Share

บทที่ 5

Author: หมึกย้อมแผ่นดิน
สวีหย่วนถอนหายใจยาว ส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “โรงพิมพ์ของข้า ก็แค่พอประคองตัวไปได้ เดือนหนึ่งหาเงินได้ไม่ถึงห้าตำลึง”

ห้าตำลึงสำหรับชาวบ้านทั่วไป ถือเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่สำหรับคนที่ผ่านโลกมามากอย่างสวีหย่วน โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการปิดกิจการ

โรงพิมพ์ตระกูลสวีก็แค่ประคองตัวไม่ให้ล้มเท่านั้น

“ไม่จริงน่า? ข้าเห็นคนมาอ่านหนังสือที่โรงพิมพ์ทุกวันก็ไม่น้อยเลยนี่? เหตุใดถึงหาเงินไม่ได้?” ลั่วฝานกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

โรงพิมพ์ตระกูลสวีมีคนมาอ่านหนังสือทุกวันหลายร้อยคน แทบไม่มีที่นั่งว่าง คึกคักขนาดนี้ จะหาเงินไม่ได้ได้อย่างไร

เมื่อเห็นลั่วฝานพูดเช่นนี้ สวีหย่วนก็ยิ้มอย่างขมขื่น “สหายลั่วอาจจะยังไม่ทราบ อำเภอหย่งอันนี้ไม่ได้มีแค่โรงพิมพ์ของข้าเพียงแห่งเดียว เมื่อเดือนที่แล้ว ทางตะวันออกของเมืองก็เพิ่งเปิดโรงพิมพ์ตระกูลเฉียน ไม่เพียงแต่อ่านหนังสือครึ่งราคา ยังแถมน้ำชาอีกด้วย!”

“พวกนักปราชญ์บัณฑิตในเมือง พากันไปอ่านที่โรงตระกูลเฉียนกันหมด ข้าไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องลดราคาตามไปด้วย นี่ไง แค่ค่าน้ำชาทุกวันก็ขาดทุนไปหลายร้อยอีแปะแล้ว”

ลั่วฝานพอได้ฟังแล้ว นี่มันกลยุทธ์ที่ใช้ในการขยายตลาดของพวกนายทุนไม่ใช่หรือ? เริ่มด้วยการลดแลกแจกแถมสารพัดเพื่อบีบคู่แข่งในวงการ พอคู่แข่งล้มละลายหมด ก็ผูกขาดตลาดทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นราคา!

ดูเหมือนว่าเล่ห์เหลี่ยมของพวกนายทุนนี่ จะไม่แบ่งยุคแบ่งสมัยจริงๆ

“แต่มันก็ไม่น่าจะถึงกับขาดทุนนี่นา” ลั่วฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สวีหย่วนจิบชาหนึ่งอึก ยิ้มอย่างจนใจ แล้ววิเคราะห์ให้ลั่วฝานฟัง “ในโรงพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นหนังสืออ่านเล่น หนังสือแต่ละเล่มมีหนึ่งถึงสองหมื่นตัวอักษร ต้องใช้คนหนึ่งคนคัดลอกถึงห้าวันจึงจะเสร็จ ในระหว่างนั้นห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ค่าจ้างวันละสามสิบเหวิน หนังสือเล่มหนึ่งแค่ค่าคัดลอกก็ปาเข้าไปหนึ่งร้อยห้าสิบเหวินแล้ว ยังไม่รวมค่ากระดาษและหมึก เดิมทีก็พอจะทำกำไรได้บ้าง แต่พอตระกูลเฉียนทำเช่นนี้ ข้าก็ทำได้แค่ลดราคาตาม”

เรื่องกระดาษยังพอว่า แต่ค่าแรงในการคัดลอกนี่มันสูงเกินไปจริงๆ กินส่วนแบ่งต้นทุนไปถึงหกส่วน

ลั่วฝานเอ่ยถาม “ในเมื่อจ้างคนคัดลอกมันช้าขนาดนี้ เหตุใดไม่ใช้การพิมพ์เล่า? แบบนั้นไม่เร็วกว่าหรือ?”

