เห็นท่านโหวหลินประคองฮูหยินหลินจากไป เฉียวเนี่ยนจึงค่อยถอนหายใจออกมายาวหนึ่งเฮือกแต่แล้วก็ได้ยินเสียงเซียวเหิงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “หลินเย่ว์ เจ้ายังยืนเหม่ออยู่ทำไม?”เฉียวเนี่ยนจึงสังเกตเห็นว่า หลินเย่ว์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีว่าจะจากไปนางมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก แล้วก็เห็นว่าหลินเย่ว์เองก็มองมาทางนาง ก่อนจะค่อย ๆ คุกเข่าลงกับพื้นคิ้วของเฉียวเนี่ยนขมวดเล็กน้อย มือทั้งสองกำแน่น แต่กลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวเซียวเหอเองก็กังวลจนต้องขมวดคิ้ว มองเฉียวเนี่ยนด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าสีหน้าของเฉียวเนี่ยนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จึงค่อยโล่งใจลงบ้างในหัวกลับคิดถึงคำพูดของนางที่เคยกล่าวไว้เมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านเหอวาน ก็อดรู้สึกเศร้าลึก ๆ ในใจไม่ได้นางไม่ควรกลับมาเลยจริง ๆแต่เซียวเหิงกลับเดินขึ้นไปคว้าคอเสื้อหลินเย่ว์ไว้ “เจ้าจะก่อเรื่องอะไรอีก? ไม่อายผู้คนบ้างหรือ? รีบไสหัวไปซะ!”แต่หลินเย่ว์กลับผลักเซียวเหิงออก “ไม่ต้องเจ้ามายุ่ง!”เขาจะต้องคุกเข่า!เมื่อครู่แม้ท่านแม่จะความจำเสื่อม แต่เนี่ยนเนี่ยนก็ยังไม่มีท่าทีอ่อนใจแม้แต่น้อยเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าตนควรจะทำเช่นไรอีก
“ฮูหยินหลิน”นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาเพียงคำเดียว ก็ทำให้ฮูหยินหลินชะงักนิ่งอยู่กับที่ฮูหยินหลินหันกลับมามองเฉียวเนี่ยนด้วยความประหลาดใจ ในนัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวนางเสียงสั่นถามออกมาโดยไม่ทันยั้งใจ “เจ้า เจ้ากล่าวเรียกข้าว่าอะไรนะ?”“เนี่ยนเนี่ยน!” ท่านโหวหลินเอ่ยปรามเสียงต่ำ เป็นการเตือนเฉียวเนี่ยนว่าอย่าพูดจาทำร้ายจิตใจฮูหยินหลินแต่เฉียวเนี่ยนก้มมองมือตนนั้นที่ถูกจับไว้แน่น คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเป็นปมจะไม่พูดออกไปหรือ?จะยอมให้ฮูหยินหลินพานางไปหรือ?บาดแผลทั้งหมดที่พวกเขาก่อไว้ ทั้งร่างกายและจิตใจ บัดนี้แค่ข้ออ้างว่า ‘ความจำเสื่อม’ ก็ลบล้างได้แล้วหรือ?นางจึงแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาเฉียวเนี่ยนค่อย ๆ แกะมือนั้นออกจากตัวเอง “ข้าตัดขาดจากจวนโหวมานานแล้ว ฮูหยินหลิน บัดนี้ท่านมีเพียงลูกสาวคนเดียว นามว่าหลินยวน ส่วนข้าไม่ใช่หลินเนี่ยน ข้าแซ่เฉียว”บางเรื่อง ต่อให้ความจำเสื่อม ฮูหยินหลินก็น่าจะจำได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินหลินถอยหลังไปสามก้าวในทันทีท่านโหวหลินรีบเข้าไปพยุงด้วยความร้อนรน กลัวว่านางจะล้มลงอีกน้ำตาชายชราไหลริน“เจ้าจะหล
