บทที่ 2
แสงสว่างในความมืดมิด
จางเสี่ยวมี่เตรียมเก็บข้าวของดั่งที่นางลั่นวาจาไว้กับมารดาจริง ๆ นางไม่เคยคิดเสียใจที่ทำเช่นนี้เลยสักนิดเดียว ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่านางหาได้มีสิ่งใดติดค้างต่อมารดาผู้นั้นไม่ แต่กลับเป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่มีสิ่งติดค้างกับเจ้าของร่างนี้ต่างหากเล่า
หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งยังโต๊ะหนังสือมุมหน้าต่างที่เปิดรับลมเอาไว้ นางหยิบกระดาษขึ้นมาพร้อมกับฝนหมึกแล้วเขียนเรื่องราวที่นางนึกออกในชีวิตก่อน เดิมทีนางหาใช่คนในยุคนี้ไม่แต่ชื่อเดิมของนางคือลูกหว้า เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ประกอบอาชีพเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางแบรนด์ดังในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง งานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดคือการนอนอ่านนิยายในวันหยุด แนวนิยายที่ชอบที่สุดก็คือแนวปลูกผัก แนวระบบทะลุมิติของนิยายจีนโบราณ
แต่แล้ววันหนึ่งในตอนที่นางกำลังข้ามทางม้าลายเมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรขึ้นเป็นสีเขียว จู่ ๆ ก็มีรถยนต์พุ่งเข้ามาชนอย่างแรงทำให้เสียชีวิตคาที่ทันที ความตายที่จู่โจมเข้ามากะทันหันนี้ยังเทียบไม่ได้กับการที่ได้รู้ว่าตัวเองมาเกิดใหม่ในร่างของคุณหนูใหญ่จางเสี่ยวมี่ คราแรกก็นึกดีใจและสนุกอยู่หรอกที่เกิดเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้กับตัวเอง
การใช้ชีวิตในจวนตระกูลจางก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย บิดารักใคร่เอ็นดู น้องชายก็น่ารักช่างออดอ้อน มีสาวใช้ข้างกายที่ซื่อสัตย์ภักดี แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคในความสุขนั่นคือมารดาที่เกลียดชังผู้นั้น ยิ่งค้นในความทรงจำเก่าของเจ้าของร่างเดิมก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ ความจริงที่ได้รับรู้ว่าเหตุใดมารดาถึงเกลียดชังนั้นมันเจ็บปวดมากมายนัก นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าของร่างเดิมได้ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองลงเพื่อชดใช้ความผิดในครั้งเยาว์วัย
จางเสี่ยวมี่คนใหม่ที่รู้เรื่องนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกัน นางจึงคิดว่าจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเพื่อเจ้าของร่างนี้ ในเมื่อมารดาเกลียดชังถึงเพียงนั้นก็อย่าได้อยู่ให้นางรู้สึกรกหูรกตาเลย ความฝันที่อยากจะเปิดร้านเครื่องสำอางเป็นของตัวเองจึงได้เริ่มต้นขึ้น!
ในชาติก่อนนางใช้ความรู้ที่มีมาประยุกต์เข้ากับวัตถุดิบของที่นี่จนสามารถมีร้านเครื่องประทินผิวของตนเองได้สำเร็จ กิจการรุ่งเรืองใหญ่โตจนขยายสาขาไปทั่วแคว้น ความมั่งคั่งนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก หลังจากสิ้นบิดาไปตระกูลจางของนางก็เริ่มตกอับลง ไร้อำนาจหนุนหลังดั่งเช่นกาลก่อน คนที่คิดร้ายก็ฉวยโอกาสนี้รังแกร้านเครื่องประทินผิวของนางจนต้องปิดกิจการลง ยิ่งนางเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียวยิ่งง่ายต่อการรังแก กว่าจะหาทางแก้ไขก็สายไปเสียแล้ว เพราะในคืนเดือนดับได้มีกลุ่มชายชุดดำกว่ายี่สิบคนเข้ามาลอบสังหารนางแล้วเผาจวนเพื่อทำลายหลักฐาน
ในชาตินั้นนางจึงต้องตายอย่างทุกข์ทรมานภายใต้พระเพลิงที่แผดเผาร่างกายของนางทั้งเป็น!
"คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ"
จางเสี่ยวมี่หลุดจากภวังค์ความคิดของตน นางกวาดสายตามองตัวหนังสือภาษาไทยที่มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่อ่านออก
'แต่งงานกับบุรุษที่มีอำนาจ!!'
"เข้าใจแล้ว"
จางเสี่ยวมี่พยักหน้าก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนพร้อมกับริมฝีปากเล็กเหยียดยิ้มขึ้นคราหนึ่ง ในชาติก่อนต้องตกตายเพราะผู้มีอำนาจ เช่นนั้นในชาติที่สามนี้นางก็จะขอพึ่งพิงผู้ที่มีอำนาจบ้าง ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้นางก็จะไม่ยอมตายอย่างน่าสมเพชเหมือนชาติก่อนเป็นอันขาด! ไม่วันเสียล่ะ!!
หญิงสาวผู้มีผิวกายดั่งหยกขาวมันแพะเดินไปยังห้องหนังสือด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง หากอิงจากในชาติก่อนนั้นผลสุดท้ายนางคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองอู่เฉิงดั่งเช่นชาติก่อน คราแรกที่ถูกหมั้นหมายกับหวังหมิงก็คิดไว้แล้วว่าชาตินี้คงไม่เหมือนเดิม แต่ไม่คาดว่าผลสุดท้ายนางก็ยังคงต้องไปอยู่ที่เมืองอู่เฉิงจนได้
เมืองอู่เฉิงที่เปรียบเสมือนบ้านที่แท้จริงของนาง เพราะที่นั่นนางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างผาสุก สร้างกิจการเป็นของตนเองและหลีกหนีสายตาที่มองมาอย่างเหยียดหยามของคนจากเมืองหลวงได้ แต่เมืองอู่เฉิงก็คือสถานที่สุดท้ายของนางเช่นกัน...
ห้องหนังสือจวนตระกูลจาง
"ท่านพ่อเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ"
น้ำเสียงกังวานหวานเอ่ยขึ้นเมื่อผลักประตูเข้าไปด้านใน นางมองหน้าผู้เป็นบิดาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ภาพตรงหน้านี้ราวกับภาพที่มันฉายซ้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่งในชาติก่อน...
"นั่งก่อนสิมี่เอ๋อร์ พ่อมีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้าสักเล็กน้อย คือว่า..."
"ท่านพ่อจะให้ข้าย้ายไปอยู่ที่เมืองอู่เฉิงใช่หรือไม่เจ้าคะ ถ้าหากเป็นเรื่องนี้ลูกยินดีเจ้าค่ะ"
จางอี้อินเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง บุตรสาวของเขาทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?
"เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร"
"ข้าแค่คาดเดาเจ้าค่ะ ในเมื่อเรื่องของข้ากลายเป็นขี้ปากของชาวบ้านไปเสียแล้ว หากจะยังอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะมีสร้างเรื่องปวดหัวเสียมากกว่า มิสู้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอู่เฉิงซึ่งเป็นเมืองที่เจริญไม่แพ้เมืองหลวงคงจะดีกว่า อีกอย่างท่านแม่ก็ไม่ใคร่อยากจะเห็นหน้าข้าเท่าไหร่ หากการที่ข้าได้ไปอยู่ที่เมืองอู่เฉิงเป็นเรื่องที่สมควร ข้าก็ไม่มีสิ่งใดขัดข้องเจ้าค่ะท่านพ่อ"
เซียวจ้านอดจะรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ เขาพยายามแกะมือของตัวเองออกแต่เหมือนว่าหญิงสาวจะไม่ง่ายนัก สุดท้ายเขาจึงได้ขึ้นมานั่งบนเตียงเดียวกับนาง กายสูงพิงกับเตียงแล้วมองดูหญิงสาวข้างกายนอนหลับอย่างเป็นสุขนางช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดนัก ทั้งที่อยู่กับคนแปลกหน้าเช่นเขานางยังกล้าหลับลงได้อีก ทั้งยังจับมือเขาเอาไปแนบกับแก้มของนางด้วย ช่างเป็นสตรีที่น่าพิลึกนัก"อื้อ...ลูลู่ อย่า อื้อ..."จางเสี่ยวมี่นอนละเมอโดยฝันถึงลูลู่ เจ้าแมวน้อยตัวสีขาวที่เคยเลี้ยงเมื่อครั้งยังเป็นลูกหว้า เจ้าลูลู่นั้นชอบให้กอดเป็นอย่างมาก ทั้งยังชอบเข้ามาออเซาะออดอ้อนด้วย และนางก็จะชอบดึงเจ้าลูลู่มานอนกอดทุกค่ำคืนไป"เจ้า!"เซียวจ้านถึงกับเอ่ยสิ่งใดไม่ออก จู่ ๆ จางเสี่ยวมี่ก็ปีนขึ้นมานอนบนตัวของเขา แล้วมือของนางยังไม่อยู่นิ่งด้วย ทั้งลูบทั้งกอดหน้าอกของเขาเป็นพัลวัน เขาพยายามจะจับมือของนางให้ออกไป แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมปล่อยโดยง่าย เมื่อถูกเซียวจ้านขัดขวางนางก็ยิ่งกอดคอเขาแน่นขึ้น และในความฝันนั้นกำลังนั่งทานขนมกับลูลู่ จางเสี่ยวมี่จึงได้ตรงเข้ามางับที่ลำคอของเซียวจ้านอย่างแรงริมฝีปากเล็กกัดเข้าที่คอของเซียวจ้านอย่างแรงจนข
บทที่ 5นอนละเมอขณะที่จางเสี่ยวมี่นั่งอยู่บนหลังม้าโดยตกอยู่ในอ้อมกอดของเซียวจ้าน นางนั้นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก แผ่นหลังเล็กเกร็งจนรู้สึกเมื่อยขบเพราะการที่นั่งไม่สบายบนหลังม้า หากนับจากชาติก่อนจนถึงชาตินี้นี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้ ในชาติก่อนก็มุ่งแต่ทำงานโดยไม่ได้สนใจมองบุรุษใดเลย ส่วนในชาตินี้นางกับหวังหมิงผู้เป็นอดีตคู่หมั้นนั้น แม้แต่มือยังไม่เคยได้จับเลยสักครั้ง แต่ในตอนนี้เซียวจ้านผู้ที่นางเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกกำลังกักขังนางในอ้อมกอดของเขาเสียงหัวใจอันหนักแน่นมั่นคงของเซียวจ้านเต้นแรงจนแม้แต่จางเสี่ยวมี่ยังได้ยิน หญิงสาวยืดแผ่นหลังเล็กนั่งหลังตรงพยายามไม่ให้ตัวเองโดนตัวเขามากนัก แต่เหมือนว่าสวรรค์จะไม่เป็นใจนักเพราะเวลานี้ร่างกายของทั้งสองมันแนบชิดจนแทบจะหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่แล้ว"อย่าเกร็ง"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบา ๆ ข้างใบหูเล็ก ลมหายใจกรุ่นร้อนถูกพ่น มาถูกใบหูเล็กจนจางเสี่ยวมี่รู้สึกขนลุกซู่ "ข้าไม่ได้เกร็งเจ้าค่ะ""อืม..."เซียวจ้านจับสายบังเหียนม้าข้างเดียวแล้วบังคับม้าให้ผ่อนแรงวิ่งช้าลงกว่าปกติมาก ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับเอวเล็กคอ