วิชาการพิมพ์เป็นหนึ่งในสี่สิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศหัวเซี่ย ก่อนราชวงศ์ถัง ส่วนใหญ่ต้องอาศัยการคัดลอกหนังสือด้วยมือ ไม่เพียงแต่เสียเวลาและเปลืองแรง ยังเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย กระดาษหนึ่งแผ่น หากเขียนผิดแม้แต่ตัวเดียว กระดาษทั้งแผ่นก็ต้องทิ้งไป

ในสมัยราชวงศ์ถัง มีคนคิดค้นการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะสลัก หลักการของมันคล้ายกับการประทับตราขนาดใหญ่ เพียงแค่จุ่มหมึก แล้วใช้กระดาษขาวทาบลงไปเบาๆ ตัวอักษรก็จะประทับลงบนกระดาษ

พอถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง หลังจากที่ปี้เซิงได้ทำการปรับปรุง ก็มีการพิมพ์แบบตัวพิมพ์เคลื่อนที่ขึ้นมา ทำให้ไม่จำเป็นต้องแกะสลักแม่พิมพ์เฉพาะ เพียงแค่นำตัวอักษรที่แกะสลักไว้ล่วงหน้ามาเรียงต่อกันเป็นบทความก็ใช้ได้แล้ว

“วิชาการพิมพ์หรือ?” สวีหย่วนทำหน้างงงวย

“ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิชาการพิมพ์คืออะไร?” ลั่วฝานแสดงสีหน้าตกตะลึง

ยุคต้าเซิ่งนี่มันล้าหลังเกินไปแล้วกระมัง?

ลั่วฝานอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย “ท่านน่าจะรู้จักตราประทับใช่หรือไม่?”

สวีหย่วนพยักหน้า “รู้สิ นี่มันเกี่ยวอะไรกับวิชาการพิมพ์?”

ลั่วฝานยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ท่านลองคิดดู ตราประทับยังประทับตัวอักษรลงบนกระดาษได้ เหตุใดบทความจะทำไม่ได้ล่ะ?”

สวีหย่วนเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว พอได้ยินลั่วฝานพูดชี้แนะเช่นนี้ ก็พลันเข้าใจในทันที

เขาอดไม่ได้ที่จะปรบมือร้องออกมา “จริงด้วย เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงนะ”

ลั่วฝานอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ถ้าท่านคิดได้ แล้วจะเหลืออะไรให้ข้าทำล่ะ

สวีหย่วนจัดหาช่างฝีมือที่ชำนาญงานมาให้ลั่วฝานหลายคน และให้เงินเขามาอีกก้อนหนึ่ง ให้เขารับผิดชอบในการทำแม่พิมพ์แกะสลัก

แม้ว่าลั่วฝานจะไม่เคยสัมผัสกับแม่พิมพ์แกะสลักมาก่อน แต่สำหรับนักเรียนหัวกะทิอย่างเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก็แค่การแกะสลักตัวอักษรกลับด้านบนแผ่นไม้มิใช่หรือ

ลั่วฝานเลือกใช้ไม้สนที่มีเนื้อละเอียด ความอ่อนแข็งกำลังพอดี ให้ช่างไม้ขัดถูซ้ำๆ จนแผ่นไม้เรียบเนียน ใช้แป้งเปียกเคี่ยวจนเป็นกาว จากนั้นหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา แล้วเขียนบทสวด ‘หฤทัยสูตร’ บทหนึ่งลงไป

สาเหตุที่ลั่วฝานเลือกแกะสลักบทสวดหฤทัยสูตร ก็เพราะในยุคต้าเซิ่ง ศาสนาพุทธรุ่งเรืองมาก ชาวบ้านทั่วไปมักจะซื้อบทสวดหฤทัยสูตรเก็บไว้ที่บ้านทุกปี

