีหน้าของจางหู่เปลี่ยนไปทันที ตวาดเสียงกร้าว“จางหู่” ลั่วฝานพูดขัดจางหู่ขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่จางเหลียว เมื่อครู่ในมือของจางเหลียวถือมีดตัดฟืน ทั้งยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา หากเขามีความคิดไม่ดี ข้าคงตายไปนานแล้ว”จางเหลียวประสานหมัดกล่าว “ขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ”จางหู่ตะโกนอย่างเดือดดาล “หากข้ารู้นะว่าไอ้สารเลวหน้าไหนมันคิดร้ายต่อพี่ชายของข้า ข้าจางหู่จะชกมันให้ตายไปเลย”“กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อย ๆ คิ

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 28

    จากนั้นก็ทะยานพรวดขึ้น โถมเข้าใส่ม้าตัวนั้น ฉากต่อมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้างเห็นจางหู่กอดรวบหัวม้าไว้ คำรามลั่นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง!ม้าชั้นดีที่หนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชั่ง ถูกจางหู่เหวี่ยงกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตรหัวหน้าโจรป่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถูกม้าทับอยู่ใต้ท้องในทันที กระอักเลือดออกมาคำโต ไม่นานก็สิ้นใจตายโจรป่าที่เหลืออีกสองสามคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงอย่างหนัก แววตาฉายแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัดจางหู่ในยามนี้ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต่างอะไรไปจากอสูรสงครามตนหนึ่งเลย“จางหู่ ลั่วฝาน พวกเจ้าจงไปตายเสีย!” โจรป่าสองสามคนคำรามลั่น ควบม้าเงื้อดาบพุ่งเข้าใส่จางหู่ลั่วฝานเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นคนเหล่านี้รู้ชื่อของข้าได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักกัน?ลั่วฝานมัวแต่คิดไม่ตก พลันเห็นจางหู่คำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่คนทั้งห้าเห็นเพียงจางหู่พลิกตัวหลบคมดาบยาวที่ฟันเข้ามาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชกหมัดตรงเข้าที่ท้องของม้าอย่างจังม้าร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบ โซซัดโซเซล้มลงกับพื้นจางหู่ฉวยโอกาสนั้นจับโจรที่อยู่บนหลังม้า ทุ่มลงกับพื้นจนมึนงงไป

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 27

    เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชยิ้มประจบประแจง “นั่นน่ะสิขอรับ ใครบ้างจะไม่รู้ว่ากระดาษของเฉิงซินถังตระกูลหวังนั้นดีที่สุดในเมืองหย่งอัน ไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกนั่นมันจะไปนับเป็นอะไรได้ ถึงกล้ามาแย่งธุรกิจกับตระกูลหวัง”“ฮ่า ๆ พูดได้ดี”ชายร่างผอมบางมองไปยังเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช “เจ้าวางใจได้ ต่อไปธัญพืชของตระกูลหวังข้า จะให้เจ้าเป็นคนจัดหาให้”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นยินดีในทันที “ขอบคุณเถ้าแก่หวังมากขอรับ”ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม พอออกมาจากตำบลได้ราวสองลี้ ลั่วฝานก็พลันสังเกตเห็นว่ามีคนติดตามอยู่รอบ ๆลั่วฝานสงสัยอย่างมากว่า เมื่อครู่เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชจงใจถ่วงเวลา ทำให้ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันได้“เถ้าแก่ ไม่น่าไว้วางใจเลยขอรับ” จางเหลียวขมวดคิ้ว กวาดตามองไปรอบทิศ“มีอันใดหรือ? มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“ด้านหน้าคล้ายกับมีคนอยู่ขอรับ อาจจะเป็นพวกโจรป่าดักปล้น” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของจางเหลียว ลั่วฝานก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้า พลันเห็นคบเพลิงสี่ห้าอันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนช่วงเวลาเช

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 26

    ธัญพืชสิบสือ ก็คือหนึ่งพันชั่งในยุคโบราณ นี่ถือเป็นการค้าที่ใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ร้านขายธัญพืชเองก็ใช่ว่าจะหาธัญพืชจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ง่าย ๆ“เถ้าแก่ รอไม่ได้ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายเพราะภัยสงคราม ยามค่ำคืนเกรงว่าจะมีพวกโจรออกอาละวาด” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเตือนสติลั่วฝานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เถ้าแก่ ตอนนี้ท่านมีธัญพืชอยู่เท่าใด?”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชกล่าวว่า “มีธัญพืชไม่ถึงสามสือขอรับ หากพวกท่านต้องการ ข้าก็สามารถขายให้พวกท่านได้ทั้งหมด”ธัญพืชสามสือก็ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีคนกินข้าวอยู่สิบกว่าชีวิต ในแต่ละวันต้องบริโภคข้าวสารสิบกว่าชั่ง สามสือก็พอจะประทังไปได้หนึ่งเดือนทว่า ในขณะที่ลั่วฝานกำลังคิดจะจ่ายเงินแล้วกลับเข้าเมืองนั้นเอง เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชก็พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีธัญพืชมาส่งอีกชุดหนึ่งแล้วขอรับ ท่านรออีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็พอ น่าจะมีสักประมาณห้าสือ”หนึ่งชั่วยามหรือ? ลั่วฝานหันไปมองจางเหลียว แล้วกล่าวว่า “จะสามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันก่อนฟ้ามืดได้หรือไม่?”จางเหลียวเงยหน้ามองดูสีของท้องฟ้า พยักหน้าแล้วตอบว่า “ก็น่าจะทันอยู่ขอรับ”เม

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 25

    “ออกไปนอกเมืองหรือขอรับ?” สีหน้าของจางเหลียวตกตะลึง“มีอันใดหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“เถ้าแก่ ท่านอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้ด้านนอกเมืองหย่งอันวุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ ได้ยินมาว่าด่านชายแดนถูกตีแตกแล้ว ช่วงนี้จึงมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่ที่นอกเมือง” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“ผู้อพยพ?” ลั่วฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ฉายแววระมัดระวังขึ้นมา“พวกเราจำเป็นต้องออกไปนอกเมืองจริง ๆ หรือขอรับ?” จางเหลียวเอ่ยถามลั่วฝานพยักหน้า “เจ้าก็รู้ว่าราคาข้าวสารอาหารแห้งในเมืองมันแพงเพียงใด คนสิบกว่าชีวิตต้องกินต้องใช้ ธัญพืชถือเป็นรายจ่ายก้อนโตทีเดียว”หากคิดจะประหยัดต้นทุน ก็ทำได้เพียงออกไปรับซื้อธัญพืชตามหมู่บ้านนอกเมืองเท่านั้น แต่ตอนนี้ด้านนอกเมืองมีผู้อพยพอยู่ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดลั่วฝานก็ยังคงตัดสินใจที่จะออกไปนอกเมืองความมั่งคั่งย่อมต้องเสาะหามาจากในภยันตราย หากปราศจากความกล้า ก็อย่าได้คิดทำการใหญ่“พวกเราฟังเถ้าแก่ขอรับ” จางเหลียวกล่าวลั่วฝานพยักหน้า เตรียมตัวจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังเดินกลับไปบอกจูอีโหรวว่า “ตอนกลางวันข้า

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status