หน้าหลัก / รักโบราณ / พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ / บทที่ 2 แสงสว่างในความมืดมิด 2/2

แชร์

บทที่ 2 แสงสว่างในความมืดมิด 2/2

ผู้เขียน: กะปอมพ่นไฟ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-24 20:13:39

"เจ้าฉลาดนัก สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของพ่อ"

"เช่นนั้นข้าจะกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมนะเจ้าคะท่านพ่อ"

"เจ้าไม่เสียใจหรือ"

"ไม่เจ้าค่ะ!"

น้ำเสียงอันหนักแน่นของจางเสี่ยวมี่ทำให้จางอี้อินรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เขารู้ดีว่านางต้องอดกลั้นมากเพียงใดเมื่ออยู่ภายในจวนหลังนี้ ในเมื่อมีหนทางที่จะทำให้นางมีความสุขเพิ่มมากขึ้น เขาก็พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่

"เจ้าวางใจเถิด พ่อจะส่งคนไปดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องเงินทองก็ไม่ต้องนึกกังวลใจไป ไม่ว่าเจ้าอยากจะทำสิ่งใดพ่อล้วนสนับสนุนเจ้าทุกเมื่อ ขอเพียงให้เจ้าเขียนจดหมายมาหาพ่อกับอาหย่งบ้างก็ยังดี"

"เจ้าค่ะท่านพ่อ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"

จางเสี่ยวมี่ยอบกายลงคารวะแล้วจึงเดินจากไปในทันที ในตอนที่นางกลับมายังเรือนของตน น้ำตาหยดหนึ่งก็พลันไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ความห่วงใยและความรักของผู้เป็นพ่อนางรู้ซึ้งเป็นอย่างดีเลย

เจ็ดวันต่อมา

ขบวนรถม้าอันหรูหราที่มีตราประทับของจวนตระกูลจางก็ได้เคลื่อนขบวนออกสู่เมืองหลวงในยามเช้าตรู่ ทหารรักษาประตูเอ่ยถามผู้คุ้มกันตามหน้าที่ของตน ด้วยเวลานี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกตินัก เขาจำเป็นต้องตรวจค้นและสอบถามรถม้าทุกคันที่ออกไปจากเมืองหลวง

"ช้าก่อน! ในรถม้าคือผู้ใด แล้วจะไปที่ใดกัน"

"ในรถม้าคือคุณหนูใหญ่จางเสี่ยวมี่แห่งจวนท่านเสนาบดีกรมคลัง ข้ามีหน้าที่คุ้มกันคุณหนูใหญ่ไปส่งยังเมืองอู่เฉิง เนื่องจากคุณหนูใหญ่สุขภาพไม่ดีนักจำต้องไปพักฟื้นที่ที่อากาศอบอุ่นมากกว่านี้ขอรับ"

"เช่นนั้นรบกวนคุณหนูจางลงมาจากรถม้าด้วยขอรับ ข้าน้อยจำเป็นต้องตรวจค้นรถม้าทุกคันตามหน้าที่"

"พี่ชาย...ท่านสามารถตรวจค้นรถม้าได้ตามสะดวก แต่คุณหนูของข้าเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ยังมิออกเรือน การลงมาจากรถม้าเห็นทีจะไม่สมควรกระมัง ท่านคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่"

'อาซ่ง' ผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันลอบหยิบก้อนทองให้นายทหารเพื่อให้เปิดทาง เขารับมามองด้วยรอยยิ้มพึงพอใจก่อนจะพยักหน้า จวนตระกูลจางของท่านเสนาบดีคงไม่มีสิ่งใดที่ต้องสงสัย และตัวเขาก็เป็นเพียงผู้น้อยหากล่วงเกินผู้มีอำนาจมีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเสียเปล่า ๆ

"รถม้าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยขอรับ"

นายทหารชั้นผู้น้อยที่ตรวจค้นรถม้าคันอื่นเสร็จได้เอ่ยขึ้นมา เมื่อได้ยินเช่นนั้นนายทหารผู้นี้จึงไม่คิดสงสัยสิ่งใดอีก

"เข้าใจแล้ว เปิดประตูได้!"

ขบวนรถม้ากว่าสี่คันจึงได้เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองอู่เฉิงตามกำหนดการเดิม

"มีสิ่งใดหรือ?"