เพื่ออธิษฐานขอความสงบสุข

ดังนั้นบทสวดหฤทัยสูตรจึงขายดีกว่าหนังสือทั่วไป

‘หฤทัยสูตร’ มีความยาวทั้งสิ้นสามร้อยกว่าตัวอักษร ใช้กาวเขียนหฤทัยสูตรลงบนกระดาษ จากนั้นก็แปะกลับด้านลงบนแผ่นไม้ รอจนกาวแห้งสนิท ก็ใช้มือถูเอากระดาษบนแผ่นไม้ออก ตัวอักษรก็จะติดอยู่บนแผ่นไม้

จากนั้นทาน้ำมันทับอีกชั้นหนึ่ง ตัวอักษรบนแผ่นไม้ก็จะปรากฏชัดเจน

เมื่อเห็นขั้นตอนการทำงานของลั่วฝาน สวีหย่วนก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ “วิธีนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

“ขั้นต่อไป ให้ช่างแกะสลัก แกะสลักตามรอยตัวอักษรบนแผ่นไม้ ขั้นตอนนี้ห้ามเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น แค่แกะผิดตัวเดียว แม่พิมพ์ทั้งแผ่นก็ต้องทิ้ง”

พูดจบ ลั่วฝานก็ให้ช่างแกะสลักผู้ชำนาญงานลงมือแกะสลัก

“สรรพสิ่งคือความว่างเปล่า!” ช่วงแรกๆ ก็แกะสลักได้ค่อนข้างดี แต่เพราะตัวอักษรมีมากเกินไป ประกอบกับความตื่นเต้น ช่างแกะสลักจึงแกะพลาดไปตัวหนึ่ง

ลั่วฝานส่ายหน้าทันที “ตรงนี้ผิดไปตัวหนึ่ง ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด”

“ก็แค่ผิดไปตัวเดียว ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย แกะมาตั้งเยอะแล้ว โยนทิ้งก็เสียดายแย่” ช่างแกะสลักกล่าวอย่างไม่เข้าใจ

ก็แค่ผิดไปตัวสองตัวไม่ใช่หรือ? ปกติเวลาคัดลอกหนังสือ ก็มีเขียนผิดบ้างอยู่แล้ว อีกอย่างบทสวดนี้ส่วนใหญ่ก็ขายให้ชาวบ้านที่อ่านหนังสือไม่ออก ผิดแล้วก็ผิดไปสิ

ลั่วฝานสีหน้าเคร่งขรึม เขาเดินตรงไปหาช่างแกะสลัก แย่งแม่พิมพ์ในมือเขามา โยนลงพื้นแล้วเหยียบจนหักเป็นสองท่อน

“ข้าจะพูดอีกครั้ง ห้ามผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียว มิฉะนั้น ค่าจ้างของเจ้าวันนี้ พวกเราจะไม่จ่าย”

พอลั่วฝานพูดเช่นนี้ ช่างแกะสลักก็ร้อนรนขึ้นมาทันที ไม่กล้าละเลยอีกต่อไป

สวีหย่วนเห็นดังนั้น ก็กล่าวกับช่างแกะสลัก “นายช่าง ท่านอย่าเพิ่งรำคาญไปเลย ขอเพียงทำแม่พิมพ์นี้ให้เสร็จ ข้าจะให้เงินท่านหนึ่งตำลึง แต่ท่านต้องแกะสลักทุกตัวอักษรอย่างประณีตบรรจง ห้ามมีตำหนิแม้แต่น้อย”

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว นี่มันก็เหมือนกับตราประทับอันใหญ่นั่นเอง

ขอเพียงทำแม่พิมพ์นี้ออกมาได้ ต่อไปก็สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ตลอด

ถึงตอนนั้น เพียงแค่ป้ายหมึกลงบนแม่พิมพ์ เอาแผ่นกระดาษขาวมาทาบไว้ กดลงไป ตัวอักษรก็จะประทับลงบนกระดาษขาวแล้ว

