"เจ้าฉลาดนัก สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของพ่อ"
"เช่นนั้นข้าจะกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมนะเจ้าคะท่านพ่อ"
"เจ้าไม่เสียใจหรือ"
"ไม่เจ้าค่ะ!"
น้ำเสียงอันหนักแน่นของจางเสี่ยวมี่ทำให้จางอี้อินรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เขารู้ดีว่านางต้องอดกลั้นมากเพียงใดเมื่ออยู่ภายในจวนหลังนี้ ในเมื่อมีหนทางที่จะทำให้นางมีความสุขเพิ่มมากขึ้น เขาก็พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่
"เจ้าวางใจเถิด พ่อจะส่งคนไปดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องเงินทองก็ไม่ต้องนึกกังวลใจไป ไม่ว่าเจ้าอยากจะทำสิ่งใดพ่อล้วนสนับสนุนเจ้าทุกเมื่อ ขอเพียงให้เจ้าเขียนจดหมายมาหาพ่อกับอาหย่งบ้างก็ยังดี"
"เจ้าค่ะท่านพ่อ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"
จางเสี่ยวมี่ยอบกายลงคารวะแล้วจึงเดินจากไปในทันที ในตอนที่นางกลับมายังเรือนของตน น้ำตาหยดหนึ่งก็พลันไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ความห่วงใยและความรักของผู้เป็นพ่อนางรู้ซึ้งเป็นอย่างดีเลย
เจ็ดวันต่อมา
ขบวนรถม้าอันหรูหราที่มีตราประทับของจวนตระกูลจางก็ได้เคลื่อนขบวนออกสู่เมืองหลวงในยามเช้าตรู่ ทหารรักษาประตูเอ่ยถามผู้คุ้มกันตามหน้าที่ของตน ด้วยเวลานี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกตินัก เขาจำเป็นต้องตรวจค้นและสอบถามรถม้าทุกคันที่ออกไปจากเมืองหลวง
"ช้าก่อน! ในรถม้าคือผู้ใด แล้วจะไปที่ใดกัน"
"ในรถม้าคือคุณหนูใหญ่จางเสี่ยวมี่แห่งจวนท่านเสนาบดีกรมคลัง ข้ามีหน้าที่คุ้มกันคุณหนูใหญ่ไปส่งยังเมืองอู่เฉิง เนื่องจากคุณหนูใหญ่สุขภาพไม่ดีนักจำต้องไปพักฟื้นที่ที่อากาศอบอุ่นมากกว่านี้ขอรับ"
"เช่นนั้นรบกวนคุณหนูจางลงมาจากรถม้าด้วยขอรับ ข้าน้อยจำเป็นต้องตรวจค้นรถม้าทุกคันตามหน้าที่"
"พี่ชาย...ท่านสามารถตรวจค้นรถม้าได้ตามสะดวก แต่คุณหนูของข้าเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ยังมิออกเรือน การลงมาจากรถม้าเห็นทีจะไม่สมควรกระมัง ท่านคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่"
'อาซ่ง' ผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันลอบหยิบก้อนทองให้นายทหารเพื่อให้เปิดทาง เขารับมามองด้วยรอยยิ้มพึงพอใจก่อนจะพยักหน้า จวนตระกูลจางของท่านเสนาบดีคงไม่มีสิ่งใดที่ต้องสงสัย และตัวเขาก็เป็นเพียงผู้น้อยหากล่วงเกินผู้มีอำนาจมีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเสียเปล่า ๆ
"รถม้าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยขอรับ"
นายทหารชั้นผู้น้อยที่ตรวจค้นรถม้าคันอื่นเสร็จได้เอ่ยขึ้นมา เมื่อได้ยินเช่นนั้นนายทหารผู้นี้จึงไม่คิดสงสัยสิ่งใดอีก
"เข้าใจแล้ว เปิดประตูได้!"
ขบวนรถม้ากว่าสี่คันจึงได้เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองอู่เฉิงตามกำหนดการเดิม
"มีสิ่งใดหรือ?"