จางเสี่ยวมี่เอ่ยถามสารภีด้วยความสงสัย การหยุดรถม้าครานี้ใช้เวลานานกว่าปกตินัก

"ได้ยินว่าทางการกำลังเร่งจับตัวคนร้ายที่เข้ามาทำร้ายตระกูลขุนนางขั้นสี่ขอรับคุณหนู เมื่อครู่นี้ทหารจึงต้องตรวจค้นรถม้าของเราอย่างละเอียดขอรับ"

"เช่นนี้เอง...หวังว่าจะจับตัวคนร้ายได้ในเร็ววันนะ"

จางเสี่ยวมี่พึมพำเสียงเบา นางค้นในความทรงจำเดิมก็พอจำได้ว่ามีเหตุการณ์ที่จวนขุนนางถูกปล้นฆ่า แต่ได้ยินว่าสุดท้ายแล้วก็สามารถจับคนร้ายได้ ที่น่าตกใจก็คือคนบงการที่อยู่เบื้องหลังหาใช่คนอื่นคนไกลไม่ แต่กลับเป็นสหายที่รู้ใจกันมานานนับปี เพราะความอิจฉาริษยาและความโลภแท้ ๆ เชียวถึงกับสังหารสหายที่รู้ใจกันได้ ต้องชื่นชมในความสามารถของคนผ๔้นั้นผู้นั้นที่ตามจับคนร้ายมาจนได้!

หญิงสาวเปิดหน้าต่างรถม้าก่อนจะยื่นใบหน้าออกไปด้านนอกเล็กน้อย นางเหลียวหลังกลับไปมองประตูเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย เพราะการจากไปในครั้งนี้นางคงไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาอีกครั้งเป็นแน่...

เหนือขึ้นไปที่ป้อมกำแพงเมืองอันสูงใหญ่นั้นได้มีบุรุษผู้หนึ่งยืนนิ่งดั่งหินผา สายตาคมกริบดั่งนัยน์ตาเหยี่ยวมองไปทางหน้าต่างของรถม้า ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนตัวออกไปนั้น เขาก็ได้เห็นใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งที่ยื่นใบหน้าออกมา...

ดวงหน้าที่งดงามนี้สะกดสายตาให้เขาเผลอไผลไปชั่วสามลมหายใจ นางกำลังคลี่ยิ้มออกมาขณะที่มองประตูใหญ่ของเมืองหลวง รอยยิ้มของนางงดงามราวกับบุปผาแรกแย้มในวสันตฤดู แต่สายตาที่มองมานั้นหาได้ยิ้มด้วยไม่ เพราะรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาคู่สวยนี้เองที่ทำให้ภายในใจของเขารู้สึกคลางแคลงใจ ความสงสัยใคร่รู้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว...

"เรายังตามหาตัวคนร้ายไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ รถม้าที่ผ่านเข้าออกก็เป็นเพียงรถม้าธรรมดาเท่านั้น ไม่พบผู้ต้องสงสัยเลยพ่ะย่ะค่ะ"

บุรุษผู้นี้หันหน้าไปมองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เขาขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วผูกกันเป็นปมก่อนจะนึกสิ่งใดได้

"ขอทาน"

"พ่ะย่ะค่ะ?"

นายทหารผู้นั้นมีสีหน้างงงวย แค่คำเดียวที่พระองค์เอ่ยออกมาเขาหาเข้าใจไม่ องครักษ์ข้างกายผู้เป็นทั้งคนสนิทและสหายร่วมรบจึงได้กระแอมไอออกมา

"พระองค์หมายถึงให้ส่งทหารไปค้นหาตามแหล่งอาศัยของพวกขอทาน มิแน่ว่าคนร้ายอาจจะซ่อนตัวปะปนอยู่กับขอทานก็เป็นได้"

"อ้อ...เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

นายทหารผู้นั้นเผลอยิ้มออกมาก่อนจะล่าถอยไปทำตามคำสั่ง

'เฮ้อ...พระองค์ช่างประหยัดถ้อยคำเสียเหลือเกิน โชคดีนะที่ได้ท่านหย่งหมิ่นมาอธิบายแทน มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจทำงานได้เป็นแน่'

