Share

บทที่ 7

Author: หมึกย้อมแผ่นดิน
จูอีโหรวเห็นว่าข้าวต้มในถ้วยของจางหู่หมดแล้ว ก็รีบลุกขึ้นไปที่ห้องครัวเพื่อตักให้จางหู่อีกถ้วย

แต่เมื่อกลับมาที่โต๊ะ นางกลับไม่ได้ตักข้าวต้มให้ตัวเอง

“เหตุใดเจ้าไม่ตักล่ะ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม

สายตาของจูอีโหรวฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ข้าไม่หิว”

ไม่หิว?

ลั่วฝานมองใบหน้าที่ซีดเหลืองของจูอีโหรว เห็นได้ชัดว่าขาดสารอาหาร นี่เรียกว่าไม่หิวหรือ?

ลั่วฝานไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินตรงไปที่ห้องครัวแล้วเปิดฝาหม้อออก พบว่าข้าวต้มข้างในเกือบจะถึงก้นหม้อแล้ว เห็นได้ชัดว่าจูอีโหรวกลัวว่าจะไม่พอกิน จึงไม่กล้าตักข้าวต้ม ไม่เพียงแต่จูอีโหรวเท่านั้น ข้าวต้มในถ้วยของอู่ชิงและซ่างกวนถิงก็ยังใสกว่าในถ้วยของลั่วฝานมาก

เห็นได้ชัดว่าเป็นข้าวต้มที่เติมน้ำเพิ่มเข้าไป

เมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจของลั่วฝานก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

เขาตักข้าวต้มเหลวๆ ครึ่งถ้วยยกออกไป ในหม้อยังเหลืออีกประมาณหนึ่งถ้วย คาดว่ายังไม่พอให้จางหู่กินคนเดียวด้วยซ้ำ

พอกลับมาที่ห้องโถง ลั่วฝานก็วางถ้วยข้าวต้มครึ่งถ้วยไว้ตรงหน้าตนเอง จากนั้นก็เลื่อนถ้วยเดิมของตนไปตรงหน้าจูอีโหรว

“เมื่อตอนเย็นข้าไปกินข้าวกับเถ้าแก่สวีมาจนอิ่มแปล้แล้ว ถ้วยนี้เจ้ากินเถอะ” ลั่วฝานกล่าวเสียงเรียบ

เพื่อให้จูอีโหรวเชื่อ เขายังแกล้งเรอออกมาทีหนึ่งด้วย

เมื่อมองข้าวต้มถ้วยใหญ่ตรงหน้า จูอีโหรวก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เชื่อคำพูดของลั่วฝาน นางก้มหน้าลงกินข้าวอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ที่หางตากลับมีน้ำตาคลอ

ทว่าในใจกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดี ลั่วฝานแอบเหลือบมองแวบหนึ่ง มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา

“หู่จื่อ มา ดื่มเหล้า!” ลั่วฝานเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่ยังซื้อเหล้ามาอีกสองไห

เห็นได้ชัดว่าจูอีโหรวประเมินปริมาณการกินของจางหู่ต่ำไป หากจางหู่กินแบบนี้ ข้าวต้มในบ้านยังไม่พอให้เขากินคนเดียวเลยด้วยซ้ำ แต่จางหู่คนนี้ก็ซื่อบื้อไปหน่อย เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว

ลั่วฝานจึงฉวยโอกาสตอนที่จางหู่กินข้าวต้มหมดอีกถ้วย และจูอีโหรวกำลังจะลุกขึ้นไปตักเพิ่ม รินเหล้าให้เขาจนเต็มถ้วยก่อน

ดื่มเหล้าเยอะๆ กินข้าวน้อยๆ !

