คงเพราะรู้ว่าในวันนี้เฉียวเนี่ยนถูกหลินเย่ว์ทำให้โมโห เซียวเหิงจึงไม่ได้อยู่ที่เรือนเล็กนี้ต่อให้นางรำคาญใจแต่เขาก็ทิ้งคนไว้หลายคน อ้างว่าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง ทว่าในสายตาของเฉียวเนี่ยน นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการกักขังยามค่ำค่อย ๆ แผ่ปกคลุม หนิงซวงจัดเตรียมอาหารมากมายให้เฉียวเนี่ยน เต็มโต๊ะจนดูน่ากินเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนมองหนิงซวงแล้วยิ้ม "ห่างกันแค่เดือนกว่า ๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเก่งจนเหมือนเทพแห่งครัวแล้ว!"หนิงซวงก็ยิ้มตาม พลางคีบไส้ใหญ่หมูใส่ในถ้วยของเฉียวเนี่ยน "คุณหนูลองชิมดูสิเจ้าคะ รสชาติพัฒนาไหม คล้ายกับที่รองแม่ทัพจิ่งทำไหม?"เฉียวเนี่ยนคีบขึ้นมาลองชิม รสชาติคุ้นเคยทำให้นางนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ มากมายรอยยิ้มของนางแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่ก็รวบรวมกำลังใจยิ้มให้หนิงซวง "ศิษย์ล้ำหน้าอาจารย์แล้ว"หนิงซวงยิ่งยิ้มกว้างไม่หยุด คีบกับข้าวอื่น ๆ ใส่ถ้วยเฉียวเนี่ยนอีก "คุณหนูลองอันนี้ดูเจ้าค่ะ อร่อยมาก แล้วก็อันนี้ ของถนัดข้าเลย!"ไม่นาน ถ้วยข้าวตรงหน้าเฉียวเนี่ยนก็สูงราวภูเขาลูกน้อย ๆเฉียวเนี่ยนมองหนิงซวงอย่างจนใจ "คุณหนูของเจ้ามีแค่ปากเดียว จะกินหมดได้อย่างไร ไปตามหวังเ
หลินเย่ว์ไม่สามารถดึงห่อผ้าเล็กๆออกมาได้ในทันที มือที่ยื่นเข้าไปก็ชักกลับพร้อมกับร้องออกมาเบา ๆ แล้วก็รีบยื่นมือกลับเข้าไปในกระถางไฟอีกครั้งในที่สุดครั้งนี้หลินเย่ว์ก็หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งออกมาจากกระถางไฟได้แต่ผ้าขี้ริ้วยังมีไฟลุกไหม้อยู่เขาจึงโยนผ้าขี้ริ้วลงกับพื้นเหยียบย่ำซ้ำ ๆ จนเปลวไฟดับลงในที่สุดทว่าผ้าขี้ริ้วที่ไม่ใหญ่อยู่แล้วกลับถูกไฟเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่งเหลือเพียงคำสองพยางค์ว่า ช่วยข้าหลินเย่ว์ยื่นมือสั่นระริกออกไปมือข้างนั้นที่ถูกไฟลวกถึงสองครั้งแดงก่ำ ปลายนิ้วยังดูเหมือนถูกไฟไหม้อย่างหนักจนกลายเป็นสีขาวแต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร เพียงยื่นมืออันสั่นเทาไปเก็บผ้าขี้ริ้วผืนนั้นขึ้นมา น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็หลั่งไหลออกมาในที่สุดเฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว และก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา "คุณชายหลินจะมาเล่นละครอะไรหน้าจวนข้ากันแน่ แค่ผ้าขี้ริ้วไม่กี่ชิ้นถึงกับต้องเอามือล้วงเข้าไปในกระถางไฟเลยหรือเจ้าคะ? ผ้าขี้ริ้วพวกนี้มันมีความหมายอะไร? ตอนข้าต้องการท่าน ท่านหายหัวไปอยู่ไหน? ตอนนี้มาแสดงบทเศร้าให้ใครดูคิดว่าข้าจะสงสารหรือเจ้าคะ? ข้าบอกไว้เลยนะ อย่าว่าแต่ท่านถูกไ
