รถม้าคันหรูของจวนจวงเซียงป๋อหยุดลงที่หน้าประตูหลัก โจวจื่อหมิงก้าวลงจากรถก่อนเป็นคนแรกอย่างรีบร้อนโดยมีโจวจี้ บ่าวคนสนิทถือร่มกันแดดเดินตาม เขาไม่แม้แต่จะชายตามองฮูหยินของตนเลยแม้แต่น้อย
“ซื่อจื่อเชิญทางนี้ขอรับ” โจวจี้กล่าวเสียงเรียบขณะผายมือไปทางเรือนใหญ่
กัวรั่วชิงมองแผ่นหลังของโจวจื่อหมิงที่เดินจากไปอย่างไม่ไยดีด้วยความรู้สึกด้านชา หลงเหลือเพียงความเหนื่อยหน่ายระอาใจเท่านั้น
“ซื่อจื่อทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” กัวลี่ลี่ สาวใช้คนสนิทที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ กัวรั่วชิงส่ายหน้าเบาๆ แล้วก้าวเดินไปตามทางเดินหินมุ่งสู่ เรือนกุ้ยฮวา เรือนพักของตน
เมื่อมาถึงเรือน กัวรั่วชิงนั่งลงที่เก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างอ่อนแรง กัวลี่ลี่รินน้ำชาดอกเบญจมาศที่ชงเตรียมไว้ให้พลางกล่าวอย่างเป็นห่วง
“ฮูหยินเจ้าขา...เหตุใดซื่อจื่อจึงทำเช่นนั้นเจ้าคะ”
กัวรั่วชิงจิบน้ำชาเล็กน้อย “ก็คงเพราะเรื่องเมื่อกลางวัน เหมือนที่เจ้าได้ยินมาจากคนอื่นนั่นแหละ”
“เรื่องที่ซื่อจื่อไปเข้าข้างคุณหนูใหญ่หรือเจ้าคะ! เขาไม่รู้หรือเจ้าคะว่าคุณหนูใหญ่เป็นสตรีมากมารยา เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจยิ่งนัก” กัวลี่ลี่กัดริมฝีปากแน่นอย่างเจ็บแค้น
กัวรั่วชิงตอบเสียงเรียบ “เจ้าไม่ต้องไปถือสาหรอก พวกเขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอดนี่นา”
“แต่ฮูหยินต้องทนอยู่กับความอยุติธรรมนี้อีกนานเท่าไหร่กันเจ้าคะ”
กัวรั่วชิงลูบศีรษะสาวใช้คนสนิท “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกลี่ลี่ ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”
กัวลี่ลี่มองนายของตนด้วยความสงสาร หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ ประตูเรือนกุ้ยฮวาก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น
“เจ้าว่าใครเป็นสตรีมารยา เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ!” เสียงของโจวจื่อหมิงดังขึ้นด้วยความโกรธ
กัวลี่ลี่รีบคุกเข่าลงทันทีด้วยความตกใจ “ซื่อจื่อ บ่าวเปล่าเจ้าค่ะ”
โจวจื่อหมิงไม่สนใจคำแก้ตัวของสาวใช้ต่ำต้อย เขาตวาดด้วยความโมโห “เป็นแค่บ่าวไพร่ชั้นต่ำ ยังกล้ามานินทาเจ้านาย เจ้ามีกี่ชิวิตกัน”
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ซื่อจื่อได้โปรดยกโทษให้บ่าวด้วย” กัวลี่ลี่รีบโขกศีรษะพื้น ร้องขอความเมตตา
กัวรั่วชิงเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ พลางส่งสายตาให้กัวลี่ลี่เงียบ “ซื่อจื่อโปรดใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
โจวจื่อหมิงหันมามองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าเองก็เหมือนกัน เจ้ามันช่างร้ายกาจ เจ้าคิดจะฆ่าพี่หญิงใหญ่ของเจ้าหรือไง”
กัวรั่วชิงวางถ้วยชาลงอย่างแช่มช้า “ซื่อจื่อคิดจะกล่าวโทษข้างั้นหรือ”
“ยังจะมาถามอีก! เจ้าพยายามจะผลักอีอีของข้าลงสระบัว กั่วรั่วชิง... เจ้ามันปีศาจร้ายในคราบมนุษย์” โจวจื่อหมิงตะคอกใส่หน้าของกัวรั่วชิงอย่างบ้าคลั่ง