หย่งหมิ่นที่เพิ่งจัดการเก็บกวาดพวกโจรข้างนอกได้เดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินไปตรวจสอบศพที่คาดว่าเป็นหัวหน้าโจรป่าที่พวกเขากำลังไล่ล่าอยู่"ตายแล้วขอรับนายท่าน""พูด!!"คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเป็นคำถาม จางเสี่ยวมี่ที่เพิ่งจะได้สติจึงได้เอ่ยตอบไขข้อข้องใจให้แก่ผู้ที่มาใหม่"ข้าถูกพวกมันจับตัวมาเจ้าค่ะ และเป็นข้าที่ใช้ปิ่นนี่สังหารมันด้วยตัวเอง สาวใช้ของข้าหลบหนีไปได้กำลังตามคนให้มาช่วยข้าเจ้าค่ะ""เอ่อ...เช่นนั้นแม่นางเป็นผู้ใดหรือขอรับ"หย่งหมิ่นเอ่ยถามแทนผู้เป็นนายที่ปากหนักเหลือเกิน ดูจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่าเบื้องหลังของสตรีผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่จางเสี่ยวมี่ลังเลเล็กน้อย แต่เพราะเห็นท่าทางของหย่งหมิ่นจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นทหาร และเมื่อกวาดสายตาไปทางด้านหลังก็เห็นว่ามีกลุ่มคนสวมใส่ชุดเกราะดั่งทหารชาญศึกที่นางเคยพบเมื่อชาติก่อน"ข้ามีนามว่าจางเสี่ยวมี่เป็นบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีกรมคลัง จางอี้อิน!""ฮ้า...ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าหย่งหมิ่นขอรับ"จางเสี่ยวมี่พยักหน้ารับ ก่อนที่สายตาจะหันไปมองบุรุษที่ยังถือดาบจ่อที่คอของนางอย
บทที่ 4บุรุษผู้ช่วยเหลือจางเสี่ยวมี่ที่เห็นว่าลูกน้องทั้งสองออกไปหมดแล้ว นางจึงได้คิดใช้โอกาสนี้ทำให้จื่อลู่หนีออกไปเพื่อตามคนมาช่วย และนางจะเป็นผู้ที่ถ่วงเวลาพวกมันไว้ที่นี่เอง เพราะหากจะหนีออกไปพร้อมกันทั้งสองก็เกรงว่าจะถูกจับได้ขึ้นมาเสียก่อนทันทีที่ไม่มีคนมาขวางทางแล้ว ชายผู้เป็นหัวหน้าก็ผลักร่างของจางเสี่ยวมี่ล้มตัวนอนกับเสื่อผืนเก่าทันที ตามด้วยร่างกายกำยำที่ทาบทับลงมาไม่ห่าง จมูกโด่งสูงซุกไซ้ดอมดมที่ลำคอระหงด้วยความหลงใหล ในจังหวะที่มันกำลังมัวเมาเพราะกลิ่นกายสาวอยู่นั้นมันกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดตรงบริเวณลำคอ"โอ๊ย!!"มันค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองก่อนจะฟุบลงแน่นิ่งไป ปิ่นทองในมือที่ถูกดึงออกมาจากมวยผมปักเข้าไปที่ลำคอหนาของมันอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลกระฉูดออกมาเป็นสาย ตรงตำแหน่งที่จางเสี่ยวมี่แทงไปนั้นคือเส้นเลือดใหญ่พอดี ทำให้มันแน่นิ่งไปในบัดดลไม่ทันได้ทำร้ายนางได้อีก จางเสี่ยวมี่รีบผลักร่างที่ไร้วิญญาณของมันล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างรังเกียจ ทั้งยังเอาผ้าเช็ดหน้าที่เก็บไว้เช็ดคราบน้ำลายอันน่าขยะแขยงที่ลำคอขาวจนแดงเถือกด้วย สีหน้าของนางนั้นสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้สิ่งใดจื่อลู่
