ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลย
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
แววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก
"อาอิง"
เสียงของเขานุ่มนวล
"คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"
จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน
"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"
เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
เธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้มของเธอ จูบแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เขาไม่เคยแสดงออกตรงๆ มาก่อน
"ผมรักคุณ"
คำสั้นๆ ที่เขาพูดออกมา ทำให้หัวใจของจื่ออิงเต้นแรง เธอยิ้ม ทั้งเขิน ทั้งซึ้ง และรู้สึกยินดี ยอมรับว่าเธอเองก็มีเขาเข้ามาในใจแล้วเหมือนกัน
"ฉันก็รักคุณค่ะ"
หลังจากคำบอกรักที่หลุดจากริมฝีปาก สิ่งรอบตัวก็เหมือนจะหยุดนิ่ง จื่ออิงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังชัดในอก มันเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเขา ทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงแววตาคู่นั้นของเขา ที่มองเพียงเธอ รอยยิ้มกว้างที่มอบให้เพียงเธอ
หลี่เฉินไม่ได้เร่งรีบ เขาเพียงยื่นมือมาแตะแก้มของเธอเบาๆ นิ้วโป้งลูบผิวแก้มนวลอย่างทะนุถนอมเหมือนกำลังสัมผัสของล้ำค่า
"อาอิง คนดี"
เสียงของเขานุ่มนวลชวนให้หัวใจสั่น จื่ออิงไม่ตอบอะไร เพียงสบตาเขานิ่งๆ ด้วยแววตาอ่อนหวานเท่านั้น
และในจังหวะที่ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย หลี่เฉินก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาอย่างช้าๆ จนปลายจมูกของเขาเฉียดกับปลายจมูกของเธอ ลมหายใจอุ่นปะทะกันเบาๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะสัมผัสลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน เป็นเพียงการแตะริมฝีปากกันเท่านั้น แต่กลับทำให้หัวใจของเธอสั่นสะเทือน
หลี่เฉินผละใบหน้าออกมาเล็กน้อย สายตาคมของเขาจ้องลึกลงในดวงตาของเธอราวกับกำลังมองหาบางอย่างที่อยู่ข้างใน
จื่ออิงกะพริบตาช้าๆ ดวงตาหวานล้ำมองสบตาเขาอย่างขัดเขิน แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา หลี่เฉินก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้ แล้วจูบเธออีกครั้ง และครั้งนี้จูบนั้นอ่อนโยน ละเมียดละไม และลึกซึ้ง ราวกับเขากำลังถ่ายทอดทุกความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจออกมาอย่างช้าๆ
มันไม่ใช่จูบที่ร้อนแรง ไม่ใช่จูบที่เร่งรีบ แต่เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก เสน่หา อ่อนโยน และมั่นคง
จื่ออิงค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยใจไปกับสัมผัสนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นตัวนำทางตอบรับสัมผัสของเขาอย่างนุ่มนวล
อ้อมแขนแข็งแรงของหลี่เฉินโอบรอบเอวเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะที่มือของเธอโอบกอดเขาเอาไว้แน่นเช่นกัน ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียงใดๆ มีเพียงสัมผัสที่กำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันผ่านริมฝีปากอุ่นเท่านั้น
ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่วูบไหว ปรากฏเงาร่างของคนสองคนทอดทับกันบนผนัง
หลี่เฉินค่อยๆ ผละริมฝีปากออกจากริมฝีปากฉ่ำหวานอย่างแสนเสียดาย ดวงตาคมเข้มจับจ้องใบหน้างามของภรรยาที่ตอนนี้แดงระเรื่อชวนมอง
จื่ออิงยังคงหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เฉิน ลมหายใจของเธอหอบสะท้าน ร่างบอบบางสั่นระริก ริมฝีปากที่สัมผัสกันเมื่อครู่ยังอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอ่อนโยน
"อาอิง"
เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ ราวเสียงกระซิบ กลัวว่าจะทำลายความเงียบงันที่ชวนให้หัวใจวาบหวามนี้
จื่ออิงลืมตาขึ้นช้าๆ มองสบเข้ากับดวงตาคมกล้าลุ่มลึกเจือความปรารถนาของเขา หัวใจเธอสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม
มืออุ่นของหลี่เฉินยกขึ้นแตะแก้มนุ่มของเธอเบาๆ ปลายนิ้วไล้ไปตามกรอบหน้า แล้วแตะนิ้วหัวแม่มือ เกลี่ยเบาๆ บนริมฝีปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยอย่างทะนุถนอม คล้ายจะปลอบโยนที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้มันบวมช้ำ
"ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้"
เขากระซิบบอกเสียงแผ่ว ดวงตาคู่นั้นยังคงไม่ละไปจากเธอ