"ฮูหยิน!" ท่านโหวหลินอุทานเสียงดัง รีบพุ่งตัวเข้าไปหาฮูหยินหลินทันทีหลินเย่ว์เองก็ตกใจ รีบวิ่งเข้ามาประคองฮูหยินหลินไว้ "ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้าง?"ฮูหยินหลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นเลือดสด ๆ บนแขนของตนเอง กลับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงท่านโหวหลินตกใจอย่างหนัก น้ำตาร่วงพรู "ฮูหยิน! อย่าทำให้ข้าตกใจนะ!"เฉียวเนี่ยนเองก็ตกตะลึงแม้ในใจจะเกลียดชังคนตระกูลหลินเพียงใดแต่หากต้องเห็นฮูหยินหลินตายลงต่อหน้าต่อตา นางก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางนิ่งเฉยได้สิบห้าปีที่ผ่านมา ทิ้งร่องรอยไว้ในใจนางเกินกว่าจะลบเลือนได้...ในตอนนั้นเอง เซียวเหอกับเซียวเหิงก็บุกเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกันทั้งสองได้ข่าวว่าท่านโหวหลินพาคนมาลักพาตัวถึงเรือนเล็ก จึงไม่ทันแม้แต่จะได้กินข้าว รีบพุ่งมาที่นี่ทันทีไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ทั้งคู่คิดว่าฮูหยินหลินได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่นานนัก ฮูหยินหลินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่หันมามองหน้าท่านโหวหลิน แล้วค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังหลินเย่ว์ คล้ายกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ถามขึ้นด้วยความงุนงง "พวกเจ้าร้องไห้กันทำไม?"หลินเย่ว์ยังจับต้นชนป
เขารู้ดีว่าเซียวเหิงไปแล้ว แต่ทิ้งคนไว้เฝ้าเรือนเล็กนี้หลายคน พอรู้ข่าว เขาก็รีบรวบรวมคนของตนเองแล้วบุกมาทันทีเมื่อครั้งก่อน ก็เพราะเนี่ยนเนี่ยนถูกเซียวเหิงกักขังไว้จนตกแม่น้ำฉางหยาง เกือบตายไปแล้วรอบหนึ่งครั้งนี้ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก!ขณะพูด ท่านโหวหลินก็เอื้อมมือจะคว้าเฉียวเนี่ยนอีกครั้ง แต่คราวนี้เฉียวเนี่ยนถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว หลบพ้นการคว้าของเขามือที่คว้าไม่โดนใครทำเอาท่านโหวหลินชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ยังคงพุ่งเข้าหานางอีก "รีบหน่อย! เดี๋ยวเซียวเหิงก็มาถึงแล้ว!"ไม่ใช่เพราะเขากลัวเซียวเหิง แต่หากเจ้าหมอนั่นมาถึง เขาจะพาเนี่ยนเนี่ยนออกไปได้ยากขึ้นมากเฉียวเนี่ยนยังคงถอยห่างออกไปอีกก้าวในตอนนั้นเอง ทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ก็พากันกรูเข้ามา ล้อมท่านโหวหลินไว้แน่นหนาท่านโหวหลินเห็นเฉียวเนี่ยนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเย็นชา จึงตะลึงไป ริมตาแดงก่ำ "เนี่ยนเนี่ยน นี่พ่อเองนะ! เจ้า... เจ้าไม่นับข้าเป็นพ่อแล้วหรือ? ข้าคือพ่อแท้ ๆ ของเจ้านะ!"เสียงอันสั่นเครือของคนชราทำให้เฉียวเนี่ยนกำหมัดแน่น แต่สีหน้ายังคงเฉยชา "ท่านโหวหลินคงลืมไปแล้วกระมัง ว่าพวก
คงเพราะรู้ว่าในวันนี้เฉียวเนี่ยนถูกหลินเย่ว์ทำให้โมโห เซียวเหิงจึงไม่ได้อยู่ที่เรือนเล็กนี้ต่อให้นางรำคาญใจแต่เขาก็ทิ้งคนไว้หลายคน อ้างว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง ทว่าในสายตาของเฉียวเนี่ยน นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการกักขังยามค่ำค่อย ๆ แผ่ปกคลุม หนิงซวงจัดเตรียมอาหารมากมายให้เฉียวเนี่ยน เต็มโต๊ะจนดูน่ากินเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนมองหนิงซวงแล้วยิ้ม "ห่างกันแค่เดือนกว่า ๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเก่งจนเหมือนเทพแห่งครัวแล้ว!"หนิงซวงก็ยิ้มตาม พลางคีบไส้ใหญ่หมูใส่ในถ้วยของเฉียวเนี่ยน "คุณหนูลองชิมดูสิเจ้าคะ รสชาติพัฒนาไหม คล้ายกับที่รองแม่ทัพจิ่งทำไหม?"