หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน
"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"
เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ
"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน"
เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อย
จื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวล
แต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบา
สัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ
"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"
เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้นชวนให้ใจอ่อนยวบ
จื่ออิงยังไม่ทันได้ตอบ ชายหนุ่มก็ก้มลงมาชิดมากขึ้น แล้วโน้มตัวลงหอมแก้มเธอเบาๆ อีกครั้งอย่างจงใจ ราวกับอดใจเอาไว้ไม่ไหว
"ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ดูแลผมกับลูก"
หลี่เฉินพูดเสียงนุ่มพร้อมยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของจื่ออิงเต้นไม่เป็นจังหวะ
"คุณ..."
เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา แก้มร้อนผ่าวด้วยความขัดเขิน แล้วหลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างทำอะไรไม่ถูก
หลี่เฉินหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของภรรยา เขาชอบเวลาเธอเขินอายแบบนี้ มันทำให้รู้ว่าภรรยาก็มีความรู้สึกให้เขา
"หนูอยากฟังนิทาน"
เหยียนเหยียนขยับตัวยุกยิก เอ่ยบอกน้ำเสียงงัวเงีย
เสียงของบุตรสาวทำให้หลี่เฉินยอมถอนสายตาจากภรรยาก้มลงมองบุตรสาวในอ้อมแขน
"เดี๋ยวพ่ออุ้มไปส่งเข้านอน"
หลี่เฉินพูดเสียงนุ่มพร้อมยิ้มบางๆ ดวงตาอ่อนโยนมองทั้งภรรยาและลูกสาว
เหยียนเหยียนเอนศีรษะลงบนบ่าของพ่ออย่างว่าง่าย แขนเล็กๆ ยกขึ้นโอบรอบคอของคนเป็นพ่อ ดวงตาหรี่ปรือใกล้จะปิดเต็มที ขณะที่หลี่เฉินยืดตัวขึ้นเต็มความสูง เดินช้าๆ ไปยังห้องนอนของภรรยา
จื่ออิงเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ หัวใจอบอวลไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน หวานหอม และซึมซาบลึกในใจ เธอมองภาพพ่อกับลูกแล้วหัวใจก็อบอุ่นจนยิ้มไม่หุบ คืนนี้แม้จะเป็นคืนธรรมดา แต่ก็เป็นอีกค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความรัก และความสุขแสนเรียบง่ายที่เธอเฝ้าฝันหามาตลอด
หลี่เฉินวางบุตรสาวลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน ก้มลงหอมหน้าผากเล็กเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องเงียบๆ แล้วยืนพิงขอบประตูมองภาพแม่ลูกตรงหน้าด้วยแววตาอบอุ่น
จื่ออิงห่มผ้าให้ลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้กอดตุ๊กตากระต่ายเอาไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายทันทีที่เห็นแม่หยิบหนังสือนิทานเล่มที่เธอหมายตาเอาไว้ขึ้นมา
"แม่คะ หนูอยากฟังเรื่องนี้ค่ะ"
จื่ออิงหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า
"ได้สิคะ"
เธอเปิดหนังสือออก หน้าแรกคือภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ และเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงน้อยคนหนึ่งชื่อว่า เสี่ยวซิง เธออาศัยอยู่ในปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง และในทุกค่ำคืน เธอจะออกไปนั่งที่ระเบียงเพื่อพูดคุยกับดวงดาว..."
