กัวจิ้งอีพยักหน้าอย่างเขินอาย นางดีใจจนแทบจะปิดบังความรู้สึกไว้ไม่มิด ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินที่คดเคี้ยวไปในสวนสวย มู่หยงฉีชี้ชวนให้นางดูดอกไม้ชนิดต่างๆ และเล่าเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ นางยิ่งได้คุยกับเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม ฐานะ หรือแม้แต่คำพูดคำจา
“คุณหนูกัวเคยได้ยินหรือไม่ว่าดอกโบตั๋นนั้นเป็นราชินีแห่งดอกไม้” มู่หยงฉีกล่าวขึ้น ขณะที่พวกเขายืนอยู่หน้าแปลงดอกโบตั๋นสีชมพูบานสะพรั่ง “ทว่าในสายตาของข้า ดอกโบตั๋นที่งดงามที่สุดก็ไม่อาจเทียบกับความงามของคุณหนูได้เลย”
คำพูดนี้ราวกับสายลมแห่งความหวังที่พัดเข้ามาในใจของกัวจิ้งอี นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้วเพคะ” นางตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา
มู่หยงฉีหันมาสบตานางอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ได้กล่าวเกินไปเลย ดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ในสวนย่อมไม่อาจเทียบเคียงกับสตรีผู้คู่ควรกับความมั่งคั่งและอำนาจได้” คำพูดของเขาสื่ออย่างชัดเจนถึงสิ่งที่นางต้องการที่สุดใน
ถึงจะต้องเข้าจวนจวงเซียนป๋อในฐานะอนุ แต่ขบวนสัมภาระของกัวจิ้งอีไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่บ่าวไพร่ในจวนจวงเซียงป๋อคิด สินเดิมที่จัดเตรียมมาสมกับเป็นบุตรีคนโตของตระกูลโหว มีทั้งหีบผ้าไหมชั้นดี หีบเครื่องประดับ และหีบเครื่องเรือนขนาดใหญ่ที่แม้จะไม่เทียบเท่าสินเดิมของภรรยาเอก แต่ก็มากมายจนต้องใช้คนถึงสิบกว่าคนช่วยกันขนเข้าไปในจวนชีวิตของกัวจิ้งอีในฐานะอนุคนใหม่ของโจวจื่อหมิงไม่ได้เริ่มต้นอย่างที่นางคาดหวังไว้เลย ในฐานะคุณหนูใหญ่ที่เติบโตมาในจวนชิงผิงโหว นางคิดว่าการเข้าสู่จวนจวงเซียงป๋อในฐานะอนุคนโปรดจะทำให้ชีวิตนางดีขึ้น แต่ความจริงกลับเป็นเหมือนการตื่นขึ้นจากฝันและพบเจอกับความจริงอันโหดร้ายโจวจื่อหมิงจัดเตรียมเรือนพักให้กัวจิ้งอีตามธรรมเนียมของอนุคนใหม่ แม้ว่าสินเดิมของนางจะมีมากมายเพราะมาจากจวนโหว แต่เรือนพักของนางกลับเป็นเรือนเก่าที่ไม่ใหญ่โตนัก และยังตั้งอยู่เยื้องกับเรือนของหลิวซิ่วเหยา ซึ่งเป็นอนุคนโปรดของโจวจื่อหมิงที่ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่กลับดูใหม่และได้รับการดูแลที่ดีกว่าเรือนของนางกัวจิ้งอีมองเรือนของตนด้วยความไม่พอใจ นางเคยคิ
หลังจากการหย่าร้างที่กระทำกันอย่างเป็นทางการภายในจวนชิงผิงโหว ข่าวคราวเรื่องการแยกทางของโจวจื่อหมิงและกัวรั่วชิงก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงราวกับไฟป่าในฤดูร้อน แม้ก่อนหน้าทุกคนต่างมองกัวรั่วชิงเป็นนางร้ายที่ตัดวาสนาผู้อื่น แต่การกระทำไร้ยางอายของกัวจิ้งอีที่ล่อลวงโจวจื่อหมิงกลับเลวร้ายยิ่งกว่าในสายตาทุกคน จึงไม่มีการกล่าวหาหรือตำหนิในตัวของกัวรั่วชิงแม้แต่น้อย ทว่ากลับเป็นการประณามโจวจื่อหมิงและกัวจิ้งอีอย่างกว้างขวางในที่สุดกัวรั่วชิงก็ได้กลับคืนสู่สถานะเดิมอย่างสมบูรณ์ ไร้มลทินใดๆ ทั้งสิ้น ขบวนรถม้าที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้มากมายที่เรียงรายกันเป็นขบวนยาวเหยียดของนาง ได้เดินทางกลับสู่จวนชิงผิงโหวอย่างสง่างาม เป็นภาพที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันจับจ้องด้วยความสนใจ การที่สินเดิมทั้งหมดของสตรีที่ออกเรือนไปแล้วสามารถนำกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าการหย่าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะฝ่ายหญิงทำผิดแต่อย่างใด เป็นการกลับบ้านที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีผู้คนจำนวนมากยืนมุงดูขบวนรถม้าที่เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ บางคนถึงกับตะลึงตาค้างเมื่อเห็นจ
ทว่ากัวรั่วชิงหายินยอมไม่ นางหันไปหาทุกคน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าอาบน้ำตา“ทุกท่าน ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ข้าแต่งเข้าจวนจวงเซียนป๋อมาครึ่งปี โจวจื่อหมิงทิ้งข้าให้อยู่ในห้องหอเพียงลำพัง เท่านั้นไม่พอ เขายังรับอนุเข้าจวนทันทีโดยไม่สนใจธรรมเนียม และที่สำคัญที่สุดเขากับข้าไม่เคยร่วมหอกันแม้แต่ครั้งเดียว ยังไงอีกไม่นานเขาต้องหย่าข้าด้วยเหตุผลไร้ทายาทอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ถูกเปิดโปงเสียก่อน หากข้าไม่ขอหย่าขาดจากเขาโดยไร้มลทินในวันนี้ วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าข้าต้องพบกับความอัปยศแบบใดอีก”คำพูดของกัวรั่วชิงทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจและมองไปที่กัวจิ้งอีและโจวจื่อหมิงด้วยความรังเกียจ“โธ่…ช่างน่าสงสารนางยิ่งนัก” ฮูหยินท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเห็นใจ “แต่งเข้ามาอยู่ในตระกูลจวงตั้งครึ่งปีแล้ว เหตุใดโจวจื่อหมิงถึงได้กระทำต่อนางอย่างโหดร้ายเยี่ยงนี้”“ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!” หวงเชียนเล่อได้โอกาสรีบสบถออกมา “เป็นบุรุษที่ไร้เกียรติและไร้คุณธร
