LOGIN
แสงอรุณแรกดุจทองหลอมรินรดผ่านหน้าต่างไม้แกะสลัก ละเลงบนพื้นเย็นเยียบจนทอดเงายาวเหยียดเฉียวเนี่ยนยืนนิ่งอยู่ตรงประตู ดวงตาหยุดอยู่บนใบหน้าซีดขาวของคนที่เอนอยู่บนเก้าอี้ไม้นางแทบจะลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นใบหน้านี้ได้อย่างชัดเจนนั้นคือเมื่อใดบุรุษที่เคยวนเวียนอยู่ในชีวิตนางมากว่าสิบปีราวกับได้จบสิ้นบทของตนไปเนิ่นนานแล้ว จากไปอย่างเงียบงัน เหลือเพียงเงารางในมุมความทรงจำที่แทบเลือนหายยามนี้ แสงอรุณลอดผ่านกรอบหน้าต่างฉลุลาย สาดลงบนใบหน้าไร้สีเลือดของเขาอย่างอ่อนโยนและโหดร้ายในคราเดียวกัน เส้นกรอบที่ชัดเจนเกินควรนั้น ทำให้นางพลันนึกถึงดอกเหมยในเรือนลั่วเหมยที่เคยเบ่งบานสะพรั่งยามดอกผลิบาน ยังสามารถตรึงตาโลกาได้ดังเดิม แต่ความรู้สึกที่เคยทำให้นางหัวใจสั่นไหวกลับคล้ายเม็ดทรายร่วงหล่นจากซอกนิ้ว ไม่อาจเก็บไว้ได้อีกเลยแต่... เขายังมีชีวิตอยู่ดียิ่งนักเกือบจะพร้อมกันนั้นเอง ดวงตาที่พร่ามัวเหม่อลอยของเซียวเหิงก็สั่นระริกทันที จับจ้องนางราวคมมีดแทงทะลุต่อมาก็มีเพลิงโทสะรุนแรงฉาบทั่วใบหน้าเขา!ราวกับถูกแรงมองไม่เห็นทิ่มแทงอย่างรุนแรง มือที่อ่อนแรงเมื่อครู่กลับปะทุพลังมหาศาลขึ
เฉียวเนี่ยนหลุบตาลงเมื่อพูดจบ วาจา ท่าที กระทั่งแววตา ล้วนเลียนแบบอย่างอวี่เหวินฮ่าว“ที่ข้ามาแคว้นถังครั้งนี้ ฝ่าฟันระยะทางแสนไกล ก็เพื่อเซียวเหิง ตระกูลมู่บอกข้าว่า เซียวเหิงอยู่ในมือขององค์ชาย องค์ชายอาจยังไม่รู้ว่า ข้ากับเซียวเหิงเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ขอองค์ชายได้โปรดเห็นแก่ที่ข้าเฝ้าองค์ชายอยู่สองคืนเต็มๆ ให้ข้าได้พบเขาสักครั้งเถิด...”คำพูดเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างที่สุดทว่าก็พลอยพาดพิงเอาตระกูลมู่เข้ามาข้องเกี่ยวด้วยอวี่เหวินฮ่าวขมวดคิ้วแน่น ดวงตาคู่นั้นจ้องเฉียวเนี่ยนเขม็งอย่างจะมองให้ทะลุปรุโปร่ง แต่กลับไม่อาจเข้าใจสิ่งใดเลย“เจ้า...”อ้าปากอยู่นาน ทว่ากลับพูดไม่ออกสักคำเขาไม่รู้เลยว่าหญิงตรงหน้านี้กำลังแสร้งเล่นละคร หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เป็นห่วงเซียวเหิงเท่านั้นเฉียวเนี่ยนมองเห็นสีหน้าของเขาที่ราวกับถูกฟ้าผ่าชัดเจนถนัดตานางไม่เพียงไม่ถอย กลับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อย่างไรเล่า? หรือที่องค์ชายรับปากอย่างหนักแน่นเมื่อคืน ล้วนแล้วแต่หลอกลวงข้า?”นางก้าวเข้าไปอีกขั้น ดวงตาคมปลาบแทงทะลุเข้าก้นบึ้งนัยน์ตาของอวี่เหวินฮ่าว “หรือว่าในใจองค์ชาย
