เร่งเดินทางมาตลอดทาง จนใกล้ยามเที่ยง ในที่สุดทั้งสองก็เดินทางมาถึงตัวเมืองเล็กๆเฉียวเนี่ยนจัดการให้ฉู่จืออี้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมก่อน จากนั้นก็ออกไปจัดหาโอสถโชคดีที่แม้เมืองนี้จะเล็ก แต่กลับมีสมุนไพรครบถ้วนเมื่อบดสมุนไพรแล้วจึงทาลงบนเปลือกตา แล้วใช้ผ้าสีดำผืนหนึ่งปิดตาของฉู่จืออี้ไว้“สองวันนี้พี่ใหญ่อย่าเพิ่งลืมตานะเจ้าคะ รอปิดแผลไว้สองวันแล้วค่อยดูอีกที ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พี่ใหญ่พักที่นี่สักหน่อยก่อน ข้าจะออกไปดูว่าที่เมืองนี้มีรถม้าหรือไม่ จะได้ไปเช่ามาสักคัน จากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทางกัน”เฉียวเนี่ยนเอ่ยสั่งอย่างอ่อนโยน ฉู่จืออี้เงียบฟังจนจบ ค่อยพยักหน้าเบาๆ “อืม ระวังตัวด้วย”นักลอบสังหารเมื่อคืนถูกจัดการจนหมด หากยังจะมีนักลอบสังหารกลุ่มใหม่ตามมา ก็คงยังไม่เร็วถึงเพียงนี้ดังนั้นตอนนี้ที่เฉียวเนี่ยนออกไปคนเดียว จึงยังปลอดภัยอยู่เมื่อจัดฉู่จืออี้ให้นอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว เฉียวเนี่ยนก็ออกจากห้องไปพอสอบถามจากเด็กในโรงเตี๊ยม ก็สามารถหาสถานที่เช่ารถม้าได้อย่างรวดเร็วนางคิดถึงสภาพของฉู่จืออี้ตอนนี้ คาดว่าอีกหลายวันต่อจากนี้คงต้องเป็นนางที่ขับรถม้าเอง จึงเลือกเช่าคันที่ใหญ่
เขาที่เป็นเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะผ่านความสูญเสียอย่างแสนสาหัสนับครั้งไม่ถ้วนหล่อหลอมขึ้นมาคนอย่างเขา จะมีอะไรที่ดีได้เล่า?เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่จืออี้ มือของเฉียวเนี่ยนก็ชะงักไปเล็กน้อยเพียงคำพูดไม่กี่พยางค์ นางก็สัมผัสได้ถึงรสขมขื่นอันเข้มข้นไม่อาจไม่หวนคิดถึงถ้อยคำที่ฉู่จืออี้เคยพูดไว้ข้างเตียงนางในตอนนั้นลงมือฆ่าพี่ใหญ่ทั้งห้าของตนเองกับมือ ตลอดหลายปีมานี้ ในใจของฉู่จืออี้คงขมขื่นยิ่งนัก...ผ่านไปครึ่งชั่วยาม การฝังเข็มจึงค่อยๆ เสร็จสิ้นโลหิตสีดำจากพิษไหลออกจากบาดแผลของฉู่จืออี้ จนกระทั่งโลหิตกลับมาเป็นสีแดงดังเดิม เฉียวเนี่ยนจึงเริ่มทายาและพันแผลให้ฉู่จืออี้ขณะนี้ ท้องฟ้าเริ่มสว่างเรื่อๆ แล้วในป่าก็เริ่มมีเสียงนกขับขานเมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉู่จืออี้ก็เหมือนจะรู้ว่าฟ้าสางแล้ว จึงลุกขึ้นยืน พูดกับเฉียวเนี่ยนว่า “ไปกันเถอะ”พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไปโดยไม่รอเห็นดังนั้น เฉียวเนี่ยนก็รีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนของฉู่จืออี้ แล้วแบกขึ้นพาดไว้บนไหล่ของตนประคองฉู่จืออี้เดินไปข้างหน้าเงียบๆร่างกายของฉู่จืออี้ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงปล่อยให้นางที่ร่างบางกว่าเขามาก