จางเสี่ยวมี่เอ่ยถามสารภีด้วยความสงสัย การหยุดรถม้าครานี้ใช้เวลานานกว่าปกตินัก
"ได้ยินว่าทางการกำลังเร่งจับตัวคนร้ายที่เข้ามาทำร้ายตระกูลขุนนางขั้นสี่ขอรับคุณหนู เมื่อครู่นี้ทหารจึงต้องตรวจค้นรถม้าของเราอย่างละเอียดขอรับ"
"เช่นนี้เอง...หวังว่าจะจับตัวคนร้ายได้ในเร็ววันนะ"
จางเสี่ยวมี่พึมพำเสียงเบา นางค้นในความทรงจำเดิมก็พอจำได้ว่ามีเหตุการณ์ที่จวนขุนนางถูกปล้นฆ่า แต่ได้ยินว่าสุดท้ายแล้วก็สามารถจับคนร้ายได้ ที่น่าตกใจก็คือคนบงการที่อยู่เบื้องหลังหาใช่คนอื่นคนไกลไม่ แต่กลับเป็นสหายที่รู้ใจกันมานานนับปี เพราะความอิจฉาริษยาและความโลภแท้ ๆ เชียวถึงกับสังหารสหายที่รู้ใจกันได้ ต้องชื่นชมในความสามารถของคนผ๔้นั้นผู้นั้นที่ตามจับคนร้ายมาจนได้!
หญิงสาวเปิดหน้าต่างรถม้าก่อนจะยื่นใบหน้าออกไปด้านนอกเล็กน้อย นางเหลียวหลังกลับไปมองประตูเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย เพราะการจากไปในครั้งนี้นางคงไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาอีกครั้งเป็นแน่...
เหนือขึ้นไปที่ป้อมกำแพงเมืองอันสูงใหญ่นั้นได้มีบุรุษผู้หนึ่งยืนนิ่งดั่งหินผา สายตาคมกริบดั่งนัยน์ตาเหยี่ยวมองไปทางหน้าต่างของรถม้า ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนตัวออกไปนั้น เขาก็ได้เห็นใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งที่ยื่นใบหน้าออกมา...
ดวงหน้าที่งดงามนี้สะกดสายตาให้เขาเผลอไผลไปชั่วสามลมหายใจ นางกำลังคลี่ยิ้มออกมาขณะที่มองประตูใหญ่ของเมืองหลวง รอยยิ้มของนางงดงามราวกับบุปผาแรกแย้มในวสันตฤดู แต่สายตาที่มองมานั้นหาได้ยิ้มด้วยไม่ เพราะรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาคู่สวยนี้เองที่ทำให้ภายในใจของเขารู้สึกคลางแคลงใจ ความสงสัยใคร่รู้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว...
"เรายังตามหาตัวคนร้ายไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ รถม้าที่ผ่านเข้าออกก็เป็นเพียงรถม้าธรรมดาเท่านั้น ไม่พบผู้ต้องสงสัยเลยพ่ะย่ะค่ะ"
บุรุษผู้นี้หันหน้าไปมองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา เขาขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วผูกกันเป็นปมก่อนจะนึกสิ่งใดได้
"ขอทาน"
"พ่ะย่ะค่ะ?"
