Share

บทที่ 6

Author: หมึกย้อมแผ่นดิน
สวีหย่วนได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะอย่างสดใส “สหายลั่วไม่ต้องเกรงใจ ท่านช่วยข้าไว้มากขนาดนี้ ต่อให้ท่านไม่พูด ข้าก็จะให้เงินท่านสักก้อนอยู่แล้ว”

ขณะพูด สวีหย่วนก็หยิบถุงเงินเล็กๆ ถุงหนึ่งออกมา มีอยู่ประมาณสิบห้าตำลึง เขาโยนมันให้ลั่วฝานโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

สวีหย่วนผู้นี้เป็นคนที่ค่อนข้างมีคุณธรรม และก็ตั้งใจที่จะผูกมิตรกับลั่วฝาน

ลั่วฝานไม่ได้นับ ชั่งน้ำหนักเศษเงินย่อยในมือ แล้วก็ยัดมันไว้ในอก

ลั่วฝานไปตลาดซื้อข้าว เนื้อ และน้ำมันกับเกลือเล็กน้อย จากนั้นก็เตรียมกลับบ้าน ระหว่างทางบังเอิญพบชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่ง

อีกฝ่ายเมื่อเห็นลั่วฝาน ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเอง “ลั่วฝาน สองสามวันนี้ไม่เห็นท่านเลย? หายไปไหนมา?”

คนที่พูดมีน้ำเสียงซื่อๆ และจริงใจ อาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม คนผู้นี้คือเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ชื่อว่าจางหู่ ชื่อฟังดูดุดันมาก แต่กลับเป็นคนประเภทกล้ามโตแต่สมองทึบคนหนึ่ง

เจ้าของร่างเดิมมักจะหลอกล่อจางหู่ ให้ไปช่วยเขาต่อยตีอยู่บ่อยๆ

“หู่จื่อ มาทำอะไรที่นี่?” ลั่วฝานประหลาดใจเล็กน้อย

ปกติแล้วจางหู่จะทำงานเป็นยามเฝ้าบ้านให้คนรวยในอำเภอ พอเลิกงานก็กลับบ้าน ไม่มาเดินเตร็ดเตร่ตามถนน จางหู่ผู้นี้สูงใหญ่มาตั้งแต่เด็ก สูงถึงสองเมตรเต็มๆ แขนของเขายังใหญ่กว่าขาของคนทั่วไปเสียอีก

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือค่อนข้างซื่อบื้อไปหน่อย เจ้าของร่างเดิมมักจะหลอกเอาเงินของจางหู่ไปใช้บ่อยๆ แต่จางหู่คนนี้ก็ไม่เคยถือสาลั่วฝาน

“เอ้อ ที่บ้านไม่มีข้าวแล้ว ข้ามาซื้อรำข้าวหยาบหน่อย” จางหู่ยิ้มอย่างซื่อๆ

ลั่วฝานเพิ่งสังเกตเห็นว่าช่วงนี้จางหู่ผอมลงไปมาก ในยุคต้าเซิ่งขาดแคลนทรัพยากร ประกอบกับเมืองหย่งอันอยู่ชายแดน ถูกรุกรานจากชาวตี้ตลอดทั้งปี ประชาชนจึงลำบากอย่างยิ่ง

ครอบครัวทั่วไปก็ได้กินแค่รำข้าวหยาบกับผักป่า

หากเป็นลั่วฝานคนก่อน ย่อมไม่สงสารจางหู่แน่นอน แต่ลั่วฝานคนปัจจุบัน เมื่อเห็นจางหู่ถือถุงรำข้าวหยาบ ใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสารออกมา

“จางหู่ วันนี้เจ้าไปกินข้าวที่บ้านข้านะ ข้าซื้อเนื้อมาด้วย” ลั่วฝานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เนื้อ?” ดวงตาสองข้างของจางหู่เป็นประกาย เมื่อได้ยินคำว่าเนื้อ น้ำลายก็แทบจะไหลออกมา

เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อมาครึ่งปีแล้ว

ลั่วฝานชูเนื้อหมูสองชั่ง ในมือขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้น “นี่ไง สองชั่งครึ่งเต็มๆ ที่บ้านเจ้าไม่มีใครอยู่ ตอนเย็นไปกินที่บ้านข้า”

เจ้าของร่างเดิมหลอกเอาเปรียบจางหู่มาหลายครั้ง ลั่วฝานคิดว่าตนเองก็ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง จึงรู้สึกติดค้างจางหู่ในใจ

“ได้!” จางหู่เช็ดน้ำลายที่มุมปาก รับคำทันที

ทั้งสองคนเดินผ่านถนนที่เจริญรุ่งเรืองเส้นหนึ่ง จากนั้นเลี้ยวไปหลายแยก ก็มาถึงฝั่งตะวันตกของเมือง ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไป กลายเป็นบ้านดินที่แออัดและทรุดโทรมเรียงรายกัน แตกต่างจากความเจริญรุ่งเรืองก่อนหน้านี้

ตามถนนเต็มไปด้วยปัสสาวะและอุจจาระ ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นฉุน

ลั่วฝานอดไม่ได้ที่จะย่นจมูก ใบหน้าแสดงความขยะแขยงออกมา

ในเมืองหย่งอัน ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นสูงมาก พวกคุณชายเสเพลจากตระกูลร่ำรวยสามารถทุ่มเงินพันตำลึงเพื่อภาพวาดอักษรภาพเดียว แต่คนจนกลับหาเงินสองอีแปะยังไม่ได้ ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า หน้าประตูบ้านคนรวยมีกลิ่นเหล้าเนื้อเน่าเหม็น บนถนนกลับมีคนหนาวตาย

เมื่อเข้าไปในลานบ้าน ลั่วฝานมองบ้านดินโทรมๆ นี่แทบจะเรียกว่าบ้านไม่ได้แล้ว

หลังคากระเบื้องแตก ถูกอู่ชิงใช้หญ้าคาอุดไว้ รอยแตกตามผนังมีลมพัดผ่านเข้ามา อุดไว้ด้วยก้อนดินโคลนสีเหลืองหลายก้อน

ตรงมุมห้อง มีกองฟืนใหม่ที่อู่ชิงตัดเตรียมไว้ ในลานบ้านยังตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ

จูอีโหรวกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เมื่อเห็นลั่วฝานกลับมา ก็รีบลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านรอสักครู่ อีกเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว”

ลั่วฝานพยักหน้า “อืม”

เขาถือข้าวสารกับเนื้อ รวมถึงน้ำมันและเกลือที่ซื้อมาวางไว้ข้างเตาในครัว แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าวเพิ่งซื้อมา แล้วก็เนื้อ วันนี้จางหู่มากินข้าวที่บ้านเรา เจ้าทำกับข้าวอร่อยๆ สักสองสามอย่างนะ”

จากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องโถงไปพร้อมกับจางหู่

จูอีโหรวถอนหายใจด้วยความรู้สึกหวาดผวาที่ยังคงค้างอยู่ วันนี้นางซักผ้าทั้งวัน เลยทำอาหารเย็นช้าไปหน่อย นึกว่าลั่วฝานกลับมาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสียอีก

ไม่นึกเลยว่าลั่วฝานจะไม่โกรธ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

ที่สำคัญกว่านั้น ลั่วฝานรู้จักซื้อของเข้าบ้านแล้ว เมื่อก่อน ไม่เพียงแต่เขาจะไม่เคยเอาเงินเข้าบ้านแม้แต่แดงเดียว ยังขโมยของในบ้านไปขายเพื่อเอาเงินไปเล่นพนันอีกด้วย

“ดูท่าทาง ท่านพี่จะเปลี่ยนนิสัยได้แล้วจริงๆ ?” จูอีโหรวพึมพำกับตัวเอง

ไม่นานนัก อู่ชิงก็หาบฟืนกลับมา เมื่อเห็นลั่วฝาน ใบหน้างดงามก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรังเกียจออกมา

พอกลับถึงบ้าน ก็ไม่ได้พูดอะไรกับลั่วฝาน แต่ตรงไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยจูอีโหรวทำอาหาร

“พี่หญิง ใครซื้อข้าวกับเนื้อมาหรือ?” อู่ชิงกะพริบตาที่สวยงามดูมีชีวิตชีวา เม้มริมฝีปาก

จูอีโหรวยิ้มหวาน กระซิบเสียงเบา “ท่านพี่น่ะ”

“เขา?” อู่ชิงเหลือบมองลั่วฝานในห้องโถง

หากไม่ใช่เพราะเมื่อวานลั่วฝานก็ซื้อของเข้ามาบ้าง นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าลั่วฝานจะดีขนาดนี้

ในยุคต้าเซิ่งไม่มีเครื่องปรุงรสอะไรมากนัก จูอีโหรวหั่นเนื้อเป็นชิ้นบางๆ นำไปต้มในน้ำเปล่าหนึ่งรอบ จากนั้นก็โรยเกลือ เพียงเท่านี้กับข้าวก็เสร็จแล้วหนึ่งอย่าง

เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อโชยมาเตะจมูก อู่ชิงก็อยากกินจนน้ำลายแทบจะไหลออกมา

“หอมเหลือเกิน” ซ่างกวนถิงเลิกงานจากร้านอาหาร ก็กลับมาถึงบ้าน พอเข้ามาในประตู ก็ได้กลิ่นหอมเตะจมูกทันที

จูอีโหรวจัดโต๊ะเล็กๆ เก่าๆ ตัวหนึ่ง แล้วก็ต้มผักป่าอีกหนึ่งอย่าง

กับข้าวสองอย่าง ในยามปกติก็ถือว่าหรูหรามากแล้ว

“เนื้อนี่หอมจริงๆ มีเนื้อแล้วจะขาดเหล้าได้อย่างไร? ข้าไปซื้อเหล้ามาสองไหดีกว่า” จางหู่เช็ดน้ำลายที่มุมปาก บอกกับลั่วฝาน จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก

ครึ่งเค่อ[2] ต่อมา จางหู่ก็หิ้วเหล้ากลับมาสองไห

ลั่วฝานและจางหู่สองคนนั่งคนละฝั่งของโต๊ะเล็ก จูอีโหรวรีบตักข้าวหนึ่งถ้วยให้ลั่วฝาน

“ท่านพี่ ท่านกินข้าวรองท้องก่อน ดื่มเหล้าตอนท้องว่างมันไม่ดีต่อสุขภาพ” จูอีโหรวพูดเสียงเบาราวกับยุง

ถ้วยเป็นถ้วยดินเผาใบใหญ่ ข้างในแม้จะเรียกว่าข้าว แต่ก็แทบไม่ต่างอะไรกับข้าวต้ม ไม่ใช่ว่าฝีมือการทำอาหารของจูอีโหรวมีปัญหา แต่เป็นเพราะว่านางกลัวเปลืองไม่กล้าหุงข้าว ถ้าหุงเป็นข้าวต้ม ใช้ข้าวแค่ครึ่งถ้วยก็พอให้คนทั้งสี่คนในบ้านกินอิ่ม แต่ถ้าหุงเป็นข้าวขาว ต้องใช้ข้าวถึงสองถ้วย

อีกทั้งอาหารการกินของคนสมัยโบราณก็เรียบง่ายอยู่แล้ว เมื่อก่อนที่บ้านกินแต่รำข้าวหยาบ ตอนที่ฐานะดีขึ้นหน่อยก็จะต้มรวมกับผักป่า

ส่วนข้าวสวย นั่นมีไว้สำหรับคุณชายตระกูลร่ำรวยเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดาไม่มีปัญญากิน

ลั่วฝานรับข้าวต้มมา กินไปสองคำ รู้สึกว่าในปากจืดชืดไร้รสชาติ เมื่อชาติก่อน เขาก็กินข้าวต้มบ้าง แต่โดยทั่วไปก็จะเติมน้ำตาลเล็กน้อย