นายทหารผู้นั้นคร่ำครวญกับตัวเองในใจ ทุกคนในแคว้นอวี้ต่างรู้กันดีว่าพระองค์เป็นบุรุษที่พูดน้อยยิ่งนัก ทั้งยังมีกลิ่นอายที่แสนเย็นชาราวกับตกอยู่ในเหมันตฤดูด้วย หากไม่ใช่เพราะมีความจำเป็นเขาเองก็อยากจะหลีกหนีไปให้ไกลแสนไกลเช่นกัน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 5 นอนละเมอ 2/2

    เซียวจ้านอดจะรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ เขาพยายามแกะมือของตัวเองออกแต่เหมือนว่าหญิงสาวจะไม่ง่ายนัก สุดท้ายเขาจึงได้ขึ้นมานั่งบนเตียงเดียวกับนาง กายสูงพิงกับเตียงแล้วมองดูหญิงสาวข้างกายนอนหลับอย่างเป็นสุขนางช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดนัก ทั้งที่อยู่กับคนแปลกหน้าเช่นเขานางยังกล้าหลับลงได้อีก ทั้งยังจับมือเขาเอาไปแนบกับแก้มของนางด้วย ช่างเป็นสตรีที่น่าพิลึกนัก"อื้อ...ลูลู่ อย่า อื้อ..."จางเสี่ยวมี่นอนละเมอโดยฝันถึงลูลู่ เจ้าแมวน้อยตัวสีขาวที่เคยเลี้ยงเมื่อครั้งยังเป็นลูกหว้า เจ้าลูลู่นั้นชอบให้กอดเป็นอย่างมาก ทั้งยังชอบเข้ามาออเซาะออดอ้อนด้วย และนางก็จะชอบดึงเจ้าลูลู่มานอนกอดทุกค่ำคืนไป"เจ้า!"เซียวจ้านถึงกับเอ่ยสิ่งใดไม่ออก จู่ ๆ จางเสี่ยวมี่ก็ปีนขึ้นมานอนบนตัวของเขา แล้วมือของนางยังไม่อยู่นิ่งด้วย ทั้งลูบทั้งกอดหน้าอกของเขาเป็นพัลวัน เขาพยายามจะจับมือของนางให้ออกไป แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมปล่อยโดยง่าย เมื่อถูกเซียวจ้านขัดขวางนางก็ยิ่งกอดคอเขาแน่นขึ้น และในความฝันนั้นกำลังนั่งทานขนมกับลูลู่ จางเสี่ยวมี่จึงได้ตรงเข้ามางับที่ลำคอของเซียวจ้านอย่างแรงริมฝีปากเล็กกัดเข้าที่คอของเซียวจ้านอย่างแรงจนข

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 5 นอนละเมอ 1/2

    บทที่ 5นอนละเมอขณะที่จางเสี่ยวมี่นั่งอยู่บนหลังม้าโดยตกอยู่ในอ้อมกอดของเซียวจ้าน นางนั้นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก แผ่นหลังเล็กเกร็งจนรู้สึกเมื่อยขบเพราะการที่นั่งไม่สบายบนหลังม้า หากนับจากชาติก่อนจนถึงชาตินี้นี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้ ในชาติก่อนก็มุ่งแต่ทำงานโดยไม่ได้สนใจมองบุรุษใดเลย ส่วนในชาตินี้นางกับหวังหมิงผู้เป็นอดีตคู่หมั้นนั้น แม้แต่มือยังไม่เคยได้จับเลยสักครั้ง แต่ในตอนนี้เซียวจ้านผู้ที่นางเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกกำลังกักขังนางในอ้อมกอดของเขาเสียงหัวใจอันหนักแน่นมั่นคงของเซียวจ้านเต้นแรงจนแม้แต่จางเสี่ยวมี่ยังได้ยิน หญิงสาวยืดแผ่นหลังเล็กนั่งหลังตรงพยายามไม่ให้ตัวเองโดนตัวเขามากนัก แต่เหมือนว่าสวรรค์จะไม่เป็นใจนักเพราะเวลานี้ร่างกายของทั้งสองมันแนบชิดจนแทบจะหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่แล้ว"อย่าเกร็ง"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบา ๆ ข้างใบหูเล็ก ลมหายใจกรุ่นร้อนถูกพ่น มาถูกใบหูเล็กจนจางเสี่ยวมี่รู้สึกขนลุกซู่ "ข้าไม่ได้เกร็งเจ้าค่ะ""อืม..."เซียวจ้านจับสายบังเหียนม้าข้างเดียวแล้วบังคับม้าให้ผ่อนแรงวิ่งช้าลงกว่าปกติมาก ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับเอวเล็กคอ