เฉียวเนี่ยนคีบขึ้นมาลองชิม รสชาติคุ้นเคยทำให้นางนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ มากมายรอยยิ้มของนางแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่ก็รวบรวมกำลังใจยิ้มให้หนิงซวง "ศิษย์ล้ำหน้าอาจารย์แล้ว"หนิงซวงยิ่งยิ้มกว้างไม่หยุด คีบกับข้าวอื่น ๆ ใส่ถ้วยเฉียวเนี่ยนอีก "คุณหนูลองอันนี้ดูเจ้าค่ะ อร่อยมาก แล้วก็อันนี้ ของถนัดข้าเลย!"ไม่นาน ถ้วยข้าวตรงหน้าเฉียวเนี่ยนก็สูงราวภูเขาลูกน้อย ๆเฉียวเนี่ยนมองหนิงซวงอย่างจนใจ "คุณหนูของเจ้ามีแค่ปากเดียว จะกินหมดได้อย่างไร ไปตามหวังเ
หลินเย่ว์ไม่สามารถดึงห่อผ้าเล็กๆออกมาได้ในทันที มือที่ยื่นเข้าไปก็ชักกลับพร้อมกับร้องออกมาเบา ๆ แล้วก็รีบยื่นมือกลับเข้าไปในกระถางไฟอีกครั้งในที่สุดครั้งนี้หลินเย่ว์ก็หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งออกมาจากกระถางไฟได้แต่ผ้าขี้ริ้วยังมีไฟลุกไหม้อยู่เขาจึงโยนผ้าขี้ริ้วลงกับพื้นเหยียบย่ำซ้ำ ๆ จนเปลวไฟดับลงในที่สุดทว่าผ้าขี้ริ้วที่ไม่ใหญ่อยู่แล้วกลับถูกไฟเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่งเหลือเพียงคำสองพยางค์ว่า ช่วยข้าหลินเย่ว์ยื่นมือสั่นระริกออกไปมือข้างนั้นที่ถูกไฟลวกถึงสองครั้งแดงก่ำ ปลายนิ้วยังดูเหมือนถูกไฟไหม้อย่างหนักจนกลายเป็นสีขาวแต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร เพียงยื่นมืออันสั่นเทาไปเก็บผ้าขี้ริ้วผืนนั้นขึ้นมา น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็หลั่งไหลออกมาในที่สุดเฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว และก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา "คุณชายหลินจะมาเล่นละครอะไรหน้าจวนข้ากันแน่ แค่ผ้าขี้ริ้วไม่กี่ชิ้นถึงกับต้องเอามือล้วงเข้าไปในกระถางไฟเลยหรือเจ้าคะ? ผ้าขี้ริ้วพวกนี้มันมีความหมายอะไร? ตอนข้าต้องการท่าน ท่านหายหัวไปอยู่ไหน? ตอนนี้มาแสดงบทเศร้าให้ใครดูคิดว่าข้าจะสงสารหรือเจ้าคะ? ข้าบอกไว้เลยนะ อย่าว่าแต่ท่านถูกไ
หลินเย่ว์ไม่เคยคิดเลยว่าเฉียวเนี่ยนจะยอมออกมาเจอเขาเร็วขนาดนี้ในเสี้ยววินาทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ลุกขึ้นยืนจากข้างประตู เมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนเขาก็ตกใจในตอนแรก จากนั้นดวงตาก็แดงก่ำริมฝีปากยกยิ้มที่ทั้งแข็งกระด้างและเศร้าโศกอย่างที่สุดยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและประหม่าเขาค่อยๆเดินตรงไปหาเฉียวเนี่ยน "ข้า... ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ออกมาเร็วขนาดนี้...""ใครให้เจ้ามา" เฉียวเนี่ยนถามเรียบ ๆ น้ำเสียงไม่เจืออารมณ์แม้แต่น้อยหลินเย่ว์รีบพูด หลิ่วเหนียงให้ข้ามา นางบอกว่านางช่วยเจ้าหอบห่อนี้ออกมาจากกรมซักล้าง แต่ดันลืมส่งให้ นางเจอข้านอกจวน บอกว่าเต๋อกุ้ยเฟยเมตตาอนุญาตให้นางออกจากวังเพื่อกลับบ้านเกิด ตอนเก็บข้าวของนางพบห่อนี้จึง...""เข้าใจแล้ว"เฉียวเนี่ยนขัดหลินเย่ว์ที่กำลังพร่ำพูดริมฝีปากหลินเย่ว์อ้าออกเพื่อพูดยังค้างอยู่ ไม่ได้หุบลงทันทีเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็แค่คำถามง่าย ๆ แต่ทำไมถึงต้องพูดเสียยืดยาวขนาดนี้แต่ไม่ต้องคิดให้มากเขาก็รู้เหตุผลเพราะมันนานเหลือเกิน ที่ไม่ได้พูดคุยกับนางดี ๆนานเหลือเกินที่ไม่ได้เจอนางนานมาก... นานเหลือเกิน...เฉียวเนี่ยนพูดขึ้นมาว่า"เ