ยามราตรีอันยาวนานในที่สุดก็ผ่านพ้น ขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงสีขาวแห่งรุ่งสางอวี่เหวินฮ่าวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็น คือเฉียวเนี่ยนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากข้างเตียง มือของนางถือตําราแพทย์ไว้เล่มหนึ่ง กำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดต้องบนใบหน้าด้านข้างของนาง ขับให้โครงหน้าอันงดงามแลดูเหมือนสตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักนางเฝ้าเขาจริงๆ ตลอดทั้งคืนปฏิกิริยาแรกของเขา คือรอยยิ้มเย้ยหยันอวี่เหวินฮ่าวไม่เข้าใจนัก ว่าเหตุใดสตรีในโลกนี้จึงล้วนช่างหยั่งถึงได้ง่ายดายปานนั้นเล่ห์เหลี่ยมแสร้งอ่อนแอของเขา กลับใช้ได้ผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาหลุบตาลง แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววเย้ยหยันในดวงตาเลือนหาย เหลือเพียงท่าทีอ่อนโยนและบริสุทธิ์ “คุณหนูเฉียว……”เสียงเรียกเบาๆ ดุจเสียงถอนหายใจ ล่องลอยไปทั่วห้องอันสงบเงียบเฉียวเนี่ยนเงยหน้าขึ้นมองอวี่เหวินฮ่าว แล้วเผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน “องค์ชายตื่นแล้วหรือ?”ขณะเอ่ย นางก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปหาอวี่เหวินฮ่าว “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”พูดพลางยื่นมือแตะชีพจรของเขาอวี่เหวินฮ่าวยันตัวลุกขึ้นนั่ง ตอบตามจริง “หน้าอกโล่งขึ้นมาก รู้สึกมีเรี่ยวแร
เขาใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเฉียวเนี่ยนแน่นิ่ง ราวกับอยากจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากแววตาของนางแต่นอกจากความลังเลแล้ว ก็ไม่พบสิ่งใดอีกดังนั้น อวี่เหวินฮ่าวจึงเอ่ยเรียกเบาๆ อีกครั้ง “คุณหนูเฉียว……”เฉียวเนี่ยนถึงเผยสีหน้าอันปนความจนใจออกมา “ร่างกายขององค์ชายยังอ่อนแอ ข้าจะอยู่เฝ้าท่านอีกคืนก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”ระหว่างที่พูด เฉียวเนี่ยนก็ทรุดนั่งลงข้างเตียง ยื่นมือช่วยดึงผ้าห่มของอวี่เหวินฮ่าวให้แสงเทียนสะท้อนอยู่ในดวงตาของอวี่เหวินฮ่าว ริมฝีปากมีรอยยิ้มปรากฏ เขามองเฉียวเนี่ยนอยู่อย่างนั้น ราวกับต้องมนตร์สะกดของนางเฉียวเนี่ยนรู้สึกทนต่อสายตาเช่นนั้นแทบไม่ไหวเพียงแต่ก่อนหน้านี้ที่โถงด้านหน้า นางกับฉู่จืออี้ร่วมมือกันได้อย่างแนบเนียน แสร้งแสดงได้สมจริงยิ่งนัก หากตอนนี้นางพลาดท่าเสียเอง ก็คงเท่ากับทำลายสิ้นทุกอย่างดังนั้น แม้ในใจจะรู้สึกรังเกียจเพียงใด เฉียวเนี่ยนก็ทำได้เพียงส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับอวี่เหวินฮ่าว “โปรดทรงพักผ่อนเถิด ข้าจะอยู่เฝ้าตรงนี้เอง”เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น อวี่เหวินฮ่าวจึงพยักหน้าเบาๆ ในที่สุดก็ละสายตาออกจากร่างของเฉียวเนี่ยนขนตายาวสั่นระริกสองครั้ง แล้วในที่สุ