จื่ออิงรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอหลอมละลาย เธอยกปลายนิ้วขึ้นแตะใบหน้าเขาเบาๆ พลางพยักหน้าแทนคำตอบ ดวงตาฉ่ำหวานเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใดมาอธิบาย เธอพิงหน้าผากลงบนอกเขา ฟังเสียงหัวใจที่เต้นมั่นคงอย่างที่เธอคุ้นเคย
หลี่เฉินค่อยๆ โน้มตัวลงมา จูบแผ่วเบาบนหน้าผากของเธอ ก่อนที่ริมฝีปากจะไล้ลงมาที่ขมับ แล้วหยุดอยู่ตรงแก้มข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นเขากอดกระชับเธอแน่นขึ้น ราวกับไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไป และแล้วริมฝีปากอุ่นของเขาก็เคลื่อนมาทาบทับลงบนริมฝีปากของเธออีกครั้ง
ไม่มีคำพูดใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมาระหว่างพวกเขาอีก มีเพียงเสียงลมหายใจที่ค่อยๆ เปลี่ยนจังหวะ จากแผ่วเบากลายเป็นลมหายใจที่กระชั้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเหมือนกำลังขับกล่อมกันและกันให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แค่ได้อยู่ในอ้อมแขนกันแบบนี้ ไม่ต้องมีคำพูดมากมาย ก็เหมือนได้เติมพลังให้กันอย่างเงียบงันและลึกซึ้งที่สุด
จูบอ่อนหวานในตอนแรกตอนนี้ทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น รุกเร้าไปด้วยแรงปรารถนาอันเร่าร้อน จื่ออิงราวกับถูกสูบวิญญาณจนหัวสองขาวโพลนไปหมด
หญิงสาวหลับตาลงช้าๆ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับสัมผัสของจุมพิตที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากความนุ่มนวล เป็นความเร่าร้อนที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ราวกับเขาตั้งใจจะถ่ายทอดทุกความรัก ความรู้สึก และความปรารถนาทั้งหมดลงมาในจูบนี้
เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกโอบล้อมไว้ด้วยความอบอุ่นซาบซ่านจนลืมทุกอย่างรอบตัว สัมผัสของเขาทำให้เธอรู้สึกราวกับโลกทั้งใบเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงหัวใจของคนสองคนที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
เขาจูบเธอแนบแน่นขึ้น ริมฝีปากของเขาทาบทับลงมาอย่างบ้าคลั่งและร้อนแรงกว่าครั้งก่อน สองแขนที่โอบกอดกันอยู่ยังคงแนบแน่น ราวกับไม่ต้องการให้ใครหรืออะไรมาพรากกันได้ในเวลานี้
"อื้อ"
หญิงสาวร้องครวญครางออกมายามเมื่อลิ้นหนารุกไล้พัวพันไม่มีทีท่าว่าจะผละออกง่ายๆ
จื่ออิงหายใจหอบหนักแหงนเงยใบหน้าขึ้น เมื่อหลี่เฉินยอมปล่อยริมฝีปากของเธอให้เป็นอิสระ แต่หัวใจของเธอกลับยิ่งเต้นแรงขึ้น เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวเปลี่ยนเป้าหมายมาซุกไซ้ลำคอขาวหอมกรุ่นของเธอแทน
"อืม...อาอิง"
เสียงคำรามต่ำร้องเรียกเธอในขณะที่ฝ่ามือหนาลูบไล้เอวบอบบางของเธอ ก่อนจะเคลื่อนลงมาบีบขย่ำสะโพกกลมกลึงด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ปะทุขึ้น
"อ๊ะ"
จื่ออิงร้องอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ สองมือแกร่งของหลี่เฉินก็ช้อนสะโพกยกร่างเธอขึ้นจากพื้น จนเธอต้องกระชับวงแขนที่คล้องลำคอของเขาเอาไว้แน่น สองขาของเธอยกขึ้นเกาะเกี่ยวเอวสอบของเขาเอาไว้โดยอัตโนมัติ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลี่เฉินยกยิ้มมุมปาก ขณะก้าวเดินช้าๆ ตรงไปยังห้องนอนของเขา โดยที่ริมฝีปากไม่ยอมผละออกจากเนื้อตัวภรรยาแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงเตียงเตา หลี่เฉินค่อยๆ วางร่างเล็กของภรรยาลงบนฟูกอย่างนุ่มนวล ท่ามกลางแสงไฟสีส้มอ่อนส่องสะท้อนผิวขาวเนียนของจื่ออิง ราวกับภาพฝันที่อบอวลด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ใต้แสงนั้นราวกับภาพในฝัน
หลี่เฉินค่อยๆ โน้มตัวลงมา ทาบร่างสูงของตนไว้เหนือเธอ แขนทั้งสองข้างวางขนาบข้าง กักตัวเธอในอ้อมแขนอุ่น ราวกับสร้างพื้นที่เล็กๆ ที่มีเพียงเขาและเธอ ดวงตาคมเข้มของเขาสบประสานกับดวงตาหวานลึกซึ้งของเธอ ไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยในตอนนั้น แต่สายตาของเขากลับบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกออกมามากมาย เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดนิ่งลง
"ผมรักคุณนะ อาอิง"
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นข้างหูของเธอ คำพูดนั้นไม่ใช่แค่ลมที่ลอดผ่านริมฝีปาก แต่มันคือทุกอย่างที่เขาเก็บไว้ในหัวใจ และในคืนนี้เขาจะมอบมันให้เธอทั้งหมด
หลี่เฉินโน้มหน้าลงมาแนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเธออีกครั้ง แผ่วเบา นุ่มนวล ราวกับกลัวจะทำให้เธอบอบช้ำ แต่เมื่อได้ลิ้มรสสัมผัสหวานนั้นแล้ว เขาก็จูบเธออีกครั้งและอีกครั้ง
