ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้
มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทรา
เมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้
ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเอง
หลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมองเธอเงียบๆ
หลี่เฉินมองใบหน้าภรรยาที่นั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง แสงไฟจากตะเกียงตกกระทบกับผิวขาวนวลของเธอ อาบไล้ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยจนแทบจำได้ทุกเส้นสาย
แต่มีบางสิ่งที่ดูเปลี่ยนไป... นั่นคือแววตา มันไม่สดใสเหมือนอย่างเคย
แต่กลับดูเหนื่อยล้า เงียบงัน และไร้ประกาย
เธอเงียบเกินไป... เงียบจนเขารู้สึกได้
ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไร หรือกำลังแบกอะไรไว้ในใจ ไม่รู้ว่าเธอเหนื่อยหรือสับสน
หรือบางที... เธอกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้
หลี่เฉินเดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยื่นมือแตะปลายนิ้วลงบนไหล่ของเธอเบาๆ สัมผัสอบอุ่นนั้นไม่ใช่แค่เพื่อให้เธอรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
แต่เพื่อปลุกเธอออกจากความคิดบางอย่างที่เธอไม่ยอมพูดออกมา"ยังไม่นอนอีกเหรอครับ"
เขาถามเบาๆ เสียงนุ่ม อบอุ่น และเปี่ยมด้วยความห่วงใย
จื่ออิงเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีในมือ เธอยิ้มให้เขานิดหนึ่ง เป็นรอยยิ้มบางเบา
"บัญชีร้านยังเหลืออีกนิดหน่อยค่ะ"
เธอตอบเสียงเรียบ แต่แววตานั้นแฝงความเหนื่อยล้า
หลี่เฉินพยักหน้า แล้วขยับเข้าไปยืนซ้อนแผ่นหลังบอบบาง แขนข้างหนึ่งโอบไหล่เธอไว้หลวมๆ
"อาอิง... ภรรยาครับ"
เขาเรียกเธอด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เพราะสำหรับเขา เธอคือคนสำคัญที่สุด คือผู้หญิงที่เขารัก และอยากดูแลตลอดไป เขาไม่ชอบเลยที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ เลือกเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว
เขารู้ว่าเธอเป็นคนเข้มแข็ง และไม่ชอบเอาเรื่องในใจมาพูด แต่ยิ่งเห็นเธอเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวแบบนี้ เขาก็ยิ่งปวดใจ
เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าต้องเผชิญอะไรเพียงลำพัง เขาอยากเป็นคนที่เธอพึ่งพาได้ อยากเป็นที่พักใจในวันที่เธอเหนื่อยล้า อยากเป็นคนที่สามารถแบ่งเบาความทุกข์ในใจของเธอได้ทั้งหมด
ไม่ต้องบอกทุกอย่างกับเขาก็ได้ แต่อย่าผลักเขาเหมือนเขาเป็นคนนอก ให้เขาเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ เขาไม่ได้อยากรู้ทุกเรื่องในใจของเธอ เขาแค่อยากอยู่ข้างเธอ ในวันที่เธออ่อนแอ แค่ให้เขาได้จับมือเธอไว้... เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
หลี่เฉินโน้มตัวลงช้าๆ กดจูบแผ่วเบาบนไหล่บอบบางของภรรยา
"ภรรยาครับ"
เสียงของเขาแหบพร่า คล้ายเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ภายใน มือหนาเลื่อนสอดเข้าไปในสาบเสื้อของภรรยา สัมผัสกับความอุ่นนุ่มของผิวเนื้อ บีบเคล้นความนุ่มนิ่มอวบอิ่มเบาๆ ชายหนุ่มไม่ได้เร่งเร้า แต่อ่อนโยนจนหัวใจสะท้าน