พอจางหู่เห็นเหล้า ก็ลืมเรื่องกินไปทันที

เขายกถ้วยขึ้นมาดื่มกับลั่วฝาน

อย่าเห็นว่าจางหู่ตัวสูงใหญ่ แต่คอของเขากลับไม่แข็งเอาเสียเลย

สาเหตุหลักคือเหล้าที่หมักในยุคต้าเซิ่งนั้นมีดีกรีค่อนข้างต่ำ แถมราคายังแพง ชาวบ้านธรรมดาปีหนึ่งจะได้ดื่มสักกี่ครั้งกัน จึงไม่ได้ฝึกฝนจนคอแข็ง

จางหู่เพิ่งดื่มไปถ้วยเดียว หน้าก็แดงแล้ว

ลั่วฝานก็ยกถ้วยขึ้นมา ดื่มเหล้าขาวไปหนึ่งอึก เหล้าเพิ่งจะเข้าปาก เขาก็ขมวดคิ้วทันที ใบหน้าแสดงความรู้สึกทรมานออกมาเล็กน้อย

เหล้าในยุคต้าเซิ่งนี่รสชาติห่วยแตกชะมัด ทั้งขมทั้งฝาด! แถมยังมีกากอีกด้วย

สายตาของลั่วฝานพลันฉายประกายเจิดจ้า

“ทำเหล้า?”

ใบหน้าของลั่วฝานเผยความตื่นเต้นออกมา เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เหล้าในยุคโบราณล้วนหมักจากธัญพืช ดีกรีต่ำมาก อย่างมากก็พอ ๆ กับเบียร์ในยุคหลัง แถมรสชาติก็แย่สุดๆ ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด

ถ้าใช้วิธีการกลั่นในการผลิตเหล้า มันก็จะแตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่ดีกรีของเหล้าจะสูง แต่ความบริสุทธิ์ก็จะสูงด้วย รสชาติกลมกล่อมดื่มคล่องคอ กลิ่นหอมเข้มข้น

ดีกว่าเหล้าของยุคต้าเซิ่งไม่รู้กี่ล้านเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการกลั่นเหล้าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแค่นำเหล้าที่หมักแล้วมาสกัดด้วยอุณหภูมิสูง แอลกอฮอล์มีจุดเดือดอยู่ที่เจ็ดสิบแปดองศาเซลเซียส ส่วนน้ำมีจุดเดือดอยู่ที่หนึ่งร้อยองศา

ใช้ประโยชน์จากจุดเดือดที่แตกต่างกันของน้ำและแอลกอฮอล์ ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่างจุดเดือดทั้งสอง

ก็จะสามารถสกัดแอลกอฮอล์ออกมาได้

วัสดุสำหรับการกลั่นก็หาไม่ยาก เพียงแค่มีไหดินเผาไม่กี่ใบ และกระบอกไม้ไผ่เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อก็พอ

ลมกลางคืนพัดโชยมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ลั่วฝานหนาวสั่นไปชั่วขณะ แต่ใบหน้าก็ยังคงเผยความตื่นเต้นออกมาอย่างปกปิดไม่มิด ทันใดนั้น เขาก็ขมวดคิ้ว หันกลับไปมองที่ประตูรั้วเก่าๆ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่หน้าประตูมีเงาคนสามถึงห้าคนปรากฏขึ้น

คนที่นำหน้าเป็นชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งตัว มุมปากแสยะยิ้มอำมหิตออกมา

ด้านหลังชายหน้าบาก มีชายท่าทางหยาบโลนยืนอยู่สี่คน มองแวบแรกก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนักเลงอันธพาล

“ลั่วฝาน ได้ยินว่าเจ้าติดหนี้ซานโก่วสิบตำลึง? หนี้ที่เจ้าติดซานโก่วมันมอบให้ข้าแล้ว พูดมา? จะคืนเงินเมื่อไร?” ชายหน้าบากคนนี้คือหลี่หน้าบากนักเลงทวงหนี้ชื่อกระฉ่อนในละแวกนี้ ธุรกิจใต้สังกัดของเขาล้วนเป็นธุรกิจสีเทา

บังคับสตรีดีๆ ให้เป็นโสเภณี รับจ้างทวงหนี้ เรียกค่าคุ้มครอง ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน เขาทำหมด