“สหายลั่ว ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

เมื่อสวีหย่วนเอ่ยปาก ช่างแกะสลักก็ตั้งใจทำงานขึ้นมาทันที ทำแม่พิมพ์อันเดียวได้เงินหนึ่งตำลึง นี่มันทำเงินได้มากกว่าการแกะสลักตราประทับทั่วไปเสียอีก

สวีหย่วนรู้ดีถึงมูลค่าของแม่พิมพ์นี้ เขาไม่กล้าละเลยแม้แต่วันเดียว คอยกำกับดูแลช่างแกะสลักตลอดเวลา หลังจากเสียแผ่นไม้ไปหลายแผ่น ในที่สุดก็แกะสลักแม่พิมพ์ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติออกมาได้

ลั่วฝานป้ายหมึกลงบนแม่พิมพ์อย่างระมัดระวัง จากนั้นใช้กระดาษฟางสีเหลืองอ่อนๆ กดทับลงไปเบาๆ

พอยกกระดาษฟางขึ้น เนื้อหาบนแม่พิมพ์ก็ประทับลงบนกระดาษอย่างชัดเจน

“สำเร็จแล้ว?”

สวีหย่วนตื่นเต้นมาก “การคัดลอกด้วยมือไม่เพียงแต่เสียเวลา ราคาก็ยังแพงอีกด้วย ที่ผ่านมาขอแค่ไม่ผิดพลาดมากจนเกินไป ก็แค่ขูดลบตัวที่ผิดออก แล้วเขียนต่อก็ได้ แต่ตัวอักษรที่แกะสลักออกมานี้ ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น”

“แม่พิมพ์ชุดนี้ ยังสามารถใช้ได้อีกนานเลย” ลั่วฝานยิ้ม

“ใช่แล้ว” สวีหย่วนยิ้มจนตาหยี

“ในยุคต้าเซิ่ง คนที่อ่านออกเขียนได้มีไม่มาก คนที่ลายมือสวยงามยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ ปกติพวกคนคัดลอกหนังสือที่จ้างไว้ ไม่เพียงแต่ค่าจ้างแพง ยังต้องคอยดูแลปรนเปรอด้วยอาหารดีๆ ทุกวัน อย่างบทสวดหฤทัยสูตรนี่เล่มหนึ่งก็ราคาร้อยห้าสิบเหวินแล้ว แค่ค่าจ้างคนคัดลอกก็ปาเข้าไปแปดสิบเหวิน! หักค่ากระดาษ ค่าขนส่ง ค่าจัดเก็บ ค่าใช้จ่ายจิปาถะอีก ข้าก็ได้กำไรแค่เศษเงิน”

“พอมีวิชาการพิมพ์นี้ ต้นทุนการผลิตหนังสือก็จะลดลงอย่างมาก ขอเพียงเทคโนโลยีนี้ไม่รั่วไหลออกไป อีกไม่นานโรงพิมพ์ตระกูลสวี ก็จะกลายเป็นโรงพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอหย่งอันได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาสองข้างของสวีหย่วนก็เป็นประกาย เขามองลั่วฝานราวกับมองเห็นผู้ช่วยชีวิต “สหายลั่ว ท่านช่วยข้าทำกระดาษเยื่อไผ่ ข้าก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้ยังบอกเรื่องวิชาการพิมพ์นี้ให้ข้าอีก เป็นผู้มีพระคุณของข้าสวีหย่วนจริงๆ ”

ลั่วฝานยิ้มจางๆ “เมื่อวานข้าเกือบจะอดตายอยู่แล้ว เถ้าแก่สวีไว้วางใจข้า ให้ข้าได้กินอิ่มท้อง นี่ก็ถือเป็นการตอบแทนเถ้าแก่สวี”

ลั่วฝานไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร ประกอบกับสวีหย่วนก็เป็นคนดีซื่อสัตย์คนหนึ่ง ลั่วฝานก็ไม่อยากเห็นเขาถูกคนอื่นรังแก

“วิชาการพิมพ์นี้เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงการสืบทอดวัฒนธรรมของยุคต้าเซิ่ง แม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ทั้งหมดของยุคต้าเซิ่งได้เลยทีเดียว ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถประเมินค่าของมันได้ จากนี้ไป กำไรสองส่วนของโรงพิมพ์ตระกูลสวีนี้ ข้าจะแบ่งให้ท่าน”