หัวใจที่เพิ่งสงบลงทันทีที่ได้เห็นฉู่จืออี้ ก็กลับมาตึงเครียดขึ้นอีกครั้งเพราะคำพูดของฉู่จืออี้ในชั่วพริบตาแม้แสงจันทร์จะส่องลอดเข้าไปในป่าไม่ได้ แต่เฉียวเนี่ยนก็ยังพอมองเห็นลางๆ ว่าดวงตาทั้งสองของเขากำลังเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้แววนางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปโบกอยู่ตรงหน้าของฉู่จืออี้แต่กลับถูกฉู่จืออี้คว้ามือเอาไว้ “ยังพอมองเห็นเงาได้บ้าง แต่บางที อีกเดี๋ยวอาจจะมืดสนิทเลยก็ได้”ได้ยินเช่นนั้น เฉียวเนี่ยนก็รีบยื่นมือไปจับชีพจรของฉู่จืออี้ทันทีไม่ผิดแน่ เขาถูกวางยานางจึงเริ่มลูบไล้สำรวจตามร่างของฉู่จืออี้ทันทีขณะนี้ฉู่จืออี้แทบจะมองไม่เห็น อาศัยเพียงเงาลางๆ ประกอบกับความมืด ก็แทบไม่ต่างจากคนตาบอดทำให้ประสาทสัมผัสทางกายยิ่งอ่อนไหวขึ้นตอนนี้ที่ถูกนางลูบสำรวจทั่วร่าง ก็รู้สึกเหมือนหนังศีรษะชาวาบไปหมดเขากำลังจะเอ่ยปากถามว่านางทำอะไร แต่แล้วก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของนางดังขึ้น “บาดเจ็บจริงด้วย”พูดจบ เฉียวเนี่ยนก็ยกมือที่เปื้อนเลือดขึ้นมาดมอย่างละเอียด “กลิ่นคาวเลือดชัดเจน อาวุธของฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีพิษ พวกเราต้องหาที่รักษาแผลก่อน”เฉียวเนี่ยนพูดพลางก็ประคองฉู่
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะมั่นใจได้ว่านางจะปลอดภัยอย่างถึงที่สุดแต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีแค่สี่คนไม่นานก็มีนักรบพลีชีพในชุดดำอีกหลายคนเข้าร่วมการต่อสู้ฉู่จืออี้อุ้มเฉียวเนี่ยนไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างใช้ต่อสู้ ย่อมไม่อาจคล่องแคล่นักทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่อาจเข้าใกล้แม้เพียงครึ่งก้าวการโจมตีระรอกแรกจบลง เฉียวเนี่ยนยังคงได้รับการปกป้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างดีกลับเป็นฝ่ายนักลอบสังหารเองที่ได้รับบาดเจ็บไปหลายคนแต่ล้วนเป็นบาดแผลเล็กน้อย ไม่สาหัสหัวหน้านักรบพลีชีพหันไปมองพวกพ้องตนเอง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “พวกข้าได้รับเงินมาก็ต้องสะสางภารกิจให้เรียบร้อย ไม่ได้อยากมีปัญหากับท่านอ๋อง หวังว่าท่านอ๋องจะโปรดเข้าใจ ส่งตัวนางให้พวกข้าไปสะสางเรื่องนี้”ฉู่จืออี้ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “แล้วหากข้าไม่ยอมล่ะ?”“ท่านอ๋องฝีมือสูงส่ง พวกข้าคงทำอะไรไม่ได้ในเวลาอันสั้น” อีกฝ่ายพูดเสียงเย็น แฝงไปด้วยจิตสังหาร “แต่ท่านอ๋องมีเพียงสองมือ พวกข้ากลับมีมากคน ต่อให้ใช้การรบแบบผลัดเปลี่ยน ก็สามารถถ่วงเวลาจนท่านอ๋องตายอยู่ที่นี่ได้”กำลังคนของพวกเขาไม่ได้มีกันแค่นี้หากเวลาผ่านไปนานแล้วยังไ
