ในขณะที่หวงเชียนเล่อออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ กัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้ามาปรนนิบัติรินน้ำชาให้เจ้านาย
“ฮูหยิน ท่านก็จิบน้ำชาสักนิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า” กัวลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
กัวรั่วพยักหน้าพลางรับถ้วยชามา แล้วหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ “ดูสิ ลี่ลี่ ทำเลที่ตั้งของที่นี่ช่างดียิ่ง มองเห็นลำธารและภูเขา ยามเย็นก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย”
“บ่าวก็ว่าสวยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบรับในขณะแกะกางปลาใส่จานให้นายหญิง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าผู้มากลับไม่ใช่หวงเชียนเล่อ แต่เป็นหวังหลิง เหมยซิน รวมถึงหลินซูก็เดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮูหยินน้อยตระกูลโจวจะแอบนัดพบผู้ชายกลางวันแสกๆ” หวังหลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความดูแคลน “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าหน้าจิ้งจอกของเจ้ามียางอายอยู่บ้างหรือไม่”
กัวรั่วชิงวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น “ไม่ทราบว่าธุระของคุณหนูหวัง และคุณหนูอีกสองท่านคืออะไร ถึงได้รีบร้อนกรูกันเข้ามาแบบนี้”
“ธุระอะไรน่ะหรือ ข้าก็แค่เห็นดอกชิ่งกำลังยื่นออกนอกกำแพง ก็เลยจะมาเตือนสติเจ้าเสียหน่อย” หวังหลิงหัวเราะออกมาอย่างดังจนเสียงสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
“เตือนสติข้า?” กัวรั่วชิงยกยิ้ม มองหวังหลิงอย่างยียวน
“ยังจะลอยหน้าอยู่อีก หวังหลิงแค่อยากเตือนเจ้าว่าอย่ามาล่อลวงท่านแม่ทัพฉีหลิงของพวกเราหน่อยเลย” เหมยซินรีบกล่าวเสริมราวกับนัดกันไว้กับหวังหลิง
“แม่ทัพฉีหลิงของพวกเจ้า?” กัวรั่วชิงยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “แล้วไยข้าจะต้องรู้สึกอับอายกับการมานั่งกินข้าวในร้านอาหารที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังมีคนสนิทอยู่เคียงข้าง แล้วก็เดินเข้ามาในร้านอย่างเปิดเผย ไฉนถึงได้ถูกกล่าวหาว่ามาพบปะบุรุษอย่างลับๆ ได้”
“กั่วรั่วชิงอย่าปากดีหน่อยเลย ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้านั้นเป็นสตรีมากมารยา อย่ามาทำให้ท่านแม่ทัพของพวกเราแปดเปื้อนนะ” หลินซูตอบโต้แทนสหายทันควัน
“แล้วพวกเจ้าดีกว่าข้าจริงหรือ ทั้งเข้ามาในห้องส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ซ้ำยังโวยวายกล่าวหาผู้อื่นด้วยท่าทีราวแม่ค้าร้านตลาด บิดามารดาของพวกเจ้าช่างเลี้ยงพวกเจ้ามาได้น่าภาคภูมิดีแท้” กั่วรั่วชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเย้นหยันอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้า! กล้าด่าข้า” หวังหลิงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ทำไมจะไม่กล้า ข้าเป็นบุตรีของชิงผิงโหว อีกทั้งยังเป็นฮูยินชื่อจื่อจวงเซียงป๋อ ใช่คนที่คุณหนูตระกูลขุนนางเล็กๆ จะสั่งสอนได้หรือ” กัวรั่วชิงเชิดหน้าขึ้นอย่างสง่างาม “ข้าต่างหากที่ต้องห่วงพวกเจ้า เพราะต่อให้คำเล่าลือถึงข้าไม่ค่อยน่าฟัง จนพวกเจ้ากล้าไร้มารยาทด้วย แต่แม่ทัพฉีหลิงใช่คนที่พวกเจ้าจะกล่าวว่าจาล่วงเกินได้เช่นนั้นหรือ เขาเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของแคว้น แม่ทัพพิทักษณ์ประจิม พวกเจ้ากลับบอกว่าเขากำลังถูกข้าล่อลวง นี่ไม่เป็นการหมิ่นเกียรติยศของเขาอยู่หรือไร เจ้ามีกันกี่หัว!” กัวรั่วชิงมองพวกนางด้วยสายตาเยียบเย็นจนเหมยซินกับหลินซูถึงกับชะงัก แต่หวังหลิงที่เป็นบุตรสาวของเสนาบดีช่วยขั้นสี่กรมกลาโหมกลับยิ่งเดือดดาล
“ปากดีนักนะ ข้าจะตบสั่งสอนเจ้า!” หวังหลิงตรงดิ่งเข้าหากัวรั่วชิง ง้างมือขึ้นหมายจะตบตีอีกฝ่ายให้หายแค้น แต่ก่อนที่จะได้ลงมือทำตามใจนึก มือของนางกลับถูกใครบางคนยึดไว้อย่างแน่นหนา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” หวงเชียนเล่อก็เข้ามาหยุดมือนางไว้จากข้างหลัง
“ทะ...ท่านแม่ทัพ” หวังหลิงใบหน้าเหยเกเพราะเจ็บที่ข้อมือ
“ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นผู้ใด เหตุใดเจ้าถึงได้เสียมารยาทกับแขกของข้าเยี่ยงนี้” หวงเชียนเล่อจ้องนางด้วยแววตาแข็งกร้าว
“ท่านแม่ทัพ คุณหนูพวกนี้จู่ๆ ก็บุกเข้ามา แล้วบอกว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกฮูหยินของบ่าวล่อลวงอยู่เจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ไม่รีรอที่จะจุดไฟเติมฟืน นางไม่มีทางปล่อยให้คนที่มาดูถูกเจ้านายได้กลับออกไปแต่โดยดีแน่นอน “ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับฮูหยินด้วย ท่านแม่ทัพอุตส่าห์นัดฮูหยินมาเพื่อเจรจาขอสั่งซื้อเครื่องหอมสำหรับกันยุงไปใช้ในกองทัพแท้ๆ แต่คุณพวกนี้กลับกล่าวหาว่าฮูหยินของบ่าวมาพบชู้รักเจ้าค่ะ”
“ชู้รักงั้นรึ กล้าดียิ่งนักที่มอบตำแหน่งนี้ให้กับข้า” น้ำเสียงของหวงเชียนเล่อพลันเย็นยะเยือก ใบหน้าของเขาตอนนี้ไร้รอยยิ้มอย่างสิ้นเชิงและดูน่าเกรงขามจนน่ากลัว “ในเมื่อพวกเจ้าขาดการอบรม ข้าก็จะสั่งสอนพวกเจ้าเอง”
ใบหน้าของคุณหนูทุกคนซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ท่านแม่ทัพ ข้าเปล่า ข้าไม่ได้พูด” เหมยซินแก้ตัวปากคอสั่น
“ทั้งหมดนี้...เป็นเพราะหวังหลิงเจ้าค่ะ นาง...นางบังคับให้พวกข้าเข้ามาหาเรื่องกัวรั่วชิงด้วยกัน” หลินซูชี้มือไปที่หวังหลิงเพื่อกล่าวโทษ
“ใช่ข้าคนเดียวซะที่ไหน ก็พวกเจ้าไม่ใช่หรือไงที่ยุยงข้าให้มาจัดการหญิงแพศยาผู้นี้” หวังหลิงโวยวายที่สหายโยนหม้อดำให้นางรับไว้คนเดียว เรื่องอะไรต้องยอม
“ไม่ต้องเถียงกัน!” หวงเชียนเล่อตะคอกเสียงดังสนั่นไปทั้งร้าน จนผู้คนเริ่มขึ้นมามุงดู “เด็กๆ นำตัวคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหล่านี้ไปที่หน้าจวนของพวกนาง แล้วตบปากสิบครั้ง ให้บิดานางรับรู้ว่าหากไม่อบรมบุตรธิดาให้ดี จะต้องพบเจอกับอะไร”
“ไม่นะ ข้าผิดไปแล้ว กัวรั่วชิง...ช่วยข้าด้วย บอกท่านแม่ทัพให้ละเว้นพวกข้าที” หวังหลิงกับคุณหนูอีกสองคนที่กำลังถูกคนของหวงเชียนเล่อลากไป พยายามร้องไห้อ้อนวอนทั้งน้ำตา แต่กัวรั่วชิงหาได้สงสารพวกนางแม้แต่นิดเดียว
“เอาล่ะๆ เรื่องที่น่าสนใจจบลงแล้ว ขอให้ทุกท่านไปกินข้าวกันต่อเถิดเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่รีบออกมาตรงหน้าประตู กล่าวเป็นเชิงไล่พวกสอดรู้สอดเห็นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วปิดประตูทันใด
หวงเชียนเล่อหันมามองกัวรั่วชิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะ สีหน้าแววตาที่เคยดุดันดุจพยัคฆ์บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เขามองดวงหน้างามพิลาสของนางที่ยังคงสงบนิ่ง แต่แววตาซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ และใช้มือที่ใหญ่และอบอุ่นจับมือของนางไว้อย่างไม่สนใจสิ่งใด “ไม่เป็นไรแล้ว...เจ้าปลอดภัยแล้ว”
กัวรั่วชิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย “รั่วชิงไม่เป็นไร ขอบคุณท่านมาก”
“ข้าเป็นพันธมิตรของเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกเจ้าได้อีก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงใจ
“แต่ก็จริงของพวกนาง ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว หากท่านพบข้า ก็อาจถูกครหาได้”
“ผู้ใดกล้าวิจารณ์ข้าเยี่ยงนั้นก็ลองดู ข้าจะจัดการมันให้ไม่เหลือหัวไว้พูด”
“ทำไมท่านต้องทำขนาดนี้ด้วย”
“ข้าเคยบอกไปแล้ว ข้าจะทำในสิ่งที่อยากทำ และข้า... ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ รอจนกว่าเจ้าจะบรรลุเป้าหมาย”
คำพูดของหวงเชียนเล่อทำให้กัวรั่วชิงรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางพยักหน้ารับอย่างช้าๆ มือของนางที่สั่นเทาคลายออกและจับมือของเขาไว้แน่น ราวกับต้องการยึดเหนี่ยวผู้ชายตรงหน้าเอาไว้ เป็นการแสดงความเชื่อใจที่กัวรั่วชิงมีให้หวงเชียนเล่ออย่างหมดใจ
ภายในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างามของจวนจวงเซียงป๋อ โจวจื่อหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม มือเรียวยาวที่ถือพู่กันนิ่งสนิท ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขามาตลอดทั้งวัน“ซื่อจื่อขอรับ” เสียงจากคนสนิทหน้าประตูทำให้เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง“มีอะไร”“คนขับรถม้าที่พาฮูหยินไปข้างนอกวันนี้ มาขอพบขอรับ”“ให้เขาเข้ามา” โจวจื่อหมิงตอบโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าหากคนขับรถม้ามาหาถึงที่เช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องรับรู้พอเข้ามาด้านในคนขับรถม้าก็รีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะซื่อจื่อขอรับ”“ไม่ต้องมัวโอ้เอ้ รีบรายงานมา”“ขอรับ” คนขับรถม้ารับคำ แล้วรีบเล่าทุกอย่างที่ตนเองเห็นในวันนี้ “ฮูหยินไปที่ร้านเครื่องหอมตามปกติ แต่แทนที่จะรีบกลับจวน นางกลับสั่งให้ข้าไปส่งที่ร้านหอชมจันทร์ ข้าเห็นกับตาว่าแม่ทัพฉีหลิง รอนางอยู่ที่นั่นขอรับ”ดวงตาของโจวจื่อหมิงเบิกกว้างด้วยความไม่พอใจ ความจริงเขาไม่เคยสนใจว่ากัวรั่วชิงจะไปที่ใด แต่เขาสนใจว่ายามนี้นางถึงกลับกล้าไปกับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา“ฮูหยินกับแม่ทัพฉีหลิงดูเหมือนจะสน
ในขณะที่หวงเชียนเล่อออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ กัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้ามาปรนนิบัติรินน้ำชาให้เจ้านาย“ฮูหยิน ท่านก็จิบน้ำชาสักนิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า” กัวลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกัวรั่วพยักหน้าพลางรับถ้วยชามา แล้วหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ “ดูสิ ลี่ลี่ ทำเลที่ตั้งของที่นี่ช่างดียิ่ง มองเห็นลำธารและภูเขา ยามเย็นก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย” “บ่าวก็ว่าสวยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบรับในขณะแกะกางปลาใส่จานให้นายหญิงในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าผู้มากลับไม่ใช่หวงเชียนเล่อ แต่เป็นหวังหลิง เหมยซิน รวมถึงหลินซูก็เดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮูหยินน้อยตระกูลโจวจะแอบนัดพบผู้ชายกลางวันแสกๆ” หวังหลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความดูแคลน “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าหน้าจิ้งจอกของเจ้ามียางอายอยู่บ้างหรือไม่”กัวรั่วชิงวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดห
หลังจากที่พันธมิตรของหวงเชียนเล่อและกัวรั่วชิงก่อตัวขึ้นแล้ว เพียงสามวัน เขาก็ได้ส่งสาส์นเชิญนางมาพบที่ร้านอาหาร 'หอชมจันทร์' ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ตัวร้านตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำทอประกายระยิบระยับรับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ มีเรือน้อยใหญ่ล่องผ่านไปมาอย่างเนิบช้า ริมสองฝั่งน้ำมีต้นหลิวที่ทอดกิ่งก้านพลิ้วไหวตามสายลม เป็นภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำให้รู้สึกสงบใจอย่างยิ่งในยามเซิน[1]ของวัน กัวรั่วชิงพร้อมกัวลี่ลี่มาถึงหอชมจันทร์ตามนัดหมาย นางในชุดสีชมพูกลีบบัวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่ยังคงความเรียบง่ายสง่างาม รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลงที่หน้าประตูร้าน และเมื่อนางก้าวลงมา หวงเชียนเล่อในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุขุมสง่างามก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาผายมือเชื้อเชิญนางให้เดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่พวกคุณหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หวังหลิงและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองพากันกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาในความงามของนางและในท่าทางของเขา“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน” เหมยซินเอ่ยถามขึ้นและชี้ชวนให้สหายทั้งสองมอง “เหมือนว่านั่นจะเ
