หลังจากที่พันธมิตรของหวงเชียนเล่อและกัวรั่วชิงก่อตัวขึ้นแล้ว เพียงสามวัน เขาก็ได้ส่งสาส์นเชิญนางมาพบที่ร้านอาหาร 'หอชมจันทร์' ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ตัวร้านตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำทอประกายระยิบระยับรับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ มีเรือน้อยใหญ่ล่องผ่านไปมาอย่างเนิบช้า ริมสองฝั่งน้ำมีต้นหลิวที่ทอดกิ่งก้านพลิ้วไหวตามสายลม เป็นภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำให้รู้สึกสงบใจอย่างยิ่ง
ในยามเซิน[1]ของวัน กัวรั่วชิงพร้อมกัวลี่ลี่มาถึงหอชมจันทร์ตามนัดหมาย นางในชุดสีชมพูกลีบบัวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่ยังคงความเรียบง่ายสง่างาม รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลงที่หน้าประตูร้าน และเมื่อนางก้าวลงมา หวงเชียนเล่อในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุขุมสง่างามก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาผายมือเชื้อเชิญนางให้เดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่พวกคุณหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หวังหลิงและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองพากันกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาในความงามของนางและในท่าทางของเขา
“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน” เหมยซินเอ่ยถามขึ้นและชี้ชวนให้สหายทั้งสองมอง “เหมือนว่านั่นจะเป็นรถม้าของตระกูลโจวนะ”
“จะเป็นใครได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่ฮูยินโจวซื่อจื่อ” หลินซูเสริมด้วยน้ำเสียงดูแคลน “แต่ไยนางจึงมาที่นี่กับแม่ทัพฉีหลิงได้เล่า”
“กัวรั่วชิงผู้นี้ได้โจวจื่อหมิงไปแล้วยังไม่พอใจ ยังมายุ่งกับท่านแม่ทัพอีก ช่างน่าไม่อาย” หวังหลิงที่มีใจชมชอบหวังเชียนเล่อมาตลอดส่งสายตามาดร้ายไปยังกัวรั่วชิง ในหัวก็คิดแผนการที่จะระบายแค้นครั้งนี้ให้จงได้
ขณะเดียวกันบนชั้นสองของร้าน หวงเชียนเล่อพากัวรั่วชิงไปยังห้องส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างหรูหราแต่ยังคงความอบอุ่น ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงและผ้าม่านผ้าไหมเนื้อดีที่ประดับอยู่โดยรอบ มีโต๊ะอาหารกลมตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่เปิดรับทิวทัศน์ของแม่น้ำยามอาทิตย์อัสดงได้อย่างเต็มตา นางนั่งลงตรงข้ามกับเขา และทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกัน
“ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดจะคุยกับข้าหรือ”
หวงเชียนเล่อนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะกระแฮมออกมา แล้วพูดเหตุผล “หนึ่งข้าแค่อยากเลี้ยงข้าวเจ้า สองคือเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว คิดว่าเราควรทำความรู้จักกันอีกสักหน่อย และการพูดคุยระหว่างกินของอร่อยอาจจะทำให้เรานึกแผนอะไรดีๆ ออก เจ้าว่าไม่ดีหรือ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” กัวรัวชิงรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะวานก่อนนางมั่นใจว่าเห็นหวงเชียนเล่อหน้าแดงตอนที่นางเผลอจับมือเขาเพราะกำลังซาบซึ้งใจ แต่อย่างว่านางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว และเขาอาจจะไม่ได้หวังสิ่งใดในตัวนางเลยก็ได้ ช่างบาปนักที่คิดว่าคนดีๆ เยี่ยงนี้จะคิดอะไรเกินเลยกับตนเอง