“อีอีของข้า?” ดวงตาของกัวรั่วชิงฉายแววสมเพช “ซื่อจื่อ... ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นข้าที่กำลังจะทำร้ายอีอีของท่านน่ะ ดูเหมือนว่าตาของท่านจะมีปัญหานะ” กัวรั่วชิงถามกลับเสียงเรียบ ทว่าคำพูดที่แฝงความนิ่งเฉยนั้น กลับยิ่งทำให้โจวจื่อหมิงโกรธจัด
“กัวรั่วชิง! เจ้านี่มันเกินเยียวยาจริงๆ” โจวจื่อหมิงตะคอกอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธที่เพิ่มขึ้น
กัวรั่วชิงเงยหน้ามองสามีด้วยแววตาที่ว่างเปล่า “ซื่อจื่อ... ถ้าข้าบอกว่า เป็นพี่หญิงใหญ่ต่างหากที่กำลังจะผลักข้าลงสระบัว ท่านจะว่าอย่างไร”
คำพูดของกัวรั่วชิงทำให้โจวจื่อหมิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเต็มไปด้วยโทสะพลันแข็งค้างราวกับถูกสาป ภาพของกัวจิ้งอีที่อ่อนหวาน บริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาวผุดขึ้นในห้วงความคิดของเขา นางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน...นางเป็นสตรีที่เปราะบางและแสนดีงาม แล้วเหตุใดกัวรั่วชิงจึงบังอาจกล่าวหาเช่นนี้ได้
ทันใดนั้นเองความโกรธที่สงบไปชั่วขณะก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม อคติที่มีต่อกัวรั่วชิงกัดกินหัวใจของเขาจนสิ้น โทสะที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความผิดหวังทำให้เขาตะคอกเสียงกร้าว “ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ยังจะมีหน้าโทษสตรีที่แสนดีงามอย่างอีอีอีก กัวรั่วชิง เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี!”
“ข้ามิได้ทำผิด เหตุใดต้องยอมรับ”
“ดี! ในเมื่อเจ้าปากกล้าขนาดนี้ ก็จงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนสองชั่วยาม ดูซิว่าเจ้ายังจะกล้าอวดดีกับข้าอีกหรือไม่”
กัวรั่วชิงลุกขึ้นยืนช้าๆ “หากนั่นคือความต้องการของซื่อจื่อ ข้าจะไป”
นางเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ทำให้โจวจื่อหมิงรู้สึกโมโหหนักขึ้นไปอีก ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความเดือดดาล
“กัวรั่วชิง! ข้าบอกให้เจ้าไปสำนึกผิด ไม่ใช่ให้ไปเดินลอยหน้าลอยตาเช่นนี้! ข้าเกลียดเจ้า! เกลียดที่ต้องเห็นหน้าเจ้า! ไปให้พ้นจากสายตาข้า!” เขาตะคอกไล่หลังนางเสียงก้อง
คำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของเขาไม่ได้ทำให้กัวรั่วชิงรู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแต่รู้สึกสมเพชในความไร้เหตุผลของชายที่เคยเป็นสามี นางเคยคิดว่าถึงเขาจะไม่รักนาง แต่ก็ยังคงความยุติธรรมไว้บ้าง ทว่าคำพูดที่แสนจะเยียบเย็นนั้นทำให้นางได้ตระหนักว่าเขาไม่เคยเห็นคุณค่าของนางเลยแม้แต่น้อย