สวีหย่วนกล่าวอย่างจริงจัง

เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วฝานก็ดีใจอย่างมาก วิชาการพิมพ์สามารถลดต้นทุนของหนังสือลงได้อย่างมหาศาล ถึงเวลานั้น หนังสือก็จะสามารถแพร่หลายไปสู่บ้านของชาวบ้านธรรมดาได้

เขาก็ถือว่าได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่ที่ช่วยผลักดันประวัติศาสตร์ไปโดยไม่รู้ตัว

ลั่วฝานยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอน้อมรับไว้โดยไม่เกรงใจแล้ว”

ลั่วฝานในชาติก่อนเป็นหนอนหนังสือ และมีความจำดีเลิศ อ่านผ่านตาก็ไม่ลืม ในหัวของเขามีหนังสือดีๆ ซ่อนอยู่ไม่น้อย ต่อไปหากเขียนมันออกมา ใช้วิชาการพิมพ์ผลิตเป็นหนังสือ จะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน

“เอ่อ” ลั่วฝานยิ้มอย่างเขินอาย

“สหายลั่วมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” สวีหย่วนหัวเราะอย่างสดใส

“ขอยืมเงินสักสิบตำลึงได้หรือไม่” ลั่วฝานกล่าว

เงินที่สวีหย่วนให้เขาก่อนหน้านี้ เอาไปซื้อวัสดุหมดแล้ว เขาคิดว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้เลย จะได้ไม่ต้องโดนคนมาตามทวงหนี้อยู่ทุกวัน
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 30

    ระยะเวลาในการแช่ไม้ไผ่ โดยทั่วไปยิ่งนานยิ่งดี กระดาษก็จะยิ่งอ่อนนุ่มแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เพื่อดึงดูดลูกค้า ลั่วฝานก็ยังยืนกรานที่จะแช่ไว้ครึ่งเดือน ถึงจะเริ่มขั้นตอนที่สองนั่นคือการนึ่ง“จางเหลียว หม่าเหลียง พยายามกำจัดสิ่งเจือปนออกไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่นิดเดียว” ลั่วฝานขมวดคิ้ว สั่งการหม่าเหลียงและจางเหลียวค่อนข้างมีความสามารถ อีกทั้งยังฉลาดมาก ส่วนจางหู่กลับดูซื่อ ๆ ไปบ้าง แต่ก็สามารถข่มขวัญคนที่คิดไม่ซื่อได้“เถ้าแก่ กระดาษของเรานี้เรียกว่าอะไรหรือขอรับ”หม่าเหลียงมองเยื่อไผ่ที่นึ่งไปแล้วสามครั้ง เอ่ยถามขึ้น“คิดไว้แล้ว เรียกว่ากระดาษเหวินหย่าเซวียน!”“จิ๊ ๆ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ”หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดการผลิตชุดใหม่ก็เสร็จสิ้น ผลิตได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าแผ่น หักที่ต้องให้โรงกระดาษหยางจี้ห้าพันแผ่น ยังเหลืออีกห้าพันแผ่น ลั่วฝานตั้งใจจะเก็บไว้หาคู่ค้าเพิ่มอีกสักสองสามรายขนกระดาษหนึ่งหมื่นแผ่นขึ้นรถม้า ลั่วฝานพาหม่าเหลียงและจางหู่มุ่งหน้าไปยังเมืองลวี่วั่งออกจากบ้านแต่เช้า พอใกล้ถึงตอนเที่ยงก็มาถึงเมืองลวี่วั่ง ลั่วฝานอาศัยความทรงจำตามหาโรงก