เหยียนเหยียนนอนฟังเงียบๆ ใบหน้าซบหมอนนุ่มๆ ตายังคงลืมอยู่ครึ่งหนึ่ง รอยยิ้มเล็กๆ ประดับบนริมฝีปาก
เสียงของจื่ออิงค่อยๆ กล่อมให้บรรยากาศในห้องสงบลง ดวงตากลมโตของเหยียนเหยียนเริ่มปิดลงอย่างช้าๆ พลางขยับตัวกอดตุ๊กตากระต่ายในอ้อมแขนแน่นขึ้น
ก่อนที่จื่ออิงจะเล่าจบ เสียงลมหายใจของเหยียนเหยียนก็เริ่มสม่ำเสมอ ร่างเล็กๆ หลับสนิทในอ้อมแขนของจื่ออิง แสงไฟนวลอ่อนสาดลงบนใบหน้าเด็กหญิงที่กำลังหลับฝันดี
จื่ออิงค่อยๆ ปิดหนังสือวางไว้ข้างเตียง แล้วก้มลงจูบหน้าผากบุตรสาวเบาๆ
"ฝันดีนะคะ คนเก่งของแม่"
จื่ออิงมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่หลับสนิทด้วยแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองทางประตูห้อง
ทว่าตรงนั้นกลับว่างเปล่า หลี่เฉินไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว เขาคงกลับห้องของตัวเองไปพักผ่อนเพราะวันนี้เขาเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน
เธอค่อยๆ ขยับตัว ก้าวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง มือหนึ่งยังไม่ลืมจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้บุตรสาวจนถึงคางอย่างอ่อนโยน
แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ความคิดในหัวกลับยังวนเวียนไม่หยุด จื่ออิงรู้ตัวดีว่าเธอคงยังนอนไม่หลับง่ายๆ จึงค่อยๆ เดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ ปิดประตูลงอย่างเบามือ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องโถง
จื่ออิงค่อยๆ แขวนตะเกียงน้ำมันในมือไว้กับที่แขวนเหนือโต๊ะทำงาน แสงไฟสีส้มอ่อนๆ จากเปลวไฟเล็กๆ ส่องสว่างเพียงพอให้เธอมองเห็นสิ่งต่างๆ บนโต๊ะได้ชัดเจน
เธอนั่งลงแล้วเปิดสมุดเล่มหนาที่เคยจดร่างแบบร้านและเฟอร์นิเจอร์เอาไว้ก่อนหน้านี้ หน้ากระดาษเต็มไปด้วยเส้นสาย ข้อความ และความคิดที่เธอจดเอาไว้
จื่ออิงถอนหายใจเบาๆ คล้ายผ่อนคลายความคิด เธอก้มหน้าลงก่อนจะค่อยๆ หยิบดินสอขึ้นมา แล้วเริ่มขีดเขียนแบบร้านต่อจากหน้าที่ค้างเอาไว้ วาดเส้นโครงร่างของชั้นวาง ตู้เก็บของ และมุมต่างๆ ของร้านที่ยังอยู่แค่ในจินตนาการ มือค่อยๆ ขยับอย่างมั่นคง
บางครั้งเธอก็หยุดนิ่ง เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดสนิท แล้วก็กลับมาก้มหน้าวาดต่ออีกครั้ง
ท่าทางเหล่านั้นล้วนตกอยู่ในสายตาของคนที่พึ่งจะก้าวออกมาจากห้อง ร่างสูงของหลี่เฉินค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด เขาสวมเสื้อเนื้อบางสีอ่อนกับกางเกงผ้าเนื้อนุ่ม เดินตรงมาทางโต๊ะทำงานเงียบๆ แววตาที่มองคนที่นั่งทำงานอยู่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
"ยังไม่นอนอีกเหรอครับ"
หลี่เฉินเอ่ยถามเสียงทุ้มเบา เมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังภรรยา
จื่ออิงชะงักปลายดินสอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มบางๆ ให้
"นอนไม่หลับน่ะค่ะ เลยออกมาทำแบบร้านต่ออีกหน่อย"
หลี่เฉินพยักหน้าช้าๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าคลุมที่พาดอยู่ตรงพนักเก้าอี้ขึ้นมาคลุมไหล่ให้เธอ
"อากาศเริ่มเย็นแล้ว"
เขากระซิบเบาๆ
จื่ออิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอ่อนๆ เป็นการขอบคุณโดยไม่พูดอะไร เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตากะพริบช้าๆ ภายในหัวใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งสองเงียบสงบ เสียงลมหายใจประสานกันเป็นจังหวะโดยไม่รู้ตัว
หลี่เฉินมองใบหน้าขาวกระจ่างของภรรยาภายใต้แสงตะเกียงสลัว ยื่นปลายนิ้วขึ้นแตะใบหน้าเธอเบาๆ เอ่ยเรียกเสียงทุ้มนุ่ม
"อาอิง"
จื่ออิงยังคงมองสบตาลึกซึ้งของหลี่เฉินอยู่แบบนั้นโดยไม่อาจหลบเลี่ยง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวั่นไหว เสียงทุ้มต่ำนั้นทำหัวใจของเธอสั่นสะเทือน ในขณะที่มือของเขาทาบทับลงบนใบหน้าของเธอ สายตาของทั้งสองมองสบกันอย่างเงียบงัน ราวกับว่าคำพูดใดๆ ก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว
"ผม...อยากกอดคุณ"