หลินเย่ว์ไม่เคยคิดเลยว่าเฉียวเนี่ยนจะยอมออกมาเจอเขาเร็วขนาดนี้ในเสี้ยววินาทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ลุกขึ้นยืนจากข้างประตู เมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนเขาก็ตกใจในตอนแรก จากนั้นดวงตาก็แดงก่ำริมฝีปากยกยิ้มที่ทั้งแข็งกระด้างและเศร้าโศกอย่างที่สุดยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและประหม่าเขาค่อยๆเดินตรงไปหาเฉียวเนี่ยน "ข้า... ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ออกมาเร็วขนาดนี้...""ใครให้เจ้ามา" เฉียวเนี่ยนถามเรียบ ๆ น้ำเสียงไม่เจืออารมณ์แม้แต่น้อยหลินเย่ว์รีบพูด หลิ่วเหนียงให้ข้ามา นางบอกว่านางช่วยเจ้าหอบห่อนี้ออกมาจากกรมซักล้าง แต่ดันลืมส่งให้ นางเจอข้านอกจวน บอกว่าเต๋อกุ้ยเฟยเมตตาอนุญาตให้นางออกจากวังเพื่อกลับบ้านเกิด ตอนเก็บข้าวของนางพบห่อนี้จึง...""เข้าใจแล้ว"เฉียวเนี่ยนขัดหลินเย่ว์ที่กำลังพร่ำพูดริมฝีปากหลินเย่ว์อ้าออกเพื่อพูดยังค้างอยู่ ไม่ได้หุบลงทันทีเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็แค่คำถามง่าย ๆ แต่ทำไมถึงต้องพูดเสียยืดยาวขนาดนี้แต่ไม่ต้องคิดให้มากเขาก็รู้เหตุผลเพราะมันนานเหลือเกิน ที่ไม่ได้พูดคุยกับนางดี ๆนานเหลือเกินที่ไม่ได้เจอนางนานมาก... นานเหลือเกิน...เฉียวเนี่ยนพูดขึ้นมาว่า"เ
เซียวเหอก็สังเกตเห็นเช่นกันเขารีบเก็บห่อผ้าเล็กนั้นไปซ่อนไว้ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ "หลินเย่ว์เป็นคนเอามา ข้าเห็นว่านี่เป็นของของเจ้า ควรจะปล่อยให้เจ้าจัดการเอง หากเจ้าไม่ต้องการ..."“ยกให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ” เฉียวเนี่ยนพูดเสียงนุ่มนวล พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ แล้วก็ยื่นมือไปหาเซียวเหอเซียวเหอชะงักไปเล็กน้อย แม้จะลังเล แต่สุดท้ายก็ยื่นห่อผ้าให้นางเฉียวเนี่ยนรับมันมา มองห่อผ้าในมือที่เปื้อนรอยเลือดแห้ง ๆ สีคล้ำ ใจนางเหมือนย้อนกลับไปยังกรมซักล้าง ย้อนกลับไปสู่ขุมนรกที่ผู้คนต่างเป็นศัตรูกับนาง“ข้าตั้งใจทิ้งมันไว้ที่กรมซักล้าง ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายมันจะไปอยู่ในมือหลินเย่ว์” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นขม แล้วเงยหน้ามองเซียวเหอ “ท่านพี่เซียว รู้ไหมว่าข้างในนี้คืออะไร?”เซียวเหอไม่ได้ตอบ มีเพียงความรู้สึกว่ารอยยิ้มของเฉียวเนี่ยนตอนนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าทำให้เขาเริ่มลังเลว่าตนควรนำสิ่งนี้มาให้นางหรือไม่เฉียวเนี่ยนไม่รอคำตอบจากเซียวเหอ นางพูดต่อด้วยตัวเอง “คือความอวดดีและความเพ้อฝันของข้าในอดีต”“ข้าเคยเขียนคำขอความช่วยเหลือนับไม่ถ้วนลงบนผืนผ้านี้ ข้าคิดว่าคนที่เคยรักข้าขนาดนั้นจะต้องมาช่วยข้าแน่น
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เซียวเหิงก็เผยแววไม่พอใจขึ้นในใจ “เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของนาง แม้เจ้าจะรออยู่ตรงนี้จนตาย นางก็อาจจะไม่ยอมพบเจ้า”แต่คำพูดนี้ กลับทำให้หลินเย่ว์หัวเราะเย็นชา “ที่แท้แม่ทัพเซียวเอง ก็รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร”ทั้งที่รู้ดีว่านางเป็นคนเช่นนั้น เหตุใดจึงยังไม่ยอมปล่อยนางไป?