“อะไรเนี่ย ทำไมจบแบบนี้อ่ะ จิ๊” เยว่ชิงจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสีย คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแน่น มือบางปิดหนังสือนิยายแล้วเก็บเข้าชั้นไว้เหมือนเดิม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“คุณหนูครับ คุณท่านให้มาตามแล้วครับ” เสียงของบอดี้การ์ดดังลอดเข้ามาในห้องที่ปิดประตูไม่สนิท
“อืม เดี๋ยวฉันลงไป” เยว่ชิงเดินไปสำรวจความเรียบร้อยของตนเองหน้ากระจกบานใหญ่ ปรากฏร่างบางในชุดเดรสสีดำปาดไหล่ ชายกระโปรงยาวถูกแหวกขึ้นมาจนถึงโคนขา ดูอย่างไรก็รู้ว่าผู้ที่สวมใส่มั่นใจในตนเองแค่ไหน ใบหน้าน่ารักตามฉบับลูกครึ่งไทย-จีนเอียงซ้ายทีขวาทีเพื่อสำรวจความเรียบร้อย เยว่ชิงจัดชุดให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินออกจากห้องไป
“โอ้โห ลูกสาวพ่อสวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เมื่อวานพ่อยังเห็นหนูคลานต้วมเตี้ยมอยู่เลย”
“คุณพ่อคะ หนูอายุยี่สิบสามแล้วค่ะ จะคลานต้วมเตี้ยมได้ยังไงกัน” เยว่ชิงเบะปากให้คุณพ่ออย่างงอนๆ
คุณพ่อของเธอมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบเห็นเธอเป็นเด็ก ทั้งยังขี้เล่น ขี้แกล้ง แทบจะไม่เหลือมาดของเจ้าพ่อคาสิโนอยู่แล้ว พ่อของเธอเป็นชาวจีน ส่วนแม่เป็นชาวไทย ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ในประเทศฝั่งยุโรปเพราะธุรกิจคาสิโนที่คุณพ่อประมูลมาได้ เยว่ชิงจึงเกิดและโตที่ยุโรป
“เอาเถอะๆ สองพ่อลูกขึ้นรถได้แล้วค่ะ” และตามเดิม…เป็นคุณแม่ที่ยุติการหยอกล้อกันของพ่อลูก
สามคนพ่อแม่ลูกเดินขึ้นรถเพื่อไปร่วมงานเปิดตัวธุรกิจใหม่ของคู่ค้า และแน่นอนว่าธุรกิจคาสิโนของครอบครัวเยว่ชิงนอกจากจะมีคู่ค้าก็ต้องมีคู่แข่งด้วยเช่นกัน รถที่ใช้จึงถูกตรวจสอบเป็นอย่างดี กันกระสุนรอบคัน ทั้งยังมีคนขับที่ไว้ใจได้เพียงคนเดียว ซึ่งเป็นมือขวาของคุณพ่อ ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ก็ขับรถตามมา
“แล้วนี่ลูกเป็นอะไร หืม ทำไมสีหน้าดูหงุดหงิดแบบนั้นล่ะคะ” เยว่ชิงหันหน้าไปส่องกระจกทันทีที่คุณแม่ทัก
“เห้อออ สงสัยจะเป็นเพราะนิยายที่หนูอ่าน มันไม่จบแบบที่หนูอยากให้เป็น” ร่างบางยกมือกอดอกอย่างขัดใจ
“ให้พ่อไปเผาสำนักพิมพ์ดีไหม โทษฐานที่ทำให้ลูกสาวพ่อหงุดหงิด”
“เอาเลยค่ะ ขัดใจหนูมาก พ่อของพระเอกเป็นคนวางแผนทำลายครอบครัวนางเอก สุดท้ายยังรักกันได้ แล้วพระเอกก็ดูไม่ได้รักนางเอกขนาดนั้น แค่เพราะนางเอกมีลูกชายให้ เลยหันมาสนใจ แย่มาก!”