หลี่เฉินเอ่ยบอกเสียงแหบพร่า แววตาลุ่มลึกจ้องมองเธอไม่ละสายตา ฝ่ามือใหญ่ของเขากระชับไหล่มนรั้งให้เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้
จื่ออิงลุกขึ้นตามแรงรั้งแผ่วเบานั้นราวกับต้องมนต์สะกด แล้ววงแขนแข็งแรงของหลี่เฉินก็ค่อยๆ โอบรอบตัวเธอเอาไว้อย่างแนบแน่นและมั่นคง เขากอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
จื่ออิงซบหน้าลงกับอกของชายหนุ่ม สูดกลิ่นหอมสะอาดของกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่คุ้นเคย ซึ่งมาพร้อมกับไออุ่นจากร่างกายของเขา เธอรับรู้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอของคนตรงหน้า หัวใจของหลี่เฉินเต้นเป็นจังหวะชัดเจนอยู่ใต้แผ่นอกนี้ และเธอก็อยากจะอยู่ตรงนี้ อยู่นิ่งๆ ในอ้อมกอดของเขาแบบนี้อีกนานเท่านาน เพราะมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน" เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อยจื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวลแต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบาสัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ หลี่เฉินและจื่ออิงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการปรับปรุงและซ่อมแซมร้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าตัวอำเภอ กลับบ้านมาก็เกือบค่ำมืด ตั้งแต่วันแรกก็เริ่มต้นด้วยการติดต่อช่างและพาช่างเข้ามาดูหน้างาน พูดคุย ปรึกษา วางแผน และต่อรองราคา จนแทบไม่มีเวลานั่งพัก โชคดีที่ช่างที่หลี่เฉินหามานั้นเป็นคนขยันและมืออาชีพ แต่ถึงอย่างนั้นการปรับปรุงและซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่าย ตัวอาคารเดิมนั้นแม้โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารกลับทรุดโทรมจนเห็นได้ชัด เพราะผ่านการใช้งานมายาวนาน หลังคากระเบื้องดินเผาหลายแผ่นแตกร้าว บางจุดมีรอยรั่ว หากมีฝนตกคาดว่าคงไหลซึมลงมาเป็นสายผนังด้านนอกลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นปูนเก่า ด้านในแตกร้าวเป็นเส้นตื้นๆ เต็มไปหมด ส่วนภายในยิ่งแล้วใหญ่ พื้นไม้เดิมด้านบนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว และเต็มไปด้วยรอยครูด รอยสึกจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน โต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าโยกเยกคลอนแคลน บางตัวขาเกือบหัก ส่วนเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็ผุพัง มีร่องรอยปลวกกินจนบางจุดทะลุ พื้นปูนเดิมก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ดูแล้วไม่สบายตาเอาเสียเล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เฉินและจื่ออิงเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ วันนี้พวกเขาได้อาคารแห่งนั้นมาเป็นของตัวเองแล้ว ร้านอาหารในฝันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว และมันไม่ใช่ก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะต้องใช้เงินก้อนโต แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าคุ้มค่า จื่ออิงมองอาคารไม้ผสมปูนที่เพิ่งกลายเป็นของพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ใจของเธอพองโตด้วยความหวัง นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นโอกาสที่เธอและหลี่เฉินจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว หลี่เฉินหันไปมองภรรยา ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือของเธอไว้แน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวภรรยา ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะเดินเคียงข้าง คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับหลี่เฉินแล้ว ตอนนี้จื่ออิงไม่ใช่เพียงแค่ภรรยา แต่เป็นคู่ชีวิตที่เขาอยากก้าวผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คน เสียงรถลาที่แล่นผ่านไปมา และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลม พวกเขารู้ดีว่าหน