จุมพิตที่เต็มไปด้วยความรัก อ่อนโยนแต่แน่นแฟ้น จุมพิตที่ตักตวงเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ
ในห้วงเวลานั้น พวกเขาไม่ได้ต้องการคำพูด ไม่ต้องการคำอธิบาย มีเพียงหัวใจสองดวงที่ต่างโอบกอดกันอย่างเงียบงัน และรับรู้ว่าต่างต้องการเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์
แสงแดดอ่อนยามเช้าค่อยๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เส้นแสงอุ่นนวลพาดผ่านผืนฟูกและเรือนร่างสองร่างที่ยังหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบแน่น เสียงนกน้อยร้องรับอรุณดังแผ่วอยู่ไกลๆ ปะปนกับเสียงลมยามเช้าที่พัดผ่านม่านบางเบา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงบและอบอุ่นจื่ออิงรู้สึกตัวช้าๆ เปลือกตาของเธอกะพริบไล่แสงที่แตะต้องใบหน้าเบาๆ ก่อนสายตาจะค่อยๆ ปรับให้ชินกับแสงและสิ่งรอบตัวสิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้คือความอบอุ่นจากวงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบตัวเธอเอาไว้แน่น แผ่นอกแข็งแกร่งที่แนบอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ที่ทาบอยู่บนหน้าท้องของเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอที่เป่ารดลงมา และกลิ่นอายที่ชวนให้วาบหวามของเจ้าของวงแขนที่ยังคงติดอยู่บนผิวกายของเธอ ราวกับจะยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจื่ออิงหันศีรษะไปมองคนด้านหลังช้าๆ เห็นใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มในยามหลับที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันกระตุก ใบหน้างามร้อนวาบขึ้น เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ดวงหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของหลี่เฉินเมื่อคืนนี้ บอกกับเธอว่าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกจื่ออิงข่มความอับอายที่เกิด
ลมหายใจของหลี่เฉินร้อนผ่าว รินรดลงบนผิวเนื้อของเธอราวกับเปลวไฟอ่อนๆ ที่กำลังโอบล้อมร่างกาย มือใหญ่ของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอด้วยความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยแรงปรารถนา สัมผัสนั้นไม่ได้เพียงแค่แตะต้องร่างกาย หากแต่เหมือนปลุกให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกสัมผัสจุดความรู้สึกบางอย่างในกายให้ลุกวาบโดยไม่ทันตั้งตัวจื่ออิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าของเธอหลุดหายไปจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งหลี่เฉินผละตัวออกห่างจากเธอ ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่จึงจางหาย ลมเย็นบางเบาพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง สัมผัสผิวกายทำให้ขนอ่อนของเธอลุกชัน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจื่ออิงปรือตาขึ้นช้าๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่แล้วจื่ออิงก็ต้องชะงัก เมื่อตอนนี้ภาพอันแสนเย้ายวนกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสะท้อนลงบนเรือนร่างของหลี่เฉินที่กำลังยืดกายอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ เขานั่งชันเข่า สองแขนแข็งแกร่งยกขึ้นสูง กำลังถอดเสื้อตัวบางออกจากศีรษะ ท่วงท่าเหล่านั้นเป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับตั้งใจให้เธอไล่สายตาสำรวจไปทั่วเรื
ในอ้อมกอดอุ่นนั้น จื่ออิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบ ราวกับได้พักพิงอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอไม่รู้ว่าหลี่เฉินยืนกอดเธอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันแววตาของหลี่เฉินอ่อนโยน ลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรัก"อาอิง"เสียงของเขานุ่มนวล "คุณรู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าเราจะมีวันนี้ วันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า"จื่ออิงมองสบตาเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน เธอเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆ กัน ขอบคุณที่เป็นความสุขให้ผมกับลูก"เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาเธอกะพริบตาถี่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตคับอก เธอไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ออก ทำเพียงยกมือขึ้นกอดเอวเขาเอาไว้แน่น สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่เธอไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้หลี่เฉินมองเธออย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้ม