เมื่อเห็นหลี่หน้าบาก จูอีโหรวและซ่างกวนถิงสตรีสองสามคนที่อยู่ในห้องก็หน้าซีดเผือดทันที หลบอยู่หลังประตูตัวสั่นเทาไปทั้งตัว

แต่อู่ชิงกลับคว้ามีดตัดฟืนด้ามหนึ่งมาซ่อนไว้ในอก

“พี่หลี่ ติดหนี้ก็ต้องจ่าย เป็นเรื่องที่ถูกต้อง” ลั่วฝานปั้นยิ้ม “หลักการนี้ข้ายังพอเข้าใจ นี่ไง วันนี้ข้าเพิ่งรวบรวมเงินได้ครบ”

ขณะพูด ลั่วฝานก็ล้วงเงินสิบตำลึงออกมา ยื่นให้หลี่หน้าบาก

แต่หลี่หน้าบากกลับแค่นหัวเราะ จ้องเขม็งไปที่ลั่วฝาน “ลั่วฝาน ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจที่ข้าพูด”

หลี่หน้าบากตบมือสองสามที เดินเข้ามาในห้องอย่างไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งข้างๆ

“ข้าหลี่หน้าบากมาทวงหนี้ ไม่เคยกลับไปมือเปล่า สิบตำลึงที่เจ้าติดซานโก่วเจ้าก็ให้มาแล้ว แล้วของข้าล่ะ?”

“ของท่าน?” ลั่วฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่? ถ้าไม่มีส่วนของข้า ข้าจะมาทวงเงินให้ซานโก่วทำไม? ทั่วทั้งเมืองหย่งอันต่างก็รู้ว่า ข้าหลี่หน้าบากไม่เคยทำเรื่องที่ไม่ได้ประโยชน์ ตามกฎแล้ว เจ้าติดหนี้ซานโก่วสิบตำลึง ก็ต้องให้ข้าสิบตำลึงด้วย”

ลั่วฝานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าหลี่หน้าบากจะไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ อ้าปากก็เรียกสิบตำลึง หากเขาขอค่าเหนื่อยสักหนึ่งหรือสองตำลึง ลั่วฝานก็อาจจะให้เขาไป

แต่พออ้าปากก็สิบตำลึง หนึ่งคือลั่วฝานไม่มีเงินมากขนาดนั้นในมือ และถึงแม้จะมี เขาก็ไม่ยอมตามอารมณ์แบบนี้

แต่ตอนนี้ลั่วฝานตัวคนเดียวไร้กำลังสนับสนุน ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่หลี่ ท่านก็รู้สถานการณ์ของข้าดี ข้าจะไปหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน เอาอย่างนี้ ข้าให้ท่านสองตำลึง ท่านก็ถือว่าให้เกียรติน้องชายก็แล้วกัน”

“สองตำลึง? เจ้าให้ขอทานหรือไร?”

สีหน้าของหลี่หน้าบากเย็นเยียบลงทันที น้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธ “ถ้าเจ้าไม่มีเงินก็ได้ ก็แค่ขายภรรยาคนงามของเจ้าสักคนหนึ่ง ก็มีเงินแล้วไม่ใช่หรือ?”

ลั่วฝานได้ยินดังนั้น หางตาก็ปรากฏความโกรธเคือง ในฐานะลูกผู้ชาย จะขายภรรยาได้อย่างไร?

ด้านหลังประตู จูอีโหรวและซ่างกวนถิงตัวสั่นเทาด้วยความกลัว พวกนางกลัวจริงๆ ว่าลั่วฝานจะยอมรับเงื่อนไขของหลี่หน้าบาก

“ลั่วฝาน พวกเราก็คนกันเอง เจ้าเขียนหนังสือหย่า ให้ข้าพาไปคนหนึ่ง พวกเราก็จบกัน”

เมื่อเห็นลั่วฝานไม่พูดอะไร หลี่หน้าบากก็ส่งสายตาให้ลูกน้องสี่คนที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้น ทั้งสี่คนก็ทำท่าทางกำหมัดเดินตรงเข้ามาหาจูอีโหรว

สายตาของลั่วฝานเย็นเยียบ กล่าวเสียงเย็น “ใครกล้าแตะต้องภรรยาข้า?”