เขาไม่ชินกับการกินข้าวต้มเปล่าๆ

แต่จางหู่พอเห็นข้าวต้มตาก็ลุกวาว รับถ้วยไปแล้ว ก็ใช้ตะเกียบจ้วงกินเสียงดังจ๊อบแจ๊บ กินอย่างตะกละตะกลามเพียงสองคำก็หมดเกลี้ยง

จูอีโหรว อู่ชิง และซ่างกวนถิง ภรรยาสาวทั้งสามคนต่างยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าพูดอะไร

เมื่อที่บ้านมีแขกมา ตามธรรมเนียมของต้าเซิ่ง สตรีห้ามร่วมโต๊ะอาหาร

ลั่วฝานมองภรรยาทั้งสามของเขาด้วยความสงสาร อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ายืนบื้ออยู่ทำไม? นั่งกินด้วยกันสิ

เมื่อได้ยินดังนั้น จูอีโหรวและซ่างกวนถิงก็มองหน้ากัน แต่ก็ยังส่ายหน้า “ท่านพี่ พวกท่านกินเถอะ พวกเราค่อยกินทีหลังก็ได้”

ลั่วฝานได้ยินก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นเจ้าบ้าน ข้าสั่งให้พวกเจ้านั่ง พวกเจ้าก็นั่ง”

เมื่อเห็นว่าลั่วฝานดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อย จูอีโหรวจึงค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ลั่วฝานอย่างระมัดระวัง

อู่ชิงและซ่างกวนถิงสองสาว จึงยกถ้วยข้าวต้มของตนเองมานั่งลงที่ข้างโต๊ะด้วย

________________________________

[2] เค่อ เป็นหน่วยเวลาของจีนโบราณ หนึ่งเค่อประมาณ 15 นาที ครึ่งเค่อก็เท่ากับประมาณ 7-8 นาที
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 30

    ระยะเวลาในการแช่ไม้ไผ่ โดยทั่วไปยิ่งนานยิ่งดี กระดาษก็จะยิ่งอ่อนนุ่มแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เพื่อดึงดูดลูกค้า ลั่วฝานก็ยังยืนกรานที่จะแช่ไว้ครึ่งเดือน ถึงจะเริ่มขั้นตอนที่สองนั่นคือการนึ่ง“จางเหลียว หม่าเหลียง พยายามกำจัดสิ่งเจือปนออกไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่นิดเดียว” ลั่วฝานขมวดคิ้ว สั่งการหม่าเหลียงและจางเหลียวค่อนข้างมีความสามารถ อีกทั้งยังฉลาดมาก ส่วนจางหู่กลับดูซื่อ ๆ ไปบ้าง แต่ก็สามารถข่มขวัญคนที่คิดไม่ซื่อได้“เถ้าแก่ กระดาษของเรานี้เรียกว่าอะไรหรือขอรับ”หม่าเหลียงมองเยื่อไผ่ที่นึ่งไปแล้วสามครั้ง เอ่ยถามขึ้น“คิดไว้แล้ว เรียกว่ากระดาษเหวินหย่าเซวียน!”“จิ๊ ๆ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ”หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดการผลิตชุดใหม่ก็เสร็จสิ้น ผลิตได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าแผ่น หักที่ต้องให้โรงกระดาษหยางจี้ห้าพันแผ่น ยังเหลืออีกห้าพันแผ่น ลั่วฝานตั้งใจจะเก็บไว้หาคู่ค้าเพิ่มอีกสักสองสามรายขนกระดาษหนึ่งหมื่นแผ่นขึ้นรถม้า ลั่วฝานพาหม่าเหลียงและจางหู่มุ่งหน้าไปยังเมืองลวี่วั่งออกจากบ้านแต่เช้า พอใกล้ถึงตอนเที่ยงก็มาถึงเมืองลวี่วั่ง ลั่วฝานอาศัยความทรงจำตามหาโรงก