“แล้วทำไมหนูถึงอ่านจนจบได้ ทั้งที่หนูไม่ชอบ หืม”
“ก็เพราะหนูคิดว่ามันจะจบแบบหักมุมนี่คะ อีกอย่างนางเอกก็ชื่อเหมือนหนูด้วย ลู่เยว่ชิง ต่างกันที่หนูไม่ได้ใช้แซ่ลู่เท่านั้น”
“หึๆ แต่พ่อว่าต้องมีสิ่งที่ไม่เหมือนกันอีกเยอะแน่ เพราะลูกสาวพ่อทั้งเก่งทั้งฉลาด คงไม่รักกับผู้ชายแบบนั้น” คุณพ่อที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าของเยว่ชิงเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะลูกสาวคนเก่งของเขา
“ก็ไม่แน่หรอก~ แม่เคยได้ยินที่เขาว่า พรหมลิขิต อาจจะมีจริงก็ได้ คิกๆ” ตามประสาคนไทย คุณแม่ของเยว่ชิงมักเชื่อเรื่องโชคชะตาและพรหมลิขิตอะไรพวกนั้นเสมอ แต่ไม่ใช่กับเยว่ชิงคนนี้!
“หึ ชีวิตหนู หนูจะกำหนดเอง จะไม่ยอมให้ใครมากำหนดทั้งนั้น” เยว่ชิงยกมือขึ้นกอดอกอย่างมั่นใจ จนพ่อกับแม่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับท่าทีของลูกสาว
“อ่าว อาตง นี่เราจะไปไหนกัน ปกติเราไม่ได้ใช้เส้นทางนี้หนิ”
“มีคนขับตามเรามา แล้วยังปิดถนนเส้นที่เราใช้ประจำ เหมือนมันต้องการบีบให้เราใช้ถนนเส้นนี้ครับคุณท่าน”
“ระวังด้วย ถนนเส้นนี้เป็นทางลงเขา” เยว่ชิงได้ยินพ่อคุยกับคนขับรถ เธอจึงมองลอดออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าเป็นอย่างที่คุณพ่อว่าถนนเส้นนี้เป็นทางลงเขา ไหล่ถนนเป็นเหวลึก อีกฝั่งก็เป็นผาสูง เธอเองก็เคยมาขับรถเล่นเส้นทางนี้บ่อยครั้ง ถนนเส้นนี้บรรยากาศดีแต่ก็อันตราย
สองแม่ลูกมองหน้ากัน มือบางล้วงเข้าไปหยิบปืนใต้เบาะ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน รถของเยว่ชิงชะลอให้รถของบอดี้การ์ดนำไปก่อนสามคัน แต่เมื่อเดินทางไปได้ไม่นาน จู่ๆ รถของบอดี้การ์ดคันแรกก็เกิดเสียหลักพุ่งชนเข้ากับหน้าผา ทำให้รถบอดี้การ์ดที่นำหน้ารถของเยว่ชิงเสียหลักไปด้วย จึงเหลือเพียงรถของเยว่ชิงที่ยังขับต่อมาได้ แต่อาตงก็ต้องพยายามบังคับรถอย่างยากลำบาก เพราะดูเหมือนว่ารถจะถูกตะปูเรือใบเจาะเข้าเสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นอาตง ทำไมรถถึงส่ายแบบนี้”
“เหมือนยางจะแตกครับ”
“ด้านหน้าเป็นโค้งหักศอกและชันมาก เราหยุดรถก่อนเถอะ” เยว่ชิงที่เคยมาขับรถเล่นแถวนี้อยู่บ่อยครั้งได้เตือนให้อาตงหยุดรถก่อน เพราะสภาพรถตอนนี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเอาได้
“หยุดไม่ได้ครับคุณหนู คนของเรารายงานว่าพวกมันตามเรามาเป็นขบวนเลยครับ”
“ในเมื่อไม่มีทางเลือก งั้นก็ไปเลย” คุณแม่ที่แสนอ่อนหวานของเยว่ชิงพูดขึ้นอย่างหนักแน่น มือหนาของคนเป็นพ่อเอื้อมมาจับมือของภรรยาและลูกสาวเอาไว้ อาตงพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมรถจนไปถึงบริเวณโค้งหักศอก หากควบคุมรถได้แบบนี้ต่อไป อย่างไรก็รอดพ้นไปได้
แต่ทว่า…
กลับมีก้อนหินขนาดใหญ่ถึงสามก้อนตกลงมาจากหน้าผา ทำให้อาตงต้องเบี่ยงรถหลบจนรถหรูชนเข้ากับขอบกั้นของถนนอย่างแรงจนรถพลิกตกเหวไป
โครม!
“คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ
“นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่
“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่
“ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”“นั่นสิขอรับ ท่านพ่อจะปล่อยเขาไว้เช่นนี้หรือ” ลี่อินเอ่ยสำทับขึ้นมา เขาสงสารเผิงจง มีทั้งมารดาและน้องสาวให้เลี้ยงดู บิดาขของเขาก็หายตัวไป คงจะลำบากไม่น้อย“ท่านพี่…” ซูเมิ่งขยับเข้ามาลูบแขนของสามีเบาๆ นางเองก็สงสารเผิงจงไม่น้อย จึงอยากให้สามีรับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานในร้านซิ่งฟู่“เข้าใจแล้ว…เผิงจง เจ้าอยากมาทำงานที่ร้านนี้หรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเลือกที่จะถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อน“ขะ ขอรับนายท่าน เมตตาข้าน้อยและครอบครัวด้วยขอรับ” เผิงจงรีบตอบรับทันที ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้“เช่นนั้นก็พาพวกข้าไปรับมารดากับน้องสาวเจ้าไปที่สกุลลู่ก่อน แล้วข้าจะให้คนตามหมอมาดูอาการของมารดาเจ้า”“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู” เผิงจงรีบก้มเคารพทุกคนที่ช่วยเหลือเขาจากนั้นเผิงจงก็รีบนำเจ้านายคนใหม่ของตนไปพบมารดาและน้องสาวที่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงเผิงจงก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาและน้องสาวฟัง ทั้งเผิงฮวาที่เป็นมารดาและเผิงจูเด็กหญิงตัวน้อย ต่างก็ซาบซึ้งต่อความเมตตาของสกุลลู่ หลังจากที่ทั้
“หยุดนะ ทุบตีเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร อยากถูกจับส่งทางการหรือ” หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม เห็นผู้คนกำลังเดือดร้อน จะให้นิ่งเฉยคงมิใช่บุตรสกุลลู่แล้ว“พวกเจ้าไม่เกี่ยว หลีกไป เด็กคนนี้มันขโมยเงินข้า ข้าจะให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะแต่งกายดูดี แต่กลับมีสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเด็กหนุ่มที่ดูมีแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรง“ข้ามิได้ขโมย เงินนี่เป็นค่าแรงที่ข้ามาช่วยท่านขนของเข้าร้าน แต่พอข้าทำงานเสร็จ ท่านกลับมิยอมให้ข้า” เด็กหนุ่มเถียงคอเป็นเอ็น น้ำสีใสร่วงหล่นออกมาจากตาเป็นสาย เยว่ชิงเห็นท่าทีมิยอมอ่อนของชายผู้นั้นนางจึงได้รีบตัดปัญหา“เพียงแค่คืนเงินให้ ท่านก็จะไม่ทำร้ายเขาใช่หรือไม่”“ใช่”“นี่ ข้าไม่คืนนะ! เงินนี้สำคัญกับข้ามาก” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาเสียงแข็ง“เท่าใด เงินที่เจ้าถืออยู่นั้นมีเท่าใด” เยว่ชิงเอ่ยถาม“ห้าสิบอีแปะ”“เช่นนั้นเงินห้าสิบอีแปะนี่ข้าจะคืนให้ท่าน แต่…ข้าขอตีท่านคืนได้หรือไม่ ท่านจะได้รับรู้ว่าผู้ที่ถูกตีเขาเจ็บเพียงใด” เยว่ชิงยื่นเงินห้าสิบอีแปะให้ชายผู้นั้น ซึ่งเขาก็รับไปอย่างรวดเร็ว“หากเป็นเจ้าที่ตี ข้าจะให้เจ้าตีข้าสักสิ
“แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้