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 29

    อีกทั้งลั่วฝานยังรู้ดีว่าหลี่หน้าบากไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้ได้ เป็นไปได้เพียงว่ามีคนว่าจ้างให้หลี่หน้าบากมาฆ่าคน“ให้ตายเถอะ เงินแท้ตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึง หลี่หน้าบากไปร่ำรวยมาจากไหนตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จางหู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความประหลาดใจเมื่อหวนนึกถึงเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชที่จงใจถ่วงเวลาเมื่อครู่ ลั่วฝานก็แสยะยิ้มเย็นชา “ดูท่าว่า พวกเขาคงวางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว คิดจะดักปล้นฆ่าพวกเรากลางทาง”“เถ้าแก่ ท่านหมายความว่าเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชคนนั้นมีปัญหาหรือขอรับ?” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“จางเหลียว เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจ้ารู้จักกับเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช?” สีหน้าของจางหู่เปลี่ยนไปทันที ตวาดเสียงกร้าว“จางหู่” ลั่วฝานพูดขัดจางหู่ขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่จางเหลียว เมื่อครู่ในมือของจางเหลียวถือมีดตัดฟืน ทั้งยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา หากเขามีความคิดไม่ดี ข้าคงตายไปนานแล้ว”จางเหลียวประสานหมัดกล่าว “ขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ”จางหู่ตะโกนอย่างเดือดดาล “หากข้ารู้นะว่าไอ้สารเลวหน้าไหนมันคิดร้ายต่อพี่ชายของข้า ข้าจางหู่จะชกมันให้ตายไปเลย”“กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อย ๆ คิ

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 28

    จากนั้นก็ทะยานพรวดขึ้น โถมเข้าใส่ม้าตัวนั้น ฉากต่อมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้างเห็นจางหู่กอดรวบหัวม้าไว้ คำรามลั่นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง!ม้าชั้นดีที่หนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชั่ง ถูกจางหู่เหวี่ยงกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตรหัวหน้าโจรป่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถูกม้าทับอยู่ใต้ท้องในทันที กระอักเลือดออกมาคำโต ไม่นานก็สิ้นใจตายโจรป่าที่เหลืออีกสองสามคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงอย่างหนัก แววตาฉายแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัดจางหู่ในยามนี้ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต่างอะไรไปจากอสูรสงครามตนหนึ่งเลย“จางหู่ ลั่วฝาน พวกเจ้าจงไปตายเสีย!” โจรป่าสองสามคนคำรามลั่น ควบม้าเงื้อดาบพุ่งเข้าใส่จางหู่ลั่วฝานเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นคนเหล่านี้รู้ชื่อของข้าได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักกัน?ลั่วฝานมัวแต่คิดไม่ตก พลันเห็นจางหู่คำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่คนทั้งห้าเห็นเพียงจางหู่พลิกตัวหลบคมดาบยาวที่ฟันเข้ามาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชกหมัดตรงเข้าที่ท้องของม้าอย่างจังม้าร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบ โซซัดโซเซล้มลงกับพื้นจางหู่ฉวยโอกาสนั้นจับโจรที่อยู่บนหลังม้า ทุ่มลงกับพื้นจนมึนงงไป

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 27

    เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชยิ้มประจบประแจง “นั่นน่ะสิขอรับ ใครบ้างจะไม่รู้ว่ากระดาษของเฉิงซินถังตระกูลหวังนั้นดีที่สุดในเมืองหย่งอัน ไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกนั่นมันจะไปนับเป็นอะไรได้ ถึงกล้ามาแย่งธุรกิจกับตระกูลหวัง”“ฮ่า ๆ พูดได้ดี”ชายร่างผอมบางมองไปยังเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช “เจ้าวางใจได้ ต่อไปธัญพืชของตระกูลหวังข้า จะให้เจ้าเป็นคนจัดหาให้”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นยินดีในทันที “ขอบคุณเถ้าแก่หวังมากขอรับ”ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม พอออกมาจากตำบลได้ราวสองลี้ ลั่วฝานก็พลันสังเกตเห็นว่ามีคนติดตามอยู่รอบ ๆลั่วฝานสงสัยอย่างมากว่า เมื่อครู่เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชจงใจถ่วงเวลา ทำให้ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันได้“เถ้าแก่ ไม่น่าไว้วางใจเลยขอรับ” จางเหลียวขมวดคิ้ว กวาดตามองไปรอบทิศ“มีอันใดหรือ? มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“ด้านหน้าคล้ายกับมีคนอยู่ขอรับ อาจจะเป็นพวกโจรป่าดักปล้น” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของจางเหลียว ลั่วฝานก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้า พลันเห็นคบเพลิงสี่ห้าอันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนช่วงเวลาเช