ใบหน้าของเซียวเหิงแข็งกร้าว มือที่ไพล่หลังแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่หลินเย่ว์กลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เพียงค้อมศีรษะให้เซียวเหอ “ขอรบกวนด้วย”จากนั้นก็หันก้าวไปยืนอีกด้านถึงจะต้องรอ แต่ก็ไม่อาจยืนขวางอยู่ตรงประตูใหญ่ให้ดูไม่งามเซียวเหอก้มมองห่อผ้าเล็ก ๆ ในมือตนอีกครั้งคราบสีน้ำตาลคล้ำที่เกาะอยู่บนผ้าดูเหมือนจะเป็นรอยเลือดแห้งเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อครู่ เห็นหลินเย่ว์เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คิดว่าคงเป็นสิ่งของล้ำค่ายิ่งนักคิดได้ดังนั้น เขาก็หันก้าวเข้าไปในเรือนเล็กเซียวเหิงรีบตามเข้าไปเมื่อเห็นเซียวเหอทำท่าจะนำห่อผ้านั้นไปให้เเฉียวเนี่ยนจริง ๆ เซียวเหิงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมา “เนี่ยนเนี่ยนอาจไม่อยากเห็นของสิ่งนั้น”แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าภายในมีอะไรแต่จากท่าทีขอ
"นางไม่ต้องการพบพวกท่าน"เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังของเซียวเหอทุกคนถึงกับชะงักแล้วก็เห็นเซียวเหิงก้าวออกมาจากเรือนเล็กอย่างช้า ๆ ใบหน้าของเขามืดครึ้มจนดูน่ากลัวเมื่อเห็นดังนั้น หลินเย่ว์ก็โกรธจนตัวสั่น"เซียวเหิง! เจ้าอีกแล้ว!"เขาตะโกนลั่น พร้อมพยายามดิ้นหลุดจากการกักกันขององครักษ์ "เพราะเจ้า! เจ้ากักขังเนี่ยนเนี่ยนไว้ เกือบทำให้นางตาย! ตอนนี้ยังคิดจะทำอะไรอีก? จะพานางไปกักขังที่อื่นอีกหรือ?!"ท่านโหวหลินก็สั่นด้วยความตื่นตระหนก "เหิงเอ๋อร์! แม่ทัพเซียว! ขอร้องล่ะ ให้ข้าได้พบเนี่ยนเนี่ยนเถอะ! นางไม่ยอมพบเรา เพราะนางยังไม่รู้ความจริงแน่ ๆ เนี่ยนเนี่ยนนาง...""นางรู้อยู่แล้ว"เสียงเย็นชาของเซียวเหิงดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนตระกูลหลินทั้งหมดตกตะลึงหลินเย่ว์เบิกตากว้างมองเซียวเหิง "เจ้าว่าอะไรนะ?"แม้แต่เซียวเหอเองก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ เคยมีช่วงหนึ่งที่เนี่ยนเนี่ยนเปลี่ยนไปนางขังตัวเองในห้องนานมาก... นานจนแทบไม่ได้ออกมาบางทีอาจจะเป็นตอนนั้นฮูหยินหลินเองก็ไม่อยากจะเชื่อ "เจ้าว่าอะไรนะ? นางรู้แล้ว? รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?!""ตอนเสี่ยวชุ่ยตาย" เซีย
เฉียวเนี่ยนไม่ค่อยอยากให้เขาเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ที่นี่ มีต้นเหมยแดงที่จิ่งเหยียนเป็นคนปลูกไว้ที่นี่… เป็นสถานที่ของจิ่งเหยียนนางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังหันกลับไปมองเซียวเหิงเมื่อสายตาทั้งสองสบกัน นางกลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพียงแค่มองเขาอย่างเงียบงันใบหน้าตรงหน้านี้ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าภาพในความทรงจำอยู่มากอาจเพราะการเดินทางติดต่อกันหลายวัน ทำให้เขาดูเหน็ดเหนื่อย แววตาระหว่างคิ้วแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่เด็กหนุ่มในอดีตไม่เคยมี สายตาที่มองมาที่นาง ก็ไม่เย็นชาอย่างในวัยเยาว์อีกต่อไปเขาก็ยังเป็นเขา แต่กลับไม่เหมือนเขาอีกต่อไปแล้วเฉียวเนี่ยนรู้ดี ว่าตัวนางเองก็เปลี่ยนไปเช่นกันหลินเนี่ยนในวันวาน หากได้เห็นเซียวเหิงในวันนี้ คงจะโผเข้าหาเขาด้วยความดีใจ วิ่งวนรอบตัวเขาเหมือนผีเสื้อ ไม่หยุดพูดเลยสักนิดแต่เฉียวเนี่ยนในตอนนี้ เพียงแค่เงียบมองเขา… โดยไร้คำพูดใดมือของเซียวเหิงที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว กำแน่นโดยไม่รู้ตัวแม้จะเคยเห็นความเงียบของนางมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็ยังไม่อาจชินได้หลังผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาก็ยังชอบนางในแบบที่เคยเป็น เด็กสาวที่ชอบเรียกเขาว่า "ท่านพ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเซียวเหิงก็ฉายแววไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยกมือขึ้นมา ชนหมัดกับเขา……รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ กว่าครึ่งเดือนต่อมาถึงได้เข้าเมืองหลวงเดิมทีเฉียวเนี่ยนคิดว่าตนเองจะถูกส่งไปยังเรือนพักตากอากาศนอกเมือง แต่ก็ไม่คิดว่ารถม้าจะหยุดลงตรงหน้าเรือนหลังเล็กของตนชั่วขณะหนึ่ง นางแทบคิดว่าเซียวเหิงเพียงแค่แวะพักที่นี่ไม่นานเท่านั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงของหนิงซวง ที่แฝงไว้ด้วยเสียงสะอื้นชัดเจน “คุณหนู!”เฉียวเนี่ยนตกใจ รีบร้อนลงจากรถม้ายังไม่ทันยืนได้มั่น ร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามากอดนางแน่นในทันที“คุณหนู ฮือ ๆ ๆ บ่าวรู้ว่าคุณหนูต้องยังมีชีวิตอยู่!”หนิงซวงร้องไห้จนทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลพราก ทุกถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมอย่างสุดใจ“บ่าวรอคุณหนูอยู่ทุกวัน ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาแล้ว ฮือ…”เฉียวเนี่ยนเองก็น้ำตาไหลทันทีเช่นกัน นางกอดหนิงซวงกลับแน่น ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้เลยนางไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี ว่าคุณหนูของนางคนนี้ ก็เคยคิดจะไม่กลับมาอีกตลอดกาล…นายบ่าวสองคนกอดกันร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงอ่อนโยนของเซียวเหอดังขึ้น“เข้าไ
เซียวเหอกำลังขี่ม้าอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ก็หันไปมองรถม้าคันนั้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเหลือบมองเซียวเหิงที่อยู่ข้างกายก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าคิดจะพานางกลับไปที่ใด?”เซียวเหิงหันไปมองเซียวเหอครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบอะไรที่จริงแล้วเซียวเหอพอจะเดาได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เซียวเหิงจะพาเนี่ยนเนี่ยนกลับไปยังเรือนที่เคยกักขังนางไว้ก่อนหน้านี้จึงมองตรงไปข้างหน้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ามิกลัวว่านางจะกระโดดแม่น้ำฉางหยางอีกครั้งหรือ?”ทั้งที่ต่างก็รู้ดีว่า ด้วยนิสัยของเฉียวเนี่ยนนั้น ไม่มีทางยอมจำนนได้ง่าย ๆครั้งนี้ เนี่ยนเนี่ยนรอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์แต่ใครจะรับประกันได้ว่าหากเกิดเหตุขึ้นอีกครั้ง นางจะยังโชคดีเช่นนี้อยู่?การได้เห็นขณะที่นางตกลงไปในแม่น้ำฉางหยางกับตา ความเจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์จากความไม่รู้ว่านางเป็นหรือตาย พวกเขาต่างก็ได้ประสบมาด้วยตัวเองแล้วทั้งนั้นสีหน้าของเซียวเหิงมืดครึ้มอย่างหนักเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เซียวเหอพูดมานั้นมีเหตุผลแต่เขาก็กลัวเช่นกัน กลัวว่าเมื่อมีระยะห่างระหว่างกันแล้ว เขาจะยิ่งไม่สามารถเข้าใกล้