หวงเชียนเล่อกลัวว่านางจะไม่เชื่อว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ จึงรีบชวนคุยเข้าเรื่อง “จากที่ข้าได้ไปสืบมาเล็กน้อย ดูเหมือนคนหน้าบางอย่างโจวจื่อหมิงจะไม่ยอมหย่าโดยง่าย ฉะนั้นเราอาจจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อบีบให้เขายินยอมหย่าให้เจ้า”
“เรื่องนี้ข้าก็เคยคิด แต่ตัวคนเดียวข้าไม่อาจสร้างคลื่นลมอะไรได้”
“แต่ตอนนี้เจ้ามีข้าแล้ว...” กัวรั่วชิงได้ยินก็เบิกตากว้างมองหน้าเขาอย่างตกใจ หวงเชียนเล่อรีบกล่าวต่อ “ข้าหมายถึงเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว ข้าย่อมลงแรงช่วยเจ้าทุกอย่าง”
“กะ...ก็... ต้องเป็นเช่นนั้น ข้าก็คิดแบบเดียวกัน” กัวรั่วชิงหลุบตาลงอย่างเก้อกระดาก เพราะเผลอคิดเข้าข้างตนเองอีกแล้ว
บทสนทนากำลังดำเนินไปอย่างตะกุกตะกัก เสี่ยวเอ้อก็นำอาหารเข้ามาจัดเรียงบนโต๊ะ เรียกว่าเป็นระฆังช่วยพอดี หวงเชียนเล่อพลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวเร็ว
“อาหารเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินมาว่าหอชมจันทร์มีชื่อเสียงเรื่องห่านย่าง เจ้าชอบหรือ”
“ห่านย่างก็ดี แต่ว่าข้าชอบไก่ผัดเม็ดมะม่วงมากกว่า”
“ข้าจะจำเอาไว้” เขายิ้มน้อยๆ แล้วคีบอาหารจานนั้นใส่ชามข้าวนาง “ถ้าชอบก็กินมากๆ หน่อย”
“ขอบคุณ” กั่วรั่วชิงมองตะเกียบที่คีบไก่ใส่ชามนางจนพูนด้วยความซึ้งใจ นางไม่คิดเลยว่าเขาเป็นบุรุษที่รู้จักใส่ใจผู้อื่นขนาดนี้
หวงเชียนเล่อเห็นนางกินของชอบเคี้ยวตุ้ยๆ ดูน่ารัก เขาตักน้ำแกงไก่ที่เคี้ยวจนเป็นสีน้ำนมใส่ชามเล็กๆ ส่งให้นาง “ลองนี่ดูสิ ซุปไก่ตุ๋นเป็นอาหารที่บำรุงสุขภาพอย่างดี”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกิน” กัวรั่วชิงเอ่ยเบาๆ แต่ในใจกลับเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกได้ว่าบางทีนางอาจจะไม่ได้คิดไปเอง ความสัมพันธ์พวกเขาไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ แต่มีบางอย่างที่มากกว่านั้นกำลังก่อตัวขึ้นแล้ว
“แล้วท่านล่ะชอบกินอะไร”
“ข้ากินได้หมดนั่นแหละ ขนาดหญ้าข้ายังกินมาแล้ว” หวงเชียนเล่อตอบกลั้วหัวเราะ แต่เบื้องลึกในใจคิดถึงตอนที่ตนติดอยู่ในหุบเขาท่ามกลางศัตรูที่รายล้อม ตอนนั้นเขากับพลทหารที่ยังเหลือรอดต้องกินหญ้ากินแมลงที่พอหาได้เพื่อประทังชีวิต ดีที่ได้รับการช่วยเหลือไว้ทันเวลา
กัวรั่วชิงได้ยินเยี่ยงนั้น ก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกที่ทั้งสงสารทั้งนับถือชายชาตินักรบผู้นี้ เขาทั้งเสียสละความสุขสบาย ทั้งยังเสี่ยงตายอยู่ในสนามรบ “รั่วชิงคิดว่าปลาร่างกระรอกนี้ก็อร่อย ท่านลองชิงดูสิ” นางคีบปลาใส่ชามข้าวเขา รอยยิ้มละไมทำให้หัวใจของแม่ทัพหนุ่มเต้นราวกลองศึก
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ลูกน้องคนสนิทของหวงเชียนเล่อเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านแม่ทัพ มีเรื่องสำคัญจากชายแดนเหนือมาขอรายงานขอรับ”
“ข้ามาแล้ว” หวงเชียนเล่อเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เจ้า... รอข้าที่นี่” เขากล่าวกับกัวรั่วชิงก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับลูกน้อง นางจึงทำได้แค่นั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง
[1] ยามเซิน เป็นเวลาประมาณ 15.00-17.00 น.
ภายในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างามของจวนจวงเซียงป๋อ โจวจื่อหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม มือเรียวยาวที่ถือพู่กันนิ่งสนิท ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขามาตลอดทั้งวัน“ซื่อจื่อขอรับ” เสียงจากคนสนิทหน้าประตูทำให้เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง“มีอะไร”“คนขับรถม้าที่พาฮูหยินไปข้างนอกวันนี้ มาขอพบขอรับ”“ให้เขาเข้ามา” โจวจื่อหมิงตอบโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าหากคนขับรถม้ามาหาถึงที่เช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องรับรู้พอเข้ามาด้านในคนขับรถม้าก็รีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะซื่อจื่อขอรับ”“ไม่ต้องมัวโอ้เอ้ รีบรายงานมา”“ขอรับ” คนขับรถม้ารับคำ แล้วรีบเล่าทุกอย่างที่ตนเองเห็นในวันนี้ “ฮูหยินไปที่ร้านเครื่องหอมตามปกติ แต่แทนที่จะรีบกลับจวน นางกลับสั่งให้ข้าไปส่งที่ร้านหอชมจันทร์ ข้าเห็นกับตาว่าแม่ทัพฉีหลิง รอนางอยู่ที่นั่นขอรับ”ดวงตาของโจวจื่อหมิงเบิกกว้างด้วยความไม่พอใจ ความจริงเขาไม่เคยสนใจว่ากัวรั่วชิงจะไปที่ใด แต่เขาสนใจว่ายามนี้นางถึงกลับกล้าไปกับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา“ฮูหยินกับแม่ทัพฉีหลิงดูเหมือนจะสน
ในขณะที่หวงเชียนเล่อออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ กัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้ามาปรนนิบัติรินน้ำชาให้เจ้านาย“ฮูหยิน ท่านก็จิบน้ำชาสักนิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า” กัวลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกัวรั่วพยักหน้าพลางรับถ้วยชามา แล้วหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ “ดูสิ ลี่ลี่ ทำเลที่ตั้งของที่นี่ช่างดียิ่ง มองเห็นลำธารและภูเขา ยามเย็นก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย” “บ่าวก็ว่าสวยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบรับในขณะแกะกางปลาใส่จานให้นายหญิงในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าผู้มากลับไม่ใช่หวงเชียนเล่อ แต่เป็นหวังหลิง เหมยซิน รวมถึงหลินซูก็เดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮูหยินน้อยตระกูลโจวจะแอบนัดพบผู้ชายกลางวันแสกๆ” หวังหลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความดูแคลน “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าหน้าจิ้งจอกของเจ้ามียางอายอยู่บ้างหรือไม่”กัวรั่วชิงวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดห
หลังจากที่พันธมิตรของหวงเชียนเล่อและกัวรั่วชิงก่อตัวขึ้นแล้ว เพียงสามวัน เขาก็ได้ส่งสาส์นเชิญนางมาพบที่ร้านอาหาร 'หอชมจันทร์' ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ตัวร้านตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำทอประกายระยิบระยับรับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ มีเรือน้อยใหญ่ล่องผ่านไปมาอย่างเนิบช้า ริมสองฝั่งน้ำมีต้นหลิวที่ทอดกิ่งก้านพลิ้วไหวตามสายลม เป็นภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำให้รู้สึกสงบใจอย่างยิ่งในยามเซิน[1]ของวัน กัวรั่วชิงพร้อมกัวลี่ลี่มาถึงหอชมจันทร์ตามนัดหมาย นางในชุดสีชมพูกลีบบัวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่ยังคงความเรียบง่ายสง่างาม รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลงที่หน้าประตูร้าน และเมื่อนางก้าวลงมา หวงเชียนเล่อในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุขุมสง่างามก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาผายมือเชื้อเชิญนางให้เดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่พวกคุณหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หวังหลิงและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองพากันกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาในความงามของนางและในท่าทางของเขา“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน” เหมยซินเอ่ยถามขึ้นและชี้ชวนให้สหายทั้งสองมอง “เหมือนว่านั่นจะเ