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 4 บุรุษผู้ช่วยเหลือ 2/2

    หย่งหมิ่นที่เพิ่งจัดการเก็บกวาดพวกโจรข้างนอกได้เดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินไปตรวจสอบศพที่คาดว่าเป็นหัวหน้าโจรป่าที่พวกเขากำลังไล่ล่าอยู่"ตายแล้วขอรับนายท่าน""พูด!!"คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเป็นคำถาม จางเสี่ยวมี่ที่เพิ่งจะได้สติจึงได้เอ่ยตอบไขข้อข้องใจให้แก่ผู้ที่มาใหม่"ข้าถูกพวกมันจับตัวมาเจ้าค่ะ และเป็นข้าที่ใช้ปิ่นนี่สังหารมันด้วยตัวเอง สาวใช้ของข้าหลบหนีไปได้กำลังตามคนให้มาช่วยข้าเจ้าค่ะ""เอ่อ...เช่นนั้นแม่นางเป็นผู้ใดหรือขอรับ"หย่งหมิ่นเอ่ยถามแทนผู้เป็นนายที่ปากหนักเหลือเกิน ดูจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่าเบื้องหลังของสตรีผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่จางเสี่ยวมี่ลังเลเล็กน้อย แต่เพราะเห็นท่าทางของหย่งหมิ่นจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นทหาร และเมื่อกวาดสายตาไปทางด้านหลังก็เห็นว่ามีกลุ่มคนสวมใส่ชุดเกราะดั่งทหารชาญศึกที่นางเคยพบเมื่อชาติก่อน"ข้ามีนามว่าจางเสี่ยวมี่เป็นบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีกรมคลัง จางอี้อิน!""ฮ้า...ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าหย่งหมิ่นขอรับ"จางเสี่ยวมี่พยักหน้ารับ ก่อนที่สายตาจะหันไปมองบุรุษที่ยังถือดาบจ่อที่คอของนางอย

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 4 บุรุษผู้ช่วยเหลือ 1/2

    บทที่ 4บุรุษผู้ช่วยเหลือจางเสี่ยวมี่ที่เห็นว่าลูกน้องทั้งสองออกไปหมดแล้ว นางจึงได้คิดใช้โอกาสนี้ทำให้จื่อลู่หนีออกไปเพื่อตามคนมาช่วย และนางจะเป็นผู้ที่ถ่วงเวลาพวกมันไว้ที่นี่เอง เพราะหากจะหนีออกไปพร้อมกันทั้งสองก็เกรงว่าจะถูกจับได้ขึ้นมาเสียก่อนทันทีที่ไม่มีคนมาขวางทางแล้ว ชายผู้เป็นหัวหน้าก็ผลักร่างของจางเสี่ยวมี่ล้มตัวนอนกับเสื่อผืนเก่าทันที ตามด้วยร่างกายกำยำที่ทาบทับลงมาไม่ห่าง จมูกโด่งสูงซุกไซ้ดอมดมที่ลำคอระหงด้วยความหลงใหล ในจังหวะที่มันกำลังมัวเมาเพราะกลิ่นกายสาวอยู่นั้นมันกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดตรงบริเวณลำคอ"โอ๊ย!!"มันค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองก่อนจะฟุบลงแน่นิ่งไป ปิ่นทองในมือที่ถูกดึงออกมาจากมวยผมปักเข้าไปที่ลำคอหนาของมันอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลกระฉูดออกมาเป็นสาย ตรงตำแหน่งที่จางเสี่ยวมี่แทงไปนั้นคือเส้นเลือดใหญ่พอดี ทำให้มันแน่นิ่งไปในบัดดลไม่ทันได้ทำร้ายนางได้อีก จางเสี่ยวมี่รีบผลักร่างที่ไร้วิญญาณของมันล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างรังเกียจ ทั้งยังเอาผ้าเช็ดหน้าที่เก็บไว้เช็ดคราบน้ำลายอันน่าขยะแขยงที่ลำคอขาวจนแดงเถือกด้วย สีหน้าของนางนั้นสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งใดจื่อลู่