นางยังคงก้าวเดินอย่างสงบ มุ่งหน้าสู่ศาลบรรพชนท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน การถูกลงโทษในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย มันกลับทำให้นางรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ราวกับพันธนาการที่มองไม่เห็นที่รัดตรึงนางมานานได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ความจริงแล้ว นางไม่เคยมีความรู้สึกรักหรือผูกพันกับชายที่ตะโกนไล่หลังตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หัวใจของนางว่างเปล่าและด้านชา การถูกลงโทษในครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำความจริงนั้น แต่นางจะอดทนเพื่อรอวันที่จะสามารถหย่าขาดจากเขา และทวงคืนอิสรภาพโดยปราศจากคำครหาใดๆ ที่จะมาทำให้นางต้องแปดเปื้อน
กัวรั่วชิงบอกความต้องการของตัวเองกับหวงเชียนเล่อซึ่งตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เขามองใบหน้างามสะคราญ พลางคิดถึงคำนินทาว่าคนตรงหน้าว่าเป็นสตรีร้ายกาจมากแผนการ ก็ให้นึกขันในใจ บางทีข่าวลืออาจจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ เพราะยามนี้กัวรัวชิงในแบบที่พวกนั้นต้องการเห็นได้ตื่นขึ้นแล้ว และเขายินดีจะเป็นเครื่องมือให้นาง เพื่อแผ่วทางอุปสรรคทั้งหลาย และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกที่มีต่อนางอีกต่อไปเมื่อการสนทนาจบลง หวงเชียนเล่อก็ยื่นป้ายทองคำสลักลายพยัคฆ์ให้กัวรั่วชิงพร้อมเอ่ยว่า “พกไว้อย่าให้ห่างกาย หากเกิดปัญหากับเจ้าที่ใด ก็ให้ใช้สิ่งนี้”“ข้าจะเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงรับป้ายหยกมา โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของมัน รู้แต่เพียงว่านี่คือหยกพกของสตรีมิใช่บุรุษ“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน นางกำนัลที่ไปเอาเสื้อให้เจ้าที่รถม้าคงใกล้กลับมาถึงแล้ว” หวงเชียนเล่อกล่าวลาแล้วเปิดประตูออกไป แต่ก็ต้องชะงักด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นจ้าวกุ้ยอินที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนรับรอง “ท่านหญิงกุ้ยอิน!”“อะไรนะ ท่านเรียกนางทำไม” กัวรั่วชิงที่อยู่ด้านในพลันเดินออกมา ก็เห็นสตรีสูง
เหยาหลิงเจินซึ่งอยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดรอบกายกัวรั่วชิงจึงจับแขนนางไว้แน่น แล้วเขย่าแรงๆ "ชิงชิง ทำไมเงียบไป พี่สาวตกใจแล้วนะ"กัวรั่วชิงจึงได้สติกลับคืนมา นางสูดหายใจลึกๆ แล้วหันกลับมามองเหยาหลิงเจินที่อยู่ในอาการตกใจไม่แพ้กัน“ข้า... ข้าไม่เป็นไร”“แต่หน้าตาเจ้าน่ากลัวมากเลย” เหยาหลิงเจินดูหวาดๆ มองกัวรั่วชิงอย่างไม่ไว้ใจ“ข้าทำเจ้าตกใจสินะ ขอโทษๆ” กัวรั่วชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วจูงมือสหายไปห้องน้ำ “ตอนนี้เรารีบไปเถอะ อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว”เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากจุดนั้นไปจนถึงที่หมาย จู่ๆ เหยาหลิงเจินก็เอ่ยถามคล้ายกับเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมา “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ ให้พี่สาวช่วยไหม”ชั่ววินาทีนั้นกัวรั่วชิงพลันคิดว่าเหยาหลิงเจินไม่เหมือนคนปัญญาอ่อนสักนิดเลย แต่ก็ยอมเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ แล้วตอบคำถาม “ไว้ข้าแน่ใจแล้วจะเล่าให้ฟังนะ”เหยาหลิงเจินส่งยิ้มโง่ๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปใช้เวลาไม่นานนักหญิงสาวทั้งสองก็เดินกลับมายังที่นั่งของตนในงานเลี้ยงอีกครั้งในขณะนั้นเอง ฮ่องเต้และเต๋อเฟยก็เสด็จมาพอดี ทำให้แขกเหรื่อต่างก็ลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพ แล้วฮ่องเต้จึงทรงกล่าว
อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่กัวรั่วชิงปลีกตัวจากโจวจื่อหมิงมาได้ และกำลังมองหาเหยาหลิงเจินอยู่นั้น ก็บังเอิญได้พบกับฉินหวางเฟยซึ่งกำลังเดินสนทนาอยู่กับคุณหนูถางซือเซียน และหลี่จื่อเหยาฮูหยินของคหบดีที่มั่งคั่งแห่งแคว้นอยู่พอดี“คารวะฉินหวางเฟย” กัวรั่วชิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสง่างาม “คุณหนูถาง หลี่ฮูหยิน”“ไม่ต้องมากพิธี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้พบกันไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ฮูหยินจะได้รับความสนใจจากผู้คนในงานไม่น้อยเลยนะ”“หวังเฟยกำลังกล่าวถึงอะไรอยู่หรือ” กัวรั่วชิงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ“ก็ซื่อจื่อจวงเซียงป๋อของเจ้าอย่างไรเล่า” ฉินหวางเฟยพูดพร้อมกับชี้ไปที่โจวจื่อหมิง “เขาดูเอาใจใส่และหวงแหนเจ้าเป็นพิเศษเลยในวันนี้”กัวรั่วชิงไม่ได้ตอบอะไร แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ นางเองก็ตกใจที่โจวจื่อหมิงปฏิบัติกับตนเองดีขึ้นจนผิดหูผิดตา ขนาดในรถม้ายังพยายามเข้ามานั่งใกล้จนนางต้องแสร้งบ่นว่าร้อน เขาถึงได้ขยับถอยไป คงเป็นเพราะเขากำลังคิดแผนให้นางใจอ่อนแล้วยอมตกเป็นของเขาแน่ๆ แต่ฝันไปเถอะ!ในจังหวะที่บทสนทนาของสตรีทั้งสี่กำลังดำเนินไป กัวรั่วชิงก็เหลือบไปเห็นเหยา
หลายทิวาราตรีผ่านไป ในที่สุดก็ถึงงานเลี้ยงชมสวนของเต๋อเฟย เสียงเครื่องดนตรีดังประสานกันอย่างไพเราะราวกับกำลังขับกล่อมเหล่าเซียนในสรวงสวรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของบุปผาและเครื่องหอมราคาแพง ภายในพระราชวังชั้นในที่ประดับประดาอย่างหรูหราสมฐานะของ เต๋อเฟย หวงซูเยี่ยน หนึ่งในสี่อัครชายาของฮ่องเต้ เหล่าขุนนางและสตรีชั้นสูงต่างก็มาร่วมงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้กัวรั่วชิงก้าวเข้ามาในงานในชุดกระโปรงผ้าไหมสีฟ้าอ่อนปักลายดอกโบตั๋นสีขาวอย่างประณีต แขนเสื้อโปร่งแสงเผยให้เห็นผิวขาวเนียน และรอบเอวคอดถูกรัดด้วยเข็มขัดผ้าแพรสีเดียวกันที่ปักลายอย่างงดงาม ผมยาวสลวยของนางถูกเกล้าขึ้นประดับด้วยปิ่นทองสลักลายหงส์ที่หวงเชียนเล่อมอบให้ แสงจากโคมไฟสะท้อนบนพื้นผิวของปิ่นทำให้มันเปล่งประกายเจิดจ้า นางเดินเคียงข้างมากับโจวจื่อหมิงพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่สายตาของนางกลับเรียบสนิทและเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของสามีที่วันนี้ดูจะใส่ใจนางเกินเหตุในทันทีที่ทั้งคู่ปรากฏตัว สายตาและเสียงซุบซิบนินทาก็ดังขึ้นอย่างหนาหู แม้โจวจื่อหมิงจะยังคงมีท่าทีเย็นชา แต่เขากลับกุมมือนางไว้