เฉียวเนี่ยนไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่ฉู่จืออี้กำลังคิดอะไรอยู่ดวงตาคู่งามของนางจ้องมองขนมแป้งอบที่สะท้อนแสงจากกองไฟเงียบๆ ขณะเคี้ยวของแข็งราวกับหินชิ้นนั้น ก็ครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเมื่อตนไปถึงค่ายทหารกลุ่มชนเตอร์กิกวางยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงว่าไม่มีทางยอมเลิกราแน่ต่อให้นางคลี่คลายวิกฤตในค่ายทหารครั้งนี้ได้ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าครั้งหน้ากลุ่มชนเตอร์กิกจะไม่ใช้พิษรูปแบบใหม่อีก?ถึงนางจะสามารถถอนพิษได้เรื่อยๆ แต่ใครจะกล้ารับประกันว่า ทุกครั้งที่มีคนถูกวางยาจะไม่มีใครตาย?แม้แต่หนอนไหมยังสามารถกัดกินใบหม่อนทั้งใบจนหมดได้วิธีรับมือแบบ ‘ทหารมาก็ส่งแม่ทัพ น้ำมาก็ก่อดินต้าน’ ดูเหมือนจะใช้กับสถานการณ์นี้ไม่ได้ผลนักพิษที่เคยทำให้บาดแผลไม่สมาน รวมถึงพิษที่ทำให้ท้องเสียครั้งนี้ ล้วนต่างจากพิษทั่วไปที่พบในท้องตลาด เฉียวเนี่ยนคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าต้องมาจากสำนักราชาโอสถแน่เพราะฉะนั้น หลังจากจัดการพิษท้องเสียครั้งนี้แล้ว นางต้องหาทางไปยังสำนักราชาโอสถให้ได้ขณะเฉียวเนี่ยนกำลังคิดอยู่ คลื่นง่วงเหงาหาวนอนก็ถาโถมเข้ามานางจึงเอนตัวพิงต้นไม้ แล้วหลับไปอย่างนั
เพียงแต่ว่า ความไว้ใจเช่นนี้ เฉียวเนี่ยนเคยมีให้แค่เขาเท่านั้นเมื่อตอนนางยังเล็ก เคยกอดคอเขาแน่น พูดทีละคำอย่างหนักแน่นว่า ‘มีพี่ใหญ่อยู่ ข้าย่อมไม่เป็นอะไร!’เหตุใดตอนนี้ ในสายตานางจึงไม่มีพี่ใหญ่อย่างเขาแล้ว?เขาทำน้องสาวที่เคยชอบเขาขนาดนั้น ไว้ใจเขาขนาดนั้นหล่นหายไปได้อย่างไร?หางตาเขาเผลอแดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเจ้าห้ามองภาพตรงหน้า ก็เผลอนึกถึงเรื่องที่เฉียวเนี่ยนเคยเล่าให้พวกเขาฟังมาก่อนเขาขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายก็ไม่เอ่ยคำปลอบใจใดๆ เพียงหันหลังเดินกลับเข้าโรงเตี๊ยมไป……เฉียวเนี่ยนกับฉู่จืออี้ก็ขี่ม้าเดินทางเช่นนี้มาตลอด กระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมา ทั้งสองมาถึงเมืองเล็กข้างหน้า เปลี่ยนม้าที่สถานีพักม้า พักเพียงครู่เดียวแล้วก็เดินทางต่อสามวันต่อเนื่อง ก็เป็นเช่นนี้ทุกวันเพียงแต่วันที่สาม ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พวกเขาก็ยังหาสถานีพักม้าไม่เจอเพราะกลัวว่าม้าจะตายเสียก่อน สองคนจึงหยุดพักข้างทาง“เอ้านี่” ฉู่จืออี้จุดไฟเสร็จ ก็หยิบขนมแป้งอบออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้เฉียวเนี่ยนเฉียวเนี่ยนรับไว้ แต่ยังไม่กินฉู่จืออี้ผูกม้าทั้งสองตัวไว้กับต้นไม้ข้างทาง ก่อนจะหันกลับมา เห็นเฉียวเนี่