นายทหารผู้นั้นมีสีหน้างงงวย แค่คำเดียวที่พระองค์เอ่ยออกมาเขาหาเข้าใจไม่ องครักษ์ข้างกายผู้เป็นทั้งคนสนิทและสหายร่วมรบจึงได้กระแอมไอออกมา
"พระองค์หมายถึงให้ส่งทหารไปค้นหาตามแหล่งอาศัยของพวกขอทาน มิแน่ว่าคนร้ายอาจจะซ่อนตัวปะปนอยู่กับขอทานก็เป็นได้"
"อ้อ...เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
นายทหารผู้นั้นเผลอยิ้มออกมาก่อนจะล่าถอยไปทำตามคำสั่ง
'เฮ้อ...พระองค์ช่างประหยัดถ้อยคำเสียเหลือเกิน โชคดีนะที่ได้ท่านหย่งหมิ่นมาอธิบายแทน มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจทำงานได้เป็นแน่'
นายทหารผู้นั้นคร่ำครวญกับตัวเองในใจ ทุกคนในแคว้นอวี้ต่างรู้กันดีว่าพระองค์เป็นบุรุษที่พูดน้อยยิ่งนัก ทั้งยังมีกลิ่นอายที่แสนเย็นชาราวกับตกอยู่ในเหมันตฤดูด้วย หากไม่ใช่เพราะมีความจำเป็นเขาเองก็อยากจะหลีกหนีไปให้ไกลแสนไกลเช่นกัน
ตอนพิเศษ 7 ความจริงใจของสุ่ยเหอหมิง คล้อยหลังจากที่สุ่ยเหอหมิงจากไปไกลแล้ว อวี้เซียวจ้านที่เห็นและได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองจึงได้เดินออกมาจากที่ซ่อน เขาเดินเข้ามานั่งข้างจางเสี่ยวมี่แล้วกอดนางเอาไว้แนบอก หัวใจของผู้เป็นพ่ออดจะรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาเสียไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งยินดีและรู้สึกใจหาย ราวกับหัวใจได้ถูกฉุดกระชากของไปจากมือที่มองไม่เห็น "น้องหญิง พี่ทำดีแล้วใช่หรือไม่" "เจ้าค่ะ ท่านพี่ทำดีที่สุดแล้ว เจียวเอ๋อร์เราโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว เราเป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าดู และพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างนางเจ้าค่ะ" "เฮ้อ...พี่รู้สึกปวดใจนักที่อาจจะต้องสูญเสียเจียวเอ๋อร์ไป พี่ยังรู้สึกว่านางยังเด็กเกินไปเลย" ผู้เป็นฮ่องเต้งอแงกับความจริงในข้อนี้ หรือเขาควรจะกีดกันสุ่ยเหอหมิงดี "ท่านพี่...ลูกโตแล้วนะเจ้าคะ ลูกควรจะเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ท่านพี่รู้ใช่หรือไม่ว่าชีวิตก่อนของเจียวเอ๋อร์นั้นมันสาหัสเพียงใดสำหรับนาง" "พี่รู้ดี พี่ถึงอยากให้เจียวเอ๋อร์มีความสุขอย่างไรเล่า" อวี้เซียวจ้านเอ่ยเสียงอ่อนลง เขายอมจำนนแล้ว ที่เหลือก็คงอยู่ที่ความสามาร
ตอนพิเศษ 6ฝ่าด่านจากเหล่าบุรุษตระกูลอวี้มื้อเย็นวันนี้ที่ตำหนักคุนหนิงล้วนอบอวลไปด้วยความรักและเสียงหัวเราะ อวี้เซียวจ้านคอยคีบอาหารให้กับจางเสี่ยวมี่ตลอดเวลา ทางด้านสององค์ชายก็คอยเอาอกเอาใจเสด็จพี่หญิงของตนด้วยกันทั้งคู่ จางเสี่ยวมี่ที่นั่งทานอาหารอยู่นั้นพลางจับสังเกตสีหน้าของอวี้หนิงเจียวได้ แม้ว่านางจะพยายามพูดคุยหัวเราะกับอวี้หนิงเฉิงและอวี้หนิงหวง แต่ในแววตาคู่นั้นกลับฉาบด้วยความสับสนและครุ่นคิดตลอดเวลา"เจียวเอ๋อร์มีสิ่งใดหรือไม่ แม่รู้สึกว่าเจียวเอ๋อร์ดูกังวลใจตลอดเวลา หรือว่าอาการขององค์รัชทายาทไม่ค่อยสู้ดีนัก"ทุกคนที่นั่งล้อมรอบต่างวางตะเกียบแล้วหันมามองอวี้หนิงเจียวเป็นตาเดียว คิ้วกระบี่สามคู่ขมวดมุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน"เอ่อ...อาการขององค์รัชทายาททรงดีขึ้นมากแล้วเพคะ รักษาตัวอีกไม่นานก็จะกลับมาหายเป็นปกติแล้วเพคะ""เช่นนั้นลูกกังวลสิ่งใดเล่า"อวี้เซียวจ้านเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาเองก็สังเกตได้ว่าสีหน้าของอวี้หนิงเจียวนั้นราวกับคนที่มีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอดเวลา"หรือว่าองค์รัชทายาทนั่นทำสิ่งใดให้เสด็จพี่หญิงไม่พอพระทัยกันพ่ะย่ะค่ะ" อวี้หนิงหวงโผงขึ้นมาบ้าง"เอ่อ...คือ