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 29

    อีกทั้งลั่วฝานยังรู้ดีว่าหลี่หน้าบากไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้ได้ เป็นไปได้เพียงว่ามีคนว่าจ้างให้หลี่หน้าบากมาฆ่าคน“ให้ตายเถอะ เงินแท้ตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึง หลี่หน้าบากไปร่ำรวยมาจากไหนตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จางหู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความประหลาดใจเมื่อหวนนึกถึงเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชที่จงใจถ่วงเวลาเมื่อครู่ ลั่วฝานก็แสยะยิ้มเย็นชา “ดูท่าว่า พวกเขาคงวางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว คิดจะดักปล้นฆ่าพวกเรากลางทาง”“เถ้าแก่ ท่านหมายความว่าเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชคนนั้นมีปัญหาหรือขอรับ?” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“จางเหลียว เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจ้ารู้จักกับเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช?” สีหน้าของจางหู่เปลี่ยนไปทันที ตวาดเสียงกร้าว“จางหู่” ลั่วฝานพูดขัดจางหู่ขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่จางเหลียว เมื่อครู่ในมือของจางเหลียวถือมีดตัดฟืน ทั้งยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา หากเขามีความคิดไม่ดี ข้าคงตายไปนานแล้ว”จางเหลียวประสานหมัดกล่าว “ขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ”จางหู่ตะโกนอย่างเดือดดาล “หากข้ารู้นะว่าไอ้สารเลวหน้าไหนมันคิดร้ายต่อพี่ชายของข้า ข้าจางหู่จะชกมันให้ตายไปเลย”“กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อย ๆ คิ

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 28

    จากนั้นก็ทะยานพรวดขึ้น โถมเข้าใส่ม้าตัวนั้น ฉากต่อมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้างเห็นจางหู่กอดรวบหัวม้าไว้ คำรามลั่นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง!ม้าชั้นดีที่หนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชั่ง ถูกจางหู่เหวี่ยงกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตรหัวหน้าโจรป่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถูกม้าทับอยู่ใต้ท้องในทันที กระอักเลือดออกมาคำโต ไม่นานก็สิ้นใจตายโจรป่าที่เหลืออีกสองสามคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงอย่างหนัก แววตาฉายแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัดจางหู่ในยามนี้ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต่างอะไรไปจากอสูรสงครามตนหนึ่งเลย“จางหู่ ลั่วฝาน พวกเจ้าจงไปตายเสีย!” โจรป่าสองสามคนคำรามลั่น ควบม้าเงื้อดาบพุ่งเข้าใส่จางหู่ลั่วฝานเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นคนเหล่านี้รู้ชื่อของข้าได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักกัน?ลั่วฝานมัวแต่คิดไม่ตก พลันเห็นจางหู่คำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่คนทั้งห้าเห็นเพียงจางหู่พลิกตัวหลบคมดาบยาวที่ฟันเข้ามาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชกหมัดตรงเข้าที่ท้องของม้าอย่างจังม้าร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบ โซซัดโซเซล้มลงกับพื้นจางหู่ฉวยโอกาสนั้นจับโจรที่อยู่บนหลังม้า ทุ่มลงกับพื้นจนมึนงงไป

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 27

    เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชยิ้มประจบประแจง “นั่นน่ะสิขอรับ ใครบ้างจะไม่รู้ว่ากระดาษของเฉิงซินถังตระกูลหวังนั้นดีที่สุดในเมืองหย่งอัน ไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกนั่นมันจะไปนับเป็นอะไรได้ ถึงกล้ามาแย่งธุรกิจกับตระกูลหวัง”“ฮ่า ๆ พูดได้ดี”ชายร่างผอมบางมองไปยังเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช “เจ้าวางใจได้ ต่อไปธัญพืชของตระกูลหวังข้า จะให้เจ้าเป็นคนจัดหาให้”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นยินดีในทันที “ขอบคุณเถ้าแก่หวังมากขอรับ”ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม พอออกมาจากตำบลได้ราวสองลี้ ลั่วฝานก็พลันสังเกตเห็นว่ามีคนติดตามอยู่รอบ ๆลั่วฝานสงสัยอย่างมากว่า เมื่อครู่เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชจงใจถ่วงเวลา ทำให้ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันได้“เถ้าแก่ ไม่น่าไว้วางใจเลยขอรับ” จางเหลียวขมวดคิ้ว กวาดตามองไปรอบทิศ“มีอันใดหรือ? มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“ด้านหน้าคล้ายกับมีคนอยู่ขอรับ อาจจะเป็นพวกโจรป่าดักปล้น” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของจางเหลียว ลั่วฝานก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้า พลันเห็นคบเพลิงสี่ห้าอันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนช่วงเวลาเช