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มนั่งพิงไหล่มารดาอย่างอ่อนแรง พอท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก ร่างเล็กๆ ขยับตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ทำเอาจื่ออิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน"หืม ดูสิ คนเก่งของแม่ง่วงนอนแล้วใช่ไหมคะ"เหยียนเหยียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมใสเริ่มปรือด้วยความง่วง แต่ก็ยังฝืนลืมตาไว้ไม่ยอมหลับ"ค่ะ แต่หนูก็อยากฟังนิทานก่อนนอนก่อน" เสียงเล็กๆ พูดเบาๆ เหมือนกระซิบ พร้อมกับซุกตัวเข้าหาแม่เล็กน้อยจื่ออิงยิ้ม พลางเอื้อมมือไปลูบแก้มบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ขณะที่เหยียนเหยียนซบใบหน้ากับอกเธออย่างง่วงงุน เธอกำลังจะลุกขึ้นเพื่อพาลูกเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว อ้อมแขนอบอุ่นของหลี่เฉินก็ยื่นเข้ามารับร่างเล็กของเหยียนเหยียนไปอย่างนุ่มนวลแต่ในจังหวะที่มือของเขาเอื้อมมารับตัวลูกสาว ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มนุ่มของคนเป็นแม่แผ่วเบาสัมผัสนั้นทำให้จื่ออิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที จนสบเข้ากับดวงตาของหลี่เฉินที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยน แววตาของเขาสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดใดๆ"เหนื่อยมากไหมครับวันนี้"เขาถามเบาๆ เสียงนุ่มนวลนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ หลี่เฉินและจื่ออิงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทั้งคู่ยุ่งอยู่กับการปรับปรุงและซ่อมแซมร้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าตัวอำเภอ กลับบ้านมาก็เกือบค่ำมืด ตั้งแต่วันแรกก็เริ่มต้นด้วยการติดต่อช่างและพาช่างเข้ามาดูหน้างาน พูดคุย ปรึกษา วางแผน และต่อรองราคา จนแทบไม่มีเวลานั่งพัก โชคดีที่ช่างที่หลี่เฉินหามานั้นเป็นคนขยันและมืออาชีพ แต่ถึงอย่างนั้นการปรับปรุงและซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่าย ตัวอาคารเดิมนั้นแม้โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแรง แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในอาคารกลับทรุดโทรมจนเห็นได้ชัด เพราะผ่านการใช้งานมายาวนาน หลังคากระเบื้องดินเผาหลายแผ่นแตกร้าว บางจุดมีรอยรั่ว หากมีฝนตกคาดว่าคงไหลซึมลงมาเป็นสายผนังด้านนอกลอกเป็นแผ่นๆ เผยให้เห็นปูนเก่า ด้านในแตกร้าวเป็นเส้นตื้นๆ เต็มไปหมด ส่วนภายในยิ่งแล้วใหญ่ พื้นไม้เดิมด้านบนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว และเต็มไปด้วยรอยครูด รอยสึกจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน โต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าโยกเยกคลอนแคลน บางตัวขาเกือบหัก ส่วนเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็ผุพัง มีร่องรอยปลวกกินจนบางจุดทะลุ พื้นปูนเดิมก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ดูแล้วไม่สบายตาเอาเสียเล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เฉินและจื่ออิงเดินออกจากร้านน้ำชาด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ วันนี้พวกเขาได้อาคารแห่งนั้นมาเป็นของตัวเองแล้ว ร้านอาหารในฝันกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงไปอีกก้าว และมันไม่ใช่ก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะต้องใช้เงินก้อนโต แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าคุ้มค่า จื่ออิงมองอาคารไม้ผสมปูนที่เพิ่งกลายเป็นของพวกเขาด้วยสายตาแน่วแน่ ใจของเธอพองโตด้วยความหวัง นี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นโอกาสที่เธอและหลี่เฉินจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับครอบครัว หลี่เฉินหันไปมองภรรยา ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือของเธอไว้แน่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวภรรยา ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งใด เขาก็พร้อมจะเดินเคียงข้าง คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับหลี่เฉินแล้ว ตอนนี้จื่ออิงไม่ใช่เพียงแค่ภรรยา แต่เป็นคู่ชีวิตที่เขาอยากก้าวผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คน เสียงรถลาที่แล่นผ่านไปมา และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลม พวกเขารู้ดีว่าหน