"ระ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ"จื่อลู่พยายามขยับข้อมือของตน แต่ยิ่งนางขยับมากเท่าใดเชือกก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้อบอบบางนั่น"เจ้าอย่าเพิ่งได้ร้อนใจไป ที่พวกมันจับพวกเรามาโดยยังไม่สังหารคงต้องการสิ่งใดเป็นแน่ ข้าจะลองเจรจากับพวกมันดูก่อนและถ้ามีโอกาสเจ้ารีบวิ่งหนีออกไปเลยนะจื่อลู่"นางบุ้ยหน้าไปทางบานหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกลนัก คาดคะเนจากสายตาคิดว่าจื่อลู่คงจะกระโดดหนีออกจากทางหน้าต่างได้โดยง่าย"บ่าวจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ บ่าวไม่มีวันทิ้งคุณหนูเป็นอันขาดเจ้าค่ะ""ข้าให้เจ้าไปตามคนมาช่วยต่างหากเล่า เจ้าวิ่งไวกว่าข้ามากนัก และหากข้าคิดไม่ผิดพวกมันคงต้องการตัวข้ามากกว่าเจ้าที่เป็นสาวใช้เป็นแน่""คุณหนู...""นี่คือคำสั่ง! เข้าใจหรือไม่"จางเสี่ยวมี่จ้องเขม็งด้วยสายตาคมดุ นางไม่หวั่นหากจะต้องตายอีกครั้ง แต่กับจื่อลู่นั้นไม่เหมือนกัน...ราวกับพวกโจรมันรู้ว่าพวกนางฟื้นขึ้นมาแล้วจึงได้พากันเดินเข้ามาสองคน ชายผู้เป็นหัวหน้าย่างกรายเข้ามาใกล้จางเสี่ยวมี่กับจื่อลู่ที่นั่งอยู่มุมห้องโถงของวัดร้าง มันแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมด้วยความชั่วร้าย พร้อมกับใช้สายตาโลมเลียกวาดตามองไปทั่วเรือนร่างของจางเสี่
บทที่ 3คนร้ายในเงามืดรถม้าของจวนตระกูลจางเคลื่อนไปยังปลายทางอย่างไม่เร่งรีบนัก ถนนหนทางก็สะดวกสบายค่ำไหนก็นอนพักที่เมืองนั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเข้าสู่วันที่สิบของการเดินทาง ในตอนที่พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าและขบวนรถม้ายังไม่ได้ออกจากป่าไผ่ ผู้คุ้มกันจึงเล็งเห็นว่าควรหยุดพักที่จุดหยุดพักที่นี่ก่อน หากจะเดินทางต่อในยามกลางคืนก็อันตรายนัก เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายก็เป็นได้"คุณหนูขอรับ คืนนี้เราคงต้องหยุดพักกันที่นี่ก่อนคงต้องรบกวนคุณหนูนอนในรถม้าสักหนึ่งคืนแล้วล่ะขอรับ"อาซ่งเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ เขาเกรงว่าคุณหนูอาจจะไม่พอใจแล้วพาลบันดาลโทสะเฉกเช่นคุณหนูในห้องหอผู้อื่น"เข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ก่อไฟกองใหญ่ ๆ ไว้ด้วยเล่า แล้วผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้ายามในตอนกลางคืนด้วย""ขอรับคุณหนู"อาซ่งพลันรู้สึกโล่งใจที่คุณหนูของเขาว่าง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มากนัก ทั้งยังรอบคอบในเรื่องเวรยามเสียด้วย เช่นนี้การเดินทางไปเมืองอู่เฉิงเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเสียงของฟืนดังปะทุเป็นระยะเพราะโดนไฟกิน กองไฟกองใหญ่ถูกก่อขึ้นกลางที่พักที่ให้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เสียงนกร้องและเสียง