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 26

    ธัญพืชสิบสือ ก็คือหนึ่งพันชั่งในยุคโบราณ นี่ถือเป็นการค้าที่ใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ร้านขายธัญพืชเองก็ใช่ว่าจะหาธัญพืชจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ง่าย ๆ“เถ้าแก่ รอไม่ได้ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายเพราะภัยสงคราม ยามค่ำคืนเกรงว่าจะมีพวกโจรออกอาละวาด” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเตือนสติลั่วฝานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เถ้าแก่ ตอนนี้ท่านมีธัญพืชอยู่เท่าใด?”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชกล่าวว่า “มีธัญพืชไม่ถึงสามสือขอรับ หากพวกท่านต้องการ ข้าก็สามารถขายให้พวกท่านได้ทั้งหมด”ธัญพืชสามสือก็ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีคนกินข้าวอยู่สิบกว่าชีวิต ในแต่ละวันต้องบริโภคข้าวสารสิบกว่าชั่ง สามสือก็พอจะประทังไปได้หนึ่งเดือนทว่า ในขณะที่ลั่วฝานกำลังคิดจะจ่ายเงินแล้วกลับเข้าเมืองนั้นเอง เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชก็พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีธัญพืชมาส่งอีกชุดหนึ่งแล้วขอรับ ท่านรออีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็พอ น่าจะมีสักประมาณห้าสือ”หนึ่งชั่วยามหรือ? ลั่วฝานหันไปมองจางเหลียว แล้วกล่าวว่า “จะสามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันก่อนฟ้ามืดได้หรือไม่?”จางเหลียวเงยหน้ามองดูสีของท้องฟ้า พยักหน้าแล้วตอบว่า “ก็น่าจะทันอยู่ขอรับ”เม

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 25

    “ออกไปนอกเมืองหรือขอรับ?” สีหน้าของจางเหลียวตกตะลึง“มีอันใดหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“เถ้าแก่ ท่านอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้ด้านนอกเมืองหย่งอันวุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ ได้ยินมาว่าด่านชายแดนถูกตีแตกแล้ว ช่วงนี้จึงมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่ที่นอกเมือง” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“ผู้อพยพ?” ลั่วฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ฉายแววระมัดระวังขึ้นมา“พวกเราจำเป็นต้องออกไปนอกเมืองจริง ๆ หรือขอรับ?” จางเหลียวเอ่ยถามลั่วฝานพยักหน้า “เจ้าก็รู้ว่าราคาข้าวสารอาหารแห้งในเมืองมันแพงเพียงใด คนสิบกว่าชีวิตต้องกินต้องใช้ ธัญพืชถือเป็นรายจ่ายก้อนโตทีเดียว”หากคิดจะประหยัดต้นทุน ก็ทำได้เพียงออกไปรับซื้อธัญพืชตามหมู่บ้านนอกเมืองเท่านั้น แต่ตอนนี้ด้านนอกเมืองมีผู้อพยพอยู่ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดลั่วฝานก็ยังคงตัดสินใจที่จะออกไปนอกเมืองความมั่งคั่งย่อมต้องเสาะหามาจากในภยันตราย หากปราศจากความกล้า ก็อย่าได้คิดทำการใหญ่“พวกเราฟังเถ้าแก่ขอรับ” จางเหลียวกล่าวลั่วฝานพยักหน้า เตรียมตัวจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังเดินกลับไปบอกจูอีโหรวว่า “ตอนกลางวันข้า

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status