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 26

    ธัญพืชสิบสือ ก็คือหนึ่งพันชั่งในยุคโบราณ นี่ถือเป็นการค้าที่ใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ร้านขายธัญพืชเองก็ใช่ว่าจะหาธัญพืชจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ง่าย ๆ“เถ้าแก่ รอไม่ได้ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายเพราะภัยสงคราม ยามค่ำคืนเกรงว่าจะมีพวกโจรออกอาละวาด” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเตือนสติลั่วฝานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เถ้าแก่ ตอนนี้ท่านมีธัญพืชอยู่เท่าใด?”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชกล่าวว่า “มีธัญพืชไม่ถึงสามสือขอรับ หากพวกท่านต้องการ ข้าก็สามารถขายให้พวกท่านได้ทั้งหมด”ธัญพืชสามสือก็ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีคนกินข้าวอยู่สิบกว่าชีวิต ในแต่ละวันต้องบริโภคข้าวสารสิบกว่าชั่ง สามสือก็พอจะประทังไปได้หนึ่งเดือนทว่า ในขณะที่ลั่วฝานกำลังคิดจะจ่ายเงินแล้วกลับเข้าเมืองนั้นเอง เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชก็พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีธัญพืชมาส่งอีกชุดหนึ่งแล้วขอรับ ท่านรออีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็พอ น่าจะมีสักประมาณห้าสือ”หนึ่งชั่วยามหรือ? ลั่วฝานหันไปมองจางเหลียว แล้วกล่าวว่า “จะสามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันก่อนฟ้ามืดได้หรือไม่?”จางเหลียวเงยหน้ามองดูสีของท้องฟ้า พยักหน้าแล้วตอบว่า “ก็น่าจะทันอยู่ขอรับ”เม

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 25

    “ออกไปนอกเมืองหรือขอรับ?” สีหน้าของจางเหลียวตกตะลึง“มีอันใดหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“เถ้าแก่ ท่านอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้ด้านนอกเมืองหย่งอันวุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ ได้ยินมาว่าด่านชายแดนถูกตีแตกแล้ว ช่วงนี้จึงมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่ที่นอกเมือง” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“ผู้อพยพ?” ลั่วฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ฉายแววระมัดระวังขึ้นมา“พวกเราจำเป็นต้องออกไปนอกเมืองจริง ๆ หรือขอรับ?” จางเหลียวเอ่ยถามลั่วฝานพยักหน้า “เจ้าก็รู้ว่าราคาข้าวสารอาหารแห้งในเมืองมันแพงเพียงใด คนสิบกว่าชีวิตต้องกินต้องใช้ ธัญพืชถือเป็นรายจ่ายก้อนโตทีเดียว”หากคิดจะประหยัดต้นทุน ก็ทำได้เพียงออกไปรับซื้อธัญพืชตามหมู่บ้านนอกเมืองเท่านั้น แต่ตอนนี้ด้านนอกเมืองมีผู้อพยพอยู่ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดลั่วฝานก็ยังคงตัดสินใจที่จะออกไปนอกเมืองความมั่งคั่งย่อมต้องเสาะหามาจากในภยันตราย หากปราศจากความกล้า ก็อย่าได้คิดทำการใหญ่“พวกเราฟังเถ้าแก่ขอรับ” จางเหลียวกล่าวลั่วฝานพยักหน้า เตรียมตัวจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังเดินกลับไปบอกจูอีโหรวว่า “ตอนกลางวันข้า

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status