ในที่สุดก็มาถึงวันที่กัวรั่วชิงนัดกับแม่ทัพฉีหลิงไว้ที่ร้านเครื่องหอมของนาง ภายในร้านจื่อชิงถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสง่า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้อบอวลไปทั่ว เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวจนแทบไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเมืองหลวงกัวรั่วชิงในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าอันงดงามราวกับถูกสลักเสลามาอย่างประณีต ขนตางอนยาวทอดตัวเป็นเงาบนพวงแก้ม นางกำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหลัง ในขณะที่ลูกจ้างหญิงของร้านสองคนยืนจัดเครื่องหอมและเครื่องประทินผิวอยู่หน้าร้าน การที่นางเห็นตัวเลขในบัญชีมีแต่ผลกำไรทำให้ดวงตาหงส์ที่เคยหม่นหมองยามอยู่ในจวนของสามี บัดนี้กลับสุกใสมีประกายนางมีความสุขเสมอเมื่อได้มาตรวจตรากิจการ ที่นี่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว เป็นที่ที่นางสามารถเป็นตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสวมบทบาทภรรยาที่สามีคอยวางท่าห่างเหินเย็นชาให้ผู้อื่นนึกสงสารหรือหัวเราะเยาะนางเวลาที่เขามาหาเรื่องยามอู่[1]ของวันนั้น แม่ทัพฉีหลิงในชุดผ้าไหมสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็มาถึงตามนัดหมาย ไม่มีการแห่แหนหรือผู้ติดตามใดๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข
ยามรุ่งสาง โจวจื่อหมิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ภาพของกัวรั่วชิงในศาลบรรพชนยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การโต้ตอบที่แข็งกร้าวของนางเมื่อวานนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายตลอดเวลา หลังจากจัดการธุระยามเช้าเสร็จ เขาก็เดินทอดน่องไปตามทางเดินอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนของกัวรั่วชิงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาถึงเรือนของนาง โจวจื่อหมิงไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน เขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมที่ทอดยาวเลียบสวน และเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ที่สามารถมองเห็นสวนด้านในได้อย่างชัดเจน ในใจนึกว่าตนเองจะได้เห็นภาพฮูหยินกำลังร้องไห้หรือเศร้าซึมอย่างที่ควรจะเป็นแต่ภาพที่โจวจื่อหมิงเห็นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง กัวรั่วชิงในชุดสีชมพูอ่อนที่ดูสดใส กำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลา นางมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างร่าเริงขณะพูดคุยกับสาวใช้ โจวจื่อหมิงมองเห็นภาพที่นางยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในสวนมาดมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของนางในความทรงจำของเขาถูกแทนที่ด้วยความสดใส และแววตาที่เคยหม่นหมองก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข“ฮูหยินเจ้า
โจวจื่อหมิงกำลังนั่งจิบชาและดูตำราพิชัยสงครามอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง หลิวซิ่วเหยาในชุดที่ดูยับยู่ยี่เล็กน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา นางทำตัวน่าสงสารจนสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังรู้สึกเห็นใจ“นายท่านเจ้าขา... ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซิ่วเหยาเข้าไปเกาะแขนโจวจื่อหมิงไว้ด้วยความน่าสงสาร “ข้าแค่เป็นห่วงท่านที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินที่น่ากลัว... ข้าจึงไปเยี่ยมฮูหยินที่ศาลบรรพชน แต่กลับถูกดุด่าอย่างรุนแรง ทั้งฮูหยินและบ่าวรับใช้ของนางไม่ไว้หน้าข้าเลยเจ้าค่ะ”โจวจื่อหมิงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ เขาปัดมือของหลิวซิ่วเหยาออกอย่างไม่ใยดี “ไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ ข้ากำลังดูตำราอยู่”หลิวซิ่วเหยาเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “แต่ฮูหยิน... ฮูหยินถึงขั้นขู่จะลงโทษข้าเจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนโปรดของท่าน”โจวจื่อหมิงที่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเย็นชาลง เขาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในใจ 'ช่างกล้าดียิ่งนัก... เจ้ากำลังเรียกร้องความตายจากข้า' เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วมองหลิวซิ่วเหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้ากลับไปรอที่เรือนของเจ้า