จางหู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงลุกขึ้นยืนขวางลูกน้องทั้งสี่คนไว้

จางหู่ร่างสูงใหญ่กำยำ ให้ความรู้สึกกดดันอย่างมหาศาล

ลูกน้องทั้งสี่คนเห็นดังนั้น ก็ถูกข่มขวัญด้วยท่าทางของจางหู่ทันที พวกเขาชะงักฝีเท้า มองหน้ากันไปมา ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ

“ใครกล้าแตะต้องพี่ลั่วของข้า ข้าจะชกมันให้แบนเลย” เดิมทีจางหู่ก็เป็นคนหุนหันพลันแล่นอยู่แล้ว ประกอบกับดื่มเหล้าไปนิดหน่อย ตอนนี้ยิ่งไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น

“ผัวะ!”

จางหู่ต่อยลูกน้องคนหนึ่งกระเด็นออกไป จากนั้นก็แย่งถุงเงินในมือของหลี่หน้าบากมา

“เงินนี่ ในเมื่อเจ้าไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอาไปเลยสักแดงเดียว!”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 30

    ระยะเวลาในการแช่ไม้ไผ่ โดยทั่วไปยิ่งนานยิ่งดี กระดาษก็จะยิ่งอ่อนนุ่มแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เพื่อดึงดูดลูกค้า ลั่วฝานก็ยังยืนกรานที่จะแช่ไว้ครึ่งเดือน ถึงจะเริ่มขั้นตอนที่สองนั่นคือการนึ่ง“จางเหลียว หม่าเหลียง พยายามกำจัดสิ่งเจือปนออกไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่นิดเดียว” ลั่วฝานขมวดคิ้ว สั่งการหม่าเหลียงและจางเหลียวค่อนข้างมีความสามารถ อีกทั้งยังฉลาดมาก ส่วนจางหู่กลับดูซื่อ ๆ ไปบ้าง แต่ก็สามารถข่มขวัญคนที่คิดไม่ซื่อได้“เถ้าแก่ กระดาษของเรานี้เรียกว่าอะไรหรือขอรับ”หม่าเหลียงมองเยื่อไผ่ที่นึ่งไปแล้วสามครั้ง เอ่ยถามขึ้น“คิดไว้แล้ว เรียกว่ากระดาษเหวินหย่าเซวียน!”“จิ๊ ๆ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ”หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดการผลิตชุดใหม่ก็เสร็จสิ้น ผลิตได้ทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าแผ่น หักที่ต้องให้โรงกระดาษหยางจี้ห้าพันแผ่น ยังเหลืออีกห้าพันแผ่น ลั่วฝานตั้งใจจะเก็บไว้หาคู่ค้าเพิ่มอีกสักสองสามรายขนกระดาษหนึ่งหมื่นแผ่นขึ้นรถม้า ลั่วฝานพาหม่าเหลียงและจางหู่มุ่งหน้าไปยังเมืองลวี่วั่งออกจากบ้านแต่เช้า พอใกล้ถึงตอนเที่ยงก็มาถึงเมืองลวี่วั่ง ลั่วฝานอาศัยความทรงจำตามหาโรงก