เฉียวเนี่ยนประคองอวี่เหวินฮ่าวเดินไปยังที่พักของเขาเดิมที โหยวต๋าก็เดินมาช่วยประคองอยู่ข้างๆ แต่ถูกอวี่เหวินฮ่าวส่งสายตาไล่ให้ถอยไปดังนั้นตลอดทาง อวี่เหวินฮ่าวแทบจะเทน้ำหนักครึ่งตัวลงบนร่างของเฉียวเนี่ยน กลิ่นหอมเย็นของไม้กฤษณาผสมกับกลิ่นยาลอยวนแผ่วเบา แทรกซึมเข้าสู่จมูกของเฉียวเนี่ยน ราวกับจะโอบรัดนางเอาไว้ทั้งหมดกว่าเฉียวเนี่ยนจะประคองอวี่เหวินฮ่าวขึ้นเตียงได้ก็ลำบากไม่น้อยอวี่เหวินฮ่าวเดินมาไกลถึงเพียงนั้น จึงเหนื่อยจนหายใจหอบ อกกระเพื่อมแรง ราวกับจะสิ้นลมหายใจได้ทุกเมื่อเฉียวเนี่ยนจึงยื่นมือช่วยปรับลมหายใจให้เขา ใบหน้าแฝงความตำหนิ “องค์ชายรองรู้ดีว่าตนยังเพิ่งกลับมาจากปากประตูยมโลกเมื่อวาน เหตุใดยังกล้าลงจากเตียงเดินไปมาตามใจชอบ?”แต่อวี่เหวินฮ่าวกลับไม่แสดงความขุ่นเคืองต่อคำตำหนินั้นของเฉียวเนี่ยนแม้แต่น้อย เขาเผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมาแทนขนตาของเขาทอดเงาทึบลงใต้ตา ริมฝีปากบางสั่นระริก เสียงเบาราวกับเสียงถอนหายใจ ทว่ากลับชัดเจนราวกับกระซิบอยู่ข้างหูของเฉียวเนี่ยน“ข้าผิดเอง... หากไม่ใช่เพราะร่างกายอันไร้ประโยชน์ของข้าทำให้เจ้าลำบาก ท่านอ๋องก็คงไม่ถึงกับพิโรธจนสะบัดแขนเส
ทั้งที่แต่งกายเรียบร้อยงดงามถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังยากจะปิดบังความอิดโรยไว้ได้เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วทันที เดินตรงเข้าไปหาอวี่เหวินฮ่าว “ออกมาทำอะไร? ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?”อวี่เหวินฮ่าวมองเฉียวเนี่ยนที่เข้ามาประคองเขา รอยยิ้มอบอุ่น “ข้าไม่เป็นไร”พูดจบจึงหันไปมองฉู่จืออี้ “ท่านอ๋องเสด็จมาทั้งที องค์ชายผู้นี้ต้อนรับไม่ทั่วถึง ขอได้โปรดอภัย”ฉู่จืออี้ไม่พูดอะไร สายตาหยุดอยู่ตรงแขนของเฉียวเนี่ยนที่ประคองอวี่เหวินฮ่าว สีหน้าเย็นเยียบกว่าปกติอวี่เหวินฮ่าวย่อมสังเกตเห็น จึงดึงแขนตนออกจากมือเฉียวเนี่ยน สีหน้าเผยความสงบนิ่งที่แทบจะคล้ายความแตกสลาย “คุณหนูเฉียว... ท่านอ๋องมาเพื่อรับเจ้า เจ้าก็... ก็ไปกับเขาเถอะ ไม่ต้อง... ไม่ต้องห่วงข้า”ยังไม่ทันพูดจบ ก็เกิดอาการไอรุนแรงจนแทบขาดใจ เขารีบยกมือขึ้นปิดปาก ไหล่สั่นสะท้านจนร่างทั้งร่างงอตัว เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากในพริบตาท่าทางนั้นช่างอ่อนแอราวกับเปลวเทียนในลมแรง พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อเฉียวเนี่ยนมองอวี่เหวินฮ่าวที่หอบหายใจด้วยความเจ็บปวด แล้วเหลือบมองฉู่จืออี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเข้มขึง บรรยากาศรอบกายเย็นชา คิ้วของนางขมวดแน่น“พี่ใหญ่ฉู่