ครานี้กัวจิ้งอีพลันหันไปมองไปยังโจวจื่อหมิงด้วยความสงสัย และไม่ยินยอม “ต้องเป็นเจ้าล่อลวงข้า! เจ้าทำลายชีวิตข้า เจ้าทำให้ข้าไม่ได้แต่งเข้าจวนอ๋อง เจ้ามันไอ้คนสารเลว”โจวจื่อหมิงมองกัวจิ้งอีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่นางหมายให้เขากลายเป็นคนร้ายที่ฉุดคร่าพรหมจรรย์สตรีอย่างนั้นหรือ นางไม่คิดเลยหรือไรว่าเขาอาจจะต้องคดี ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้จักกัวจิ้งอีที่แท้จริงเลย สิ้นความคิดเขาก็โกรธเคืองขึ้นมาอย่างแท้จริง“กัวจิ้งอีทำไมพูดเหมือนข้าบังคับข่มขืนใจเจ้าเล่า เจ้านอนรอบนเตียงพร้อมทอดกายให้ข้าแท้ๆ พอถูกจับได้ก็จะให้ข้ากลายเป็นชายโฉดที่ข่มขืนใจเจ้าหรือ”“เจ้าโกหก ข้าจะทำอย่างนั้นไปทำไมในเมื่อข้าไม่ได้อยากเป็นแค่ฮูหยินซื่อจื่ออย่างเจ้า”โจวจื่อหมิงพลันสะอึก รู้สึกทั้งโกรธทั้งผิดหวังในตัวกัวจิ้งอีอย่างถึงที่สุด เขาเริ่มรู้สึกว่าตนเองตาบอดยิ่งนักที่เคยมอบความรักให้คนอย่างนางเขาพลันคุกเข่าลง แล้วกวาดสายตามองแขกเหรื่อด้วยแววตาจริงจัง“ทุกท่านได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย หากข
ภายในโถงรับรองของจวนจวงเซียงป๋อที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อซึ่งกำลังนั่งประจำที่อย่างรื่นเริง เสียงดนตรีบรรเลงคลอเคล้ากับเสียงสนทนาของผู้คนที่มาร่วมงาน ขณะที่บ่าวไพร่ต่างทยอยนำอาหารรสเลิศและสุรามาเสิร์ฟให้แก่ผู้มาเยือนในขณะนั้นเอง เสียงร้องโวยวายของสาวใช้ผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” ทุกคนในโถงต่างหันไปมองเป็นตาเดียวและเห็นกัวลี่ลี่ในชุดสาวใช้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในงาน“เกิดอะไรขึ้น! กล้ามาเอะอะโวยวายในงานวันเกิดมารดาข้า เจ้าอยากโดนโบยหรือไร” โจวลี่ย่าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“คุณหนูเล็กเจ้าคะ” กัวลี่ลี่หันไปตอบโจวลี่ย่าด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ทุกคนได้ยิน “เกิดเรื่องกับซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ คือว่าตอนนี้ ซื่อจือ... ซื่อจื่อของเรากับ... กับคุณหนูกัวจิ้งอี... อยู่ด้วยกันบนเตียงที่เรือนรับรองเจ้าค่ะ” คำพูดของกัวลี่ลี่ทำเอาทุกคนในงานตกตะลึงจนนิ่งงันเหลียงฝานซีถึงกับตัวแข็งทื่อก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ไม่จริง... เป็นไปไม่ได้”ขณะนั้นเอง กัวไห่เจินและเฉ
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงทันที ไม่มีใครส่งเสียงใดๆ ราวกับถูกสาป ภาพตรงหน้าของพวกเขานั้นช่างน่าตกตะลึงยิ่งกว่าสิ่งใด เยี่ยนหยางจงผู้เกรียงไกรที่ผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วนต่างนิ่งงันด้วยความตกใจ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกให้เห็นมู่หยงฉีเองตกตะลึงจนตาค้าง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บัดนี้กลับมีสีหน้าเย็นชาและเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขามองนางประหนึ่งจะประนามว่ากล้าทำเช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินใหญ่จวนจวงเซียงป๋อกับบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องเขยได้อย่างไร“ฮูหยินทำใจดีๆ ไว้ก่อน” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยเสียงเบา เพราะภาพที่เห็นนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก กัวรั่วชิงยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง ดวงตากลมโตที่เคยดูสงบไร้คลื่นลม บัดนี้กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของนางขาวซีดเสียยิ่งกว่าคนป่วย และร่างเล็กๆ ที่สั่นเทาของนางนั้นทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปมองภาพชายหญิงบนเตียงใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกขยะแขยงทันใดนั้นเอง มู่หยงฉีก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ใครก็ได้ รีบจุดไฟ!&rd