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 29

    อีกทั้งลั่วฝานยังรู้ดีว่าหลี่หน้าบากไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้ได้ เป็นไปได้เพียงว่ามีคนว่าจ้างให้หลี่หน้าบากมาฆ่าคน“ให้ตายเถอะ เงินแท้ตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึง หลี่หน้าบากไปร่ำรวยมาจากไหนตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จางหู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความประหลาดใจเมื่อหวนนึกถึงเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชที่จงใจถ่วงเวลาเมื่อครู่ ลั่วฝานก็แสยะยิ้มเย็นชา “ดูท่าว่า พวกเขาคงวางแผนกันไว้ล่วงหน้าแล้ว คิดจะดักปล้นฆ่าพวกเรากลางทาง”“เถ้าแก่ ท่านหมายความว่าเถ้าแก่ร้านขายธัญพืชคนนั้นมีปัญหาหรือขอรับ?” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“จางเหลียว เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจ้ารู้จักกับเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช?” สีหน้าของจางหู่เปลี่ยนไปทันที ตวาดเสียงกร้าว“จางหู่” ลั่วฝานพูดขัดจางหู่ขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่จางเหลียว เมื่อครู่ในมือของจางเหลียวถือมีดตัดฟืน ทั้งยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา หากเขามีความคิดไม่ดี ข้าคงตายไปนานแล้ว”จางเหลียวประสานหมัดกล่าว “ขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ”จางหู่ตะโกนอย่างเดือดดาล “หากข้ารู้นะว่าไอ้สารเลวหน้าไหนมันคิดร้ายต่อพี่ชายของข้า ข้าจางหู่จะชกมันให้ตายไปเลย”“กลับเข้าเมืองก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อย ๆ คิ

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 28

    จากนั้นก็ทะยานพรวดขึ้น โถมเข้าใส่ม้าตัวนั้น ฉากต่อมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้างเห็นจางหู่กอดรวบหัวม้าไว้ คำรามลั่นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง!ม้าชั้นดีที่หนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันชั่ง ถูกจางหู่เหวี่ยงกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตรหัวหน้าโจรป่าที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถูกม้าทับอยู่ใต้ท้องในทันที กระอักเลือดออกมาคำโต ไม่นานก็สิ้นใจตายโจรป่าที่เหลืออีกสองสามคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงอย่างหนัก แววตาฉายแววหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัดจางหู่ในยามนี้ ในสายตาของพวกเขา ไม่ต่างอะไรไปจากอสูรสงครามตนหนึ่งเลย“จางหู่ ลั่วฝาน พวกเจ้าจงไปตายเสีย!” โจรป่าสองสามคนคำรามลั่น ควบม้าเงื้อดาบพุ่งเข้าใส่จางหู่ลั่วฝานเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นคนเหล่านี้รู้ชื่อของข้าได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักกัน?ลั่วฝานมัวแต่คิดไม่ตก พลันเห็นจางหู่คำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่คนทั้งห้าเห็นเพียงจางหู่พลิกตัวหลบคมดาบยาวที่ฟันเข้ามาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชกหมัดตรงเข้าที่ท้องของม้าอย่างจังม้าร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง ร่างกายอ่อนยวบ โซซัดโซเซล้มลงกับพื้นจางหู่ฉวยโอกาสนั้นจับโจรที่อยู่บนหลังม้า ทุ่มลงกับพื้นจนมึนงงไป

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 27

    เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชยิ้มประจบประแจง “นั่นน่ะสิขอรับ ใครบ้างจะไม่รู้ว่ากระดาษของเฉิงซินถังตระกูลหวังนั้นดีที่สุดในเมืองหย่งอัน ไอ้คนสิ้นไร้ไม้ตอกนั่นมันจะไปนับเป็นอะไรได้ ถึงกล้ามาแย่งธุรกิจกับตระกูลหวัง”“ฮ่า ๆ พูดได้ดี”ชายร่างผอมบางมองไปยังเถ้าแก่ร้านขายธัญพืช “เจ้าวางใจได้ ต่อไปธัญพืชของตระกูลหวังข้า จะให้เจ้าเป็นคนจัดหาให้”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นยินดีในทันที “ขอบคุณเถ้าแก่หวังมากขอรับ”ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม พอออกมาจากตำบลได้ราวสองลี้ ลั่วฝานก็พลันสังเกตเห็นว่ามีคนติดตามอยู่รอบ ๆลั่วฝานสงสัยอย่างมากว่า เมื่อครู่เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชจงใจถ่วงเวลา ทำให้ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันได้“เถ้าแก่ ไม่น่าไว้วางใจเลยขอรับ” จางเหลียวขมวดคิ้ว กวาดตามองไปรอบทิศ“มีอันใดหรือ? มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“ด้านหน้าคล้ายกับมีคนอยู่ขอรับ อาจจะเป็นพวกโจรป่าดักปล้น” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของจางเหลียว ลั่วฝานก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้า พลันเห็นคบเพลิงสี่ห้าอันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนช่วงเวลาเช