ตอนพิเศษ 5เกี้ยวดวงใจของแคว้นอวี้อวี้หนิงหวงมองดูพี่สาวด้วยความรู้สึกโล่งอก เขากับพี่ชายอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ อีกไม่นานหลังจากองค์รัชทายาทผู้นี้รักษาตัวหายดีแล้ว เขาก็ต้องกลับไปยังแคว้นสุ่ย เมื่อถึงตอนนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พบเจอกันอีก เสด็จพี่หญิงใหญ่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่สนใจในตัวองค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาสง่างามผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้ยินว่านางไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อน เขาก็พลอยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ท่าทีของเขาจึงผ่อนคลายลงไปด้วย"วางใจแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว""พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่หญิง เช่นนั้นข้าจะออกไปรอข้างนอก มื้อเย็นวันนี้เราจะได้ไปร่วมโต๊ะเสวยกับเสด็จแม่ด้วยดีหรือไม่ เสด็จแม่ทรงบ่นหาเสด็จพี่หญิงใหญ่นานหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ""เข้าใจแล้ว"อวี้หนิงเจียวอมยิ้มน้อย ๆ กับความเจ้ากี้เจ้าการของน้องชายคนเล็ก ก่อนที่นางจะหันมาสนใจคนเจ็บที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง มองเผิน ๆ คงคิดว่าเขายังคงหลับไม่ได้สติ แต่นางที่มีความรู้เรื่องการแพทย์ย่อมมองออกว่าเขารู้สึกตัวแล้ว"จะทรงแอบฟังอีกนานหรือไม่เพคะ องค์รัชทายาทสุ่ยเหอหมิง"เปลือกตาของบุรุษค่อย ๆ ขยับลืมขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีนิลดั่งพ
ตอนพิเศษ 4องค์หญิงใหญ่ผู้เข้มงวดสิบห้าปีผ่านไปวันเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กน้อยที่ไม่รู้ความเติบใหญ่กลายเป็นองค์หญิงใหญ่ที่มากความสามารถ รอบรู้ในศาสตร์แห่งสตรี เก่งกาจเรื่องสมุนไพร สามารถวินิจฉัยร่วมกับท่านหมอหลวงรักษาอาการของผู้คนได้ ใบหน้าส่อเค้าความงามอย่างโดดเด่นเฉกเช่นฮองเฮา แต่แววตากลับทอประกายแห่งความสุขุมเงียบขรึมเฉกเช่นฮ่องเต้ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่เย็นชาโหดเหี้ยมหาผู้ใดเทียบเทียม ทว่าจะมีเพียงฮองเฮาอันเป็นที่รักยิ่ง องค์หญิงใหญ่ องค์ชายใหญ่ และองค์ชายรองเท่านั้นที่จะได้รับความอ่อนโยนจากฮ่องเต้ทุกคนในแคว้นอวี้ต่างรู้กันดีว่าถ้าไม่อยากตายอย่างทุกข์ทรมาน ก็อย่าได้แตะต้องไข่มุกล้ำค่าบนพระหัตถ์ของฮ่องเต้อวี้เซียวจ้าน!นับจากวันที่องค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ถือกำเนิด องค์หญิงใหญ่ก็เกาะติดองค์ชายทั้งสองไม่ยอมห่างกายไปไหน กลายเป็นพี่เลี้ยงที่มีทั้งความอ่อนโยน และความเข้มงวดในตอนที่องค์ชายทั้งสองซุกซนเกินไป องค์ชายทั้งสองเชื่อฟังเสด็จพี่หญิงใหญ่ผู้นี้มากกว่าผู้ใด มากเสียยิ่งกว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่เสียอีก และไม่มีผู้ใดที่จะปราบพยศความซุกซนขององค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ นอกจ