จื่ออิงเชิดหน้าขึ้นรับสัมผัสนั้น ดวงตาปรือขึ้นพร้อมลมหายใจที่สั่นเล็กน้อย
เธอรู้ดีว่าเขารักเธอมากแค่ไหน และเธอก็รู้ ว่าตัวเองกำลังอ่อนแอแค่ไหนในเวลานี้
หลี่เฉินยกมือข้างหนึ่งขึ้น ประคองใบหน้าของเธอเอาไว้อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วลูบไล้แก้มนุ่มราวกับจะปลอบโยน
หัวใจของจื่ออิงเต้นระรัวในทุกจังหวะที่คนเป็นสามีจ้องมอง เขาก้มหน้าลงช้าๆ ไม่รีบร้อน ดวงตาของเขายังมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงกับริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา
มันเป็นจูบที่ไม่ร้อนแรง แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก
จูบที่ไม่เร่งรีบ แต่อ่อนโยนราวกับจะสื่อว่าทุกอย่าง จะไม่เป็นไร
ลมหายใจของเขากับเธอปะปนกัน สัมผัสอุ่นๆ นั้นเหมือนละลายกำแพงบางๆ ที่เธอสร้างไว้ในใจ มือของเธอยกขึ้นแตะที่แผ่นอกของเขา ใต้ฝ่ามือนั้น เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นอย่างมั่นคง และหนักแน่น
เมื่อริมฝีปากของพวกเขาค่อยๆ ผละออกจากกัน หลี่เฉินยังโน้มใบหน้าอยู่ใกล้เธอ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเขายังจ้องมองลึกเข้ามาไม่ละไปไหน
"อาอิง ผมรักคุณนะ"
หลี่เฉินกระซิบเบาๆ น้ำเสียงนุ่มทุ้ม แฝงความอบอุ่นและมั่นคง
จื่ออิงยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นบางเบา แต่กลับอ่อนหวาน อบอุ่นจนหัวใจเขาไหววูบ
หลี่เฉินไม่พูดอะไรอีก ค่อยๆ โน้มตัวลงอุ้มร่างของภรรยาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน พาเดินตรงไปยังห้องนอนที่แสนคุ้นเคยของพวกเขา
ในอ้อมแขนอันแข็งแรงของหลี่เฉิน จื่ออิงไม่ได้เอ่ยคำพูดใดเช่นกัน เธอเพียงซบใบหน้าลงกับอกของเขา ฟังจังหวะหัวใจที่เต้นอย่างมั่นคง เสียงที่คุ้นเคยและปลอบประโลมหัวใจของเธอเสมอ
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ก่อนที่หลี่เฉินจะก้าวเข้าไป วางร่างเล็กของภรรยาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล เขานั่งลงข้างเตียง ก้มลงจัดปอยผมที่ระใบหน้าเธอ ดวงตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความรักที่เปล่งออกมาอย่างชัดเจน ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ เพียงแววตาแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
หลี่เฉินยื่นมือไปประคองใบหน้าของจื่ออิง ดวงตาของเขาที่มองมานั้นอ่อนโยน และลึกซึ้ง
จื่ออิงสบตาเขา ความเงียบระหว่างคนสองคนในครั้งนี้กลับไม่อึดอัดเลยสักนิด แต่มันเต็มไปด้วยบางอย่างที่อุ่นวาบในอก
หลี่เฉินโน้มตัวเข้าใกล้ ปลายจมูกของเขาเฉียดแก้มเธอเบาๆ ลมหายใจอุ่นรินรดผิว จนจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงช้าๆ แล้วริมฝีปากของเขาก็ประทับลงที่ริมฝีปากเธอ นุ่มลึก และแนบแน่น ราวกับต้องการสื่อทุกความรู้สึก
จื่ออิงกำเสื้อเขาไว้แน่นเมื่อสัมผัสนั้นลึกซึ้งขึ้น หัวใจเธอเต้นแรง จนแทบจะกลบทุกเสียงรอบข้าง จูบของเขาไม่เพียงแตะที่ริมฝีปากเธอ แต่เหมือนแตะลงลึกไปถึงหัวใจ
เขาเคลื่อนริมฝีปากช้าๆ ละเมียดละไม เหมือนกำลังจดจำรสสัมผัสของเธอทีละนิด ทีละน้อย และเมื่อเธอเริ่มจูบตอบความหวานก็ยิ่งล้นทะลัก จูบนั้นเนิ่นนานจนแทบจะลืมหายใจ