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 26

    ธัญพืชสิบสือ ก็คือหนึ่งพันชั่งในยุคโบราณ นี่ถือเป็นการค้าที่ใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ร้านขายธัญพืชเองก็ใช่ว่าจะหาธัญพืชจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ง่าย ๆ“เถ้าแก่ รอไม่ได้ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายเพราะภัยสงคราม ยามค่ำคืนเกรงว่าจะมีพวกโจรออกอาละวาด” จางเหลียวขมวดคิ้วมุ่นเตือนสติลั่วฝานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เถ้าแก่ ตอนนี้ท่านมีธัญพืชอยู่เท่าใด?”เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชกล่าวว่า “มีธัญพืชไม่ถึงสามสือขอรับ หากพวกท่านต้องการ ข้าก็สามารถขายให้พวกท่านได้ทั้งหมด”ธัญพืชสามสือก็ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีคนกินข้าวอยู่สิบกว่าชีวิต ในแต่ละวันต้องบริโภคข้าวสารสิบกว่าชั่ง สามสือก็พอจะประทังไปได้หนึ่งเดือนทว่า ในขณะที่ลั่วฝานกำลังคิดจะจ่ายเงินแล้วกลับเข้าเมืองนั้นเอง เถ้าแก่ร้านขายธัญพืชก็พลันกล่าวขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีธัญพืชมาส่งอีกชุดหนึ่งแล้วขอรับ ท่านรออีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็พอ น่าจะมีสักประมาณห้าสือ”หนึ่งชั่วยามหรือ? ลั่วฝานหันไปมองจางเหลียว แล้วกล่าวว่า “จะสามารถกลับไปถึงเมืองหย่งอันก่อนฟ้ามืดได้หรือไม่?”จางเหลียวเงยหน้ามองดูสีของท้องฟ้า พยักหน้าแล้วตอบว่า “ก็น่าจะทันอยู่ขอรับ”เม

  • พลิกชะตาคุณชายตกอับ   บทที่ 25

    “ออกไปนอกเมืองหรือขอรับ?” สีหน้าของจางเหลียวตกตะลึง“มีอันใดหรือ?” ลั่วฝานเอ่ยถาม“เถ้าแก่ ท่านอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้ด้านนอกเมืองหย่งอันวุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ ได้ยินมาว่าด่านชายแดนถูกตีแตกแล้ว ช่วงนี้จึงมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันอยู่ที่นอกเมือง” จางเหลียวขมวดคิ้วกล่าว“ผู้อพยพ?” ลั่วฝานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ฉายแววระมัดระวังขึ้นมา“พวกเราจำเป็นต้องออกไปนอกเมืองจริง ๆ หรือขอรับ?” จางเหลียวเอ่ยถามลั่วฝานพยักหน้า “เจ้าก็รู้ว่าราคาข้าวสารอาหารแห้งในเมืองมันแพงเพียงใด คนสิบกว่าชีวิตต้องกินต้องใช้ ธัญพืชถือเป็นรายจ่ายก้อนโตทีเดียว”หากคิดจะประหยัดต้นทุน ก็ทำได้เพียงออกไปรับซื้อธัญพืชตามหมู่บ้านนอกเมืองเท่านั้น แต่ตอนนี้ด้านนอกเมืองมีผู้อพยพอยู่ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดลั่วฝานก็ยังคงตัดสินใจที่จะออกไปนอกเมืองความมั่งคั่งย่อมต้องเสาะหามาจากในภยันตราย หากปราศจากความกล้า ก็อย่าได้คิดทำการใหญ่“พวกเราฟังเถ้าแก่ขอรับ” จางเหลียวกล่าวลั่วฝานพยักหน้า เตรียมตัวจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังเดินกลับไปบอกจูอีโหรวว่า “ตอนกลางวันข้า

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status