หลังจากโจวจื่อหมิงจากไปแล้ว กัวรั่วชิงยังคงนั่งอยู่ที่พื้นห้องด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไป น้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่นางได้รับจากคำพูดและการกระทำของเขา แต่ในขณะเดียวกัน จิตใจที่เคยหวาดหวั่นก็ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เพราะยามนี้นางตระหนักได้แล้วว่าโจวจื่อหมิงที่ไร้ซึ่งความสนใจในตัวนางมาตลอดได้เปลี่ยนไปแล้วกัวรั่วชิง เงยหน้าขึ้นมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกทองเหลืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่ซีดเซียว ดวงตาที่บวมช้ำ และรอยแดงบนลำคอที่เกิดจากแรงกดของปิ่นหยกทำให้หัวใจของนางปวดร้าว นางไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายในคืนนี้เกิดขึ้นอีกได้ นางต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไปจากที่นี่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปเสียงกรีดร้องของกัวรั่วชิงที่กัวลี่ลี่ได้ยินนั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของนางอยู่เลย “ฮูหยินเจ้าคะ ชื่อจื่อ... ซื่อจื่อเขาทำอะไรกับท่าน” นางตะโกนเสียงหลงขณะพุ่งตัวเข้ามาประคองกัวรั่วชิงด้วยน้ำตาที่ไหลริน และยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเมื่อเห็นแผลที่คอนายหญิงกัวรั่วชิงสะบัดหน้าหนี “เจ้าไม่ต้องร้องไห้ ข้าไม่เป็นอะไร เขายัง... ทำไม่สำเร็จ” นางพูดด้วยเสียงที่
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเรื่องพวกนี้หรือ! ใบสั่งซื้อก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ ถ้าเจ้าวางตัวดีมีหรือที่ใครจะกล่าวหา ต้องเป็นเพราะเจ้าเอาแต่ยั่วยวนหวงเชียนเล่อตลอดเวลาจนผู้อื่นทนมองไม่ไหว ต้องมาตักเตือนเจ้าให้ไว้หน้าสามีอย่างข้า เจ้า...เจ้าทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้า แต่กลับไม่สำนึก!” เขาไม่สนใจเหตุผล“ข้าไม่จำเป็นต้องให้ค่าคำพูดเหลวไหลเหล่านั้น ข้าไม่ใช่ดอกชิ่งนอกกำแพง ยิ่งไม่ได้ทำสิ่งใดให้ท่านต้องมัวหมองอับอาย แล้วเหตุใดต้องสำนึก” กัวรั่วชิงเถียงกลับอย่างเหลืออด“เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้า เพราะคิดว่ามีหวงเชียนเล่อให้ท้ายเจ้าอยู่ใช่หรือไม่”“เกี่ยวอะไรกับท่านแม่ทัพ ข้ากับเขาเป็นเพียงสหายกัน”“สหายงั้นรึ ข้าเพิ่งรู้ว่าพวกเจ้าสองคนสนิทสนมกันจนเรียกว่าสหายได้ด้วย เจ้าไปรู้จักมักจี่กันตอนไหน ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้กัวรั่วชิง” โจวจื่อหมิงสาวเท้าเข้ามาใกล้นาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ดูท่าเจ้าไม่รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ตัวเองเป็นของใคร ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งเอง”โจวจื่อหมิงกระชากกัวรั่วชิงขึ้นจากเก้าอี้แล้วลากนางเข้าไปในห้องนอนทันที กัวรั่วชิงตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ ใบหน้าท