เซียวเหอก็สังเกตเห็นเช่นกันเขารีบเก็บห่อผ้าเล็กนั้นไปซ่อนไว้ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ "หลินเย่ว์เป็นคนเอามา ข้าเห็นว่านี่เป็นของของเจ้า ควรจะปล่อยให้เจ้าจัดการเอง หากเจ้าไม่ต้องการ..."“ยกให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ” เฉียวเนี่ยนพูดเสียงนุ่มนวล พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ แล้วก็ยื่นมือไปหาเซียวเหอเซียวเหอชะงักไปเล็กน้อย แม้จะลังเล แต่สุดท้ายก็ยื่นห่อผ้าให้นางเฉียวเนี่ยนรับมันมา มองห่อผ้าในมือที่เปื้อนรอยเลือดแห้ง ๆ สีคล้ำ ใจนางเหมือนย้อนกลับไปยังกรมซักล้าง ย้อนกลับไปสู่ขุมนรกที่ผู้คนต่างเป็นศัตรูกับนาง“ข้าตั้งใจทิ้งมันไว้ที่กรมซักล้าง ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายมันจะไปอยู่ในมือหลินเย่ว์” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นขม แล้วเงยหน้ามองเซียวเหอ “ท่านพี่เซียว รู้ไหมว่าข้างในนี้คืออะไร?”เซียวเหอไม่ได้ตอบ มีเพียงความรู้สึกว่ารอยยิ้มของเฉียวเนี่ยนตอนนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าทำให้เขาเริ่มลังเลว่าตนควรนำสิ่งนี้มาให้นางหรือไม่เฉียวเนี่ยนไม่รอคำตอบจากเซียวเหอ นางพูดต่อด้วยตัวเอง “คือความอวดดีและความเพ้อฝันของข้าในอดีต”“ข้าเคยเขียนคำขอความช่วยเหลือนับไม่ถ้วนลงบนผืนผ้านี้ ข้าคิดว่าคนที่เคยรักข้าขนาดนั้นจะต้องมาช่วยข้าแน่น
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เซียวเหิงก็เผยแววไม่พอใจขึ้นในใจ “เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของนาง แม้เจ้าจะรออยู่ตรงนี้จนตาย นางก็อาจจะไม่ยอมพบเจ้า”แต่คำพูดนี้ กลับทำให้หลินเย่ว์หัวเราะเย็นชา “ที่แท้แม่ทัพเซียวเอง ก็รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร”ทั้งที่รู้ดีว่านางเป็นคนเช่นนั้น เหตุใดจึงยังไม่ยอมปล่อยนางไป?ใบหน้าของเซียวเหิงแข็งกร้าว มือที่ไพล่หลังแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่หลินเย่ว์กลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เพียงค้อมศีรษะให้เซียวเหอ “ขอรบกวนด้วย”จากนั้นก็หันก้าวไปยืนอีกด้านถึงจะต้องรอ แต่ก็ไม่อาจยืนขวางอยู่ตรงประตูใหญ่ให้ดูไม่งามเซียวเหอก้มมองห่อผ้าเล็ก ๆ ในมือตนอีกครั้งคราบสีน้ำตาลคล้ำที่เกาะอยู่บนผ้าดูเหมือนจะเป็นรอยเลือดแห้งเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อครู่ เห็นหลินเย่ว์เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คิดว่าคงเป็นสิ่งของล้ำค่ายิ่งนักคิดได้ดังนั้น เขาก็หันก้าวเข้าไปในเรือนเล็กเซียวเหิงรีบตามเข้าไปเมื่อเห็นเซียวเหอทำท่าจะนำห่อผ้านั้นไปให้เเฉียวเนี่ยนจริง ๆ เซียวเหิงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมา “เนี่ยนเนี่ยนอาจไม่อยากเห็นของสิ่งนั้น”แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าภายในมีอะไรแต่จากท่าทีขอ