ตอนพิเศษ 3กำเนิดองค์ชายนับตั้งแต่อวี้เซียวจ้านพาอวี้หนิงเจียวมาออกว่าราชการด้วยกันกว่าครึ่งปี องค์หญิงก็ได้เป็นที่รักของเหล่าขุนนางไปด้วย มีขุนนางไม่น้อยที่เอ็นดูองค์หญิงผู้นี้ยิ่งนัก บางคนก็นึกอยากจะให้บุตรชายของตนได้หมั้นหมายเกี่ยวดองกับองค์หญิงผู้เป็นที่รักของฮ่องเต้ แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของอวี้เซียวจ้าน"ทูลฝ่าบาท เมืองฝางในแดนใต้ได้เกิดโรคระบาดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังไม่ทราบที่มาของการเกิดโรค แต่กระหม่อมได้ส่งท่านหมอเข้าไปในพื้นที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ""สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง" บรรยากาศในท้องพระโรงพลันเคร่งเครียดขึ้นเมื่อเกิดเรื่องร้ายที่แดนใต้ เรื่องโรคระบาดนี้หากป้องกันไม่ดีจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้"มีชาวบ้านกว่าหนึ่งร้อยคนที่ติดโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการคือท้องเสีย ปวดท้อง ตัวเหลือง อ่อนแรง มีไข้ เล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่ยังโชคดีที่ยังไม่มีใครตายพ่ะย่ะค่ะ""หืม...ว่านราตรีม่วง"น้ำเสียงเล็กจากคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ได้เรียกความสนใจจากทุกคน"อะไรคือว่านราตรีม่วงหรือเจียวเอ๋อร์""ก็อาการที่บอกไงเพคะ เหมือนคนถูกพิษว่านรา
ตอนพิเศษ 2หนิงเจียวสร้างเรื่องบุตรสาวของเสนาบดีกรมโยธามีนามว่าโจวหลี่น่า นางได้มาเยือนวังหลังตามรับสั่งของฮ่องเต้ ทันทีที่นางเห็นองค์หญิงอวี้หนิงเจียวก็ได้มีความคิดชั่วร้ายออกมา หากนางสามารถเอาชนะใจองค์หญิงได้ ในวันข้างหน้านางก็จะต้องมีโอกาสอยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาทอย่างแน่นอน แต่นางคงจะคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้นี้จะฉลาดกว่าที่นางคิดไว้มาก และยังทำกับนางอย่างเจ็บแสบเสียด้วยอวี้หนิงเจียวมองดูผู้มาใหม่ที่จะมาเป็นเพื่อนเล่นให้กับนางด้วยความสงสัย ศีรษะเล็กเอียงคอมองก่อนจะเอ่ยถามออกมา"พี่สาวจะมาเล่นกับเจียวเอ๋อร์หรือ""ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาทเป็นผู้ส่งหม่อมฉันให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับองค์หญิงเพคะ""ทำไมล่ะ"จื่อลู่ที่คอยดูแลข้างกายไม่ห่างรู้สึกไม่ดีนัก นางมองดูสตรีผู้นี้ด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่ฮองเฮาบอกกับนางแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงมองดูอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว"ก็เพราะฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยในตัวหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ""อ้อ...ดี ๆ งั้นพี่สาวมาเล่นวิ่งไล่จับกับเจียวเอ๋อร์นะ""เพคะ"โจวหลี่น่าแย้มยิ้มกว้างด้วยความยินดี ก็แค่เล่นกับองค์หญิงที่ยังเยาว์วัย ไม่เห็นมีสิ่งใดที่ต้องน่าน่าหนักใจเลย องค