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 3 คนร้ายในเงามืด 2/2

    "ระ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ"จื่อลู่พยายามขยับข้อมือของตน แต่ยิ่งนางขยับมากเท่าใดเชือกก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้อบอบบางนั่น"เจ้าอย่าเพิ่งได้ร้อนใจไป ที่พวกมันจับพวกเรามาโดยยังไม่สังหารคงต้องการสิ่งใดเป็นแน่ ข้าจะลองเจรจากับพวกมันดูก่อนและถ้ามีโอกาสเจ้ารีบวิ่งหนีออกไปเลยนะจื่อลู่"นางบุ้ยหน้าไปทางบานหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกลนัก คาดคะเนจากสายตาคิดว่าจื่อลู่คงจะกระโดดหนีออกจากทางหน้าต่างได้โดยง่าย"บ่าวจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ บ่าวไม่มีวันทิ้งคุณหนูเป็นอันขาดเจ้าค่ะ""ข้าให้เจ้าไปตามคนมาช่วยต่างหากเล่า เจ้าวิ่งไวกว่าข้ามากนัก และหากข้าคิดไม่ผิดพวกมันคงต้องการตัวข้ามากกว่าเจ้าที่เป็นสาวใช้เป็นแน่""คุณหนู...""นี่คือคำสั่ง! เข้าใจหรือไม่"จางเสี่ยวมี่จ้องเขม็งด้วยสายตาคมดุ นางไม่หวั่นหากจะต้องตายอีกครั้ง แต่กับจื่อลู่นั้นไม่เหมือนกัน...ราวกับพวกโจรมันรู้ว่าพวกนางฟื้นขึ้นมาแล้วจึงได้พากันเดินเข้ามาสองคน ชายผู้เป็นหัวหน้าย่างกรายเข้ามาใกล้จางเสี่ยวมี่กับจื่อลู่ที่นั่งอยู่มุมห้องโถงของวัดร้าง มันแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมด้วยความชั่วร้าย พร้อมกับใช้สายตาโลมเลียกวาดตามองไปทั่วเรือนร่างของจางเสี่

  • พลิกชะตาคุณหนูใหญ่ผู้อาภัพ   บทที่ 3 คนร้ายในเงามืด 1/2

    บทที่ 3คนร้ายในเงามืดรถม้าของจวนตระกูลจางเคลื่อนไปยังปลายทางอย่างไม่เร่งรีบนัก ถนนหนทางก็สะดวกสบายค่ำไหนก็นอนพักที่เมืองนั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเข้าสู่วันที่สิบของการเดินทาง ในตอนที่พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าและขบวนรถม้ายังไม่ได้ออกจากป่าไผ่ ผู้คุ้มกันจึงเล็งเห็นว่าควรหยุดพักที่จุดหยุดพักที่นี่ก่อน หากจะเดินทางต่อในยามกลางคืนก็อันตรายนัก เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายก็เป็นได้"คุณหนูขอรับ คืนนี้เราคงต้องหยุดพักกันที่นี่ก่อนคงต้องรบกวนคุณหนูนอนในรถม้าสักหนึ่งคืนแล้วล่ะขอรับ"อาซ่งเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ เขาเกรงว่าคุณหนูอาจจะไม่พอใจแล้วพาลบันดาลโทสะเฉกเช่นคุณหนูในห้องหอผู้อื่น"เข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ก่อไฟกองใหญ่ ๆ ไว้ด้วยเล่า แล้วผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้ายามในตอนกลางคืนด้วย""ขอรับคุณหนู"อาซ่งพลันรู้สึกโล่งใจที่คุณหนูของเขาว่าง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก ทั้งยังรอบคอบในเรื่องเวรยามเสียด้วย เช่นนี้การเดินทางไปเมืองอู่เฉิงเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเสียงของฟืนดังปะทุเป็นระยะเพราะโดนไฟกิน กองไฟกองใหญ่ถูกก่อขึ้นกลางที่พักที่ให้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เสียงนกร้องและเสียง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status