หลี่เฉินผละออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเธอ ดวงตาของเธอปรือขึ้นช้าๆ แววตาสั่นระริก แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก
"รู้ไหม"
เขากระซิบ ขณะที่ปลายนิ้วยังแตะอยู่ข้างแก้มของเธอ
"หัวใจของผม มันเต้นแรงทุกครั้งที่ได้แนบชิดกับคุณ"
จื่ออิงไม่ได้ตอบ เธอเพียงยิ้ม รอยยิ้มที่อ่อนหวานเอียงอาย แฝงไว้ด้วยความหวั่นไหว รอยยิ้มที่เขาอยากจะรักษาเอาไว้ตลอดไป
หลี่เฉินยังคงจ้องมองภรรยาไม่วางตา แววตาของเขาอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่จื่ออิงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แล้วเขาก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ริมฝีปากของเขาสัมผัสเธอใหม่อีกหน แต่ครั้งนี้ มันลึกซึ้งกว่าครั้งก่อน ทั้งร้อนแรง เปี่ยมไปด้วยความปรารถนา และเรียกร้อง
ปลายนิ้วของเขาลูบไล้ข้างแก้มของภรรยา ไล้ไปตามลำคอ มืออีกข้างโอบแผ่นหลังเธอแน่นขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ดึงร่างบอบบางของเธอเข้ามาแนบชิด
ลมหายใจของพวกเขาประสานกัน หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลอมรวมเป็นจังหวะเดียวกัน
จื่ออิงหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองละลายอยู่ในอ้อมแขนของหลี่เฉิน ความเหนื่อยล้าและความกังวลที่เคยเก็บไว้เริ่มจางหาย เหลือเพียงสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมเธอไว้ทั้งร่าง
หลี่เฉินค่อยๆ ประคองภรรยาลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา มือของเขายังไม่ปล่อยจากเรือนร่างของเธอแม้แต่วินาทีเดียว เขาเคลื่อนตัวลงนอนแนบชิดกับเธอ ก้มลงจูบหน้าผากเธอเบาๆ ปลายนิ้วของเขาสัมผัสแผ่วเบาบนผิวกายของเธอ ไม่เร่งร้อน ไม่รุกราน แต่ละสัมผัสเหมือนกำลังเอ่ยคำว่า "รัก" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่ต้องใช้คำพูด
เสื้อผ้าค่อยๆ ถูกปลดออกทีละชิ้น ช้าๆ ราวกับเขากำลังปลดพันธนาการที่เธอแบกไว้ และแทนที่ด้วยสัมผัสที่แสดงความอ่อนโยน ความห่วงใย และความรู้สึกลึกซึ้งอย่างแท้จริง
ร่างของเธอซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา สัมผัสของเขาทั้งอ่อนโยนและมั่นคง จนเธอรู้สึกเหมือนได้ละลายอยู่ในอ้อมแขนนั้น
ไม่มีคำพูดใดเอ่ยขึ้นระหว่างพวกเขา มีเพียงเสียงลมหายใจที่สื่อสารกันในความเงียบ
ทุกสัมผัส เต็มไปด้วยความรัก และความหมาย
เขาไม่ได้รีบเร่ง แต่ค่อยๆ พาเธอไหลลึกเข้าสู่ห้วงอารมณ์อันนุ่มนวล ปล่อยให้ทั้งสองใจได้พูดคุยกัน ผ่านความเงียบ ผ่านการแตะต้องที่ซื่อตรง
และในค่ำคืนนั้น พวกเขาไม่ได้แค่แนบกาย แต่หัวใจก็ถูกเชื่อมเข้าหากันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้นในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้นทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคาภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมดการได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้งจู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกขอ
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