ในที่สุดก็มาถึงวันที่กัวรั่วชิงนัดกับแม่ทัพฉีหลิงไว้ที่ร้านเครื่องหอมของนาง ภายในร้านจื่อชิงถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสง่า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้อบอวลไปทั่ว เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวจนแทบไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเมืองหลวงกัวรั่วชิงในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าอันงดงามราวกับถูกสลักเสลามาอย่างประณีต ขนตางอนยาวทอดตัวเป็นเงาบนพวงแก้ม นางกำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหลัง ในขณะที่ลูกจ้างหญิงของร้านสองคนยืนจัดเครื่องหอมและเครื่องประทินผิวอยู่หน้าร้าน การที่นางเห็นตัวเลขในบัญชีมีแต่ผลกำไรทำให้ดวงตาหงส์ที่เคยหม่นหมองยามอยู่ในจวนของสามี บัดนี้กลับสุกใสมีประกายนางมีความสุขเสมอเมื่อได้มาตรวจตรากิจการ ที่นี่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว เป็นที่ที่นางสามารถเป็นตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสวมบทบาทภรรยาที่สามีคอยวางท่าห่างเหินเย็นชาให้ผู้อื่นนึกสงสารหรือหัวเราะเยาะนางเวลาที่เขามาหาเรื่องยามอู่[1]ของวันนั้น แม่ทัพฉีหลิงในชุดผ้าไหมสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็มาถึงตามนัดหมาย ไม่มีการแห่แหนหรือผู้ติดตามใดๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข
ยามรุ่งสาง โจวจื่อหมิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ภาพของกัวรั่วชิงในศาลบรรพชนยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การโต้ตอบที่แข็งกร้าวของนางเมื่อวานนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายตลอดเวลา หลังจากจัดการธุระยามเช้าเสร็จ เขาก็เดินทอดน่องไปตามทางเดินอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนของกัวรั่วชิงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาถึงเรือนของนาง โจวจื่อหมิงไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน เขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมที่ทอดยาวเลียบสวน และเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ที่สามารถมองเห็นสวนด้านในได้อย่างชัดเจน ในใจนึกว่าตนเองจะได้เห็นภาพฮูหยินกำลังร้องไห้หรือเศร้าซึมอย่างที่ควรจะเป็นแต่ภาพที่โจวจื่อหมิงเห็นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง กัวรั่วชิงในชุดสีชมพูอ่อนที่ดูสดใส กำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลา นางมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างร่าเริงขณะพูดคุยกับสาวใช้ โจวจื่อหมิงมองเห็นภาพที่นางยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในสวนมาดมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของนางในความทรงจำของเขาถูกแทนที่ด้วยความสดใส และแววตาที่เคยหม่นหมองก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข“ฮูหยินเจ้า
โจวจื่อหมิงกำลังนั่งจิบชาและดูตำราพิชัยสงครามอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง หลิวซิ่วเหยาในชุดที่ดูยับยู่ยี่เล็กน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา นางทำตัวน่าสงสารจนสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังรู้สึกเห็นใจ“นายท่านเจ้าขา... ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซิ่วเหยาเข้าไปเกาะแขนโจวจื่อหมิงไว้ด้วยความน่าสงสาร “ข้าแค่เป็นห่วงท่านที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินที่น่ากลัว... ข้าจึงไปเยี่ยมฮูหยินที่ศาลบรรพชน แต่กลับถูกดุด่าอย่างรุนแรง ทั้งฮูหยินและบ่าวรับใช้ของนางไม่ไว้หน้าข้าเลยเจ้าค่ะ”โจวจื่อหมิงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ เขาปัดมือของหลิวซิ่วเหยาออกอย่างไม่ใยดี “ไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ ข้ากำลังดูตำราอยู่”หลิวซิ่วเหยาเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “แต่ฮูหยิน... ฮูหยินถึงขั้นขู่จะลงโทษข้าเจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนโปรดของท่าน”โจวจื่อหมิงที่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเย็นชาลง เขาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในใจ 'ช่างกล้าดียิ่งนัก... เจ้ากำลังเรียกร้องความตายจากข้า' เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วมองหลิวซิ่วเหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้ากลับไปรอที่เรือนของเจ้า