“อันใดกันเยว่ชิง เหตุใดทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้อีกแล้ว” ซูเมิ่งใช้ปลายนิ้วนวดวนหัวคิ้ว หวังให้บุตรสาวคลายปมคิ้วออก หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเยว่ชิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ร้องไห้งอแงโดยมิมีเหตุผล จะร้องไห้เพียงตอนหิวหรือไม่ก็ถ่ายหนักถ่ายเบาเท่านั้น รู้ความเสียจนน่าประหลาดใจ ทั้งยังชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา จนนางสงสัยว่าเด็กน้อยวัยเพียงหนึ่งเดือนจะมีสิ่งใดให้คิดหนักถึงเพียงนั้น
“แอ๊ๆ เอิ้ก คิก!” เยว่ชิงที่เห็นว่ามารดาทำหน้าตากังวล นางจึงรีบคลายปมคิ้วแล้วหัวเราะร่าให้มารดาเห็น มือเล็กยกขึ้นตีไปมาบนอากาศ ซูเมิ่งเมื่อเห็นว่าลูกน้อยยิ้มหัวเราะได้ก็คลายความกังวลไป คงจะเป็นเพราะนางคิดมากไปเองกระมัง
เมื่อมารดากลับไปนั่งปักผ้าดังเดิม เยว่ชิงก็กลับมานอนระลึกถึงเรื่องราวแสนอาภัพของนางเอกในนิยายเรื่องชะตาร้ายอีกครั้ง ชีวิตอาภัพของลู่เยว่ชิงในนิยายจะเริ่มขึ้นตอนลู่เยว่ชิง…
ในวัย 4 หนาว เจ้ากระต่ายน้อยที่ลู่เยว่ชิงเลี้ยงเอาไว้ได้ถูกสุนัขจรจัดกัดจนตาย ลู่เยว่ชิงเสียใจจนร้องไห้และซึมไปหลายเดือน
ในวัย 7 หนาว ลู่ลี่อิน พี่สามของลู่เยว่ชิงได้ป่วยเป็นโรคที่ต้องใช้สมุนไพรราคาสูงในการรักษา แต่ด้วยท่านพ่อของนางเป็นขุนนางตงฉิน ไม่คิดคดโกง ทำให้เบี้ยหวัดที่ได้ไม่พอจะซื้อสมุนไพรที่ว่า แม้ท่านพ่อจะพยายามขอหยิบยืมเงินมาจากสหายจนครบและซื้อโอสถจากท่านหมอมาได้แล้ว แต่ทว่ากลับไม่ทันการ ลู่ลี่อินอาการทรุดหนักจนไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้สกุลลู่จิตใจบอบช้ำอย่างหนัก ทั้งครอบครัวยังติดหนี้สินไปทั่ว
ในวัย 12 หนาว ลู่เฉินกง พี่ใหญ่ของลู่เยว่ชิงที่ถูกเกณฑ์ไปช่วยสงครามก็พิการขากลับมา และสาเหตุก็หนีไม่พ้น อู๋จางหมิ่นพระเอกนิยายในเรื่องชะตาร้าย หึ!!! เป็นเพราะอู๋จางหมิ่นพลาดท่าให้กับศัตรู พี่ใหญ่ของนางเห็นเข้าจึงรีบไปช่วย แต่กลับถูกอู๋จางหมิ่นดึงไปรับคมดาบแทน จนพี่ใหญ่ของนางต้องเสียขาทั้งสองข้าง! พี่ใหญ่ทนทุกข์อยู่ได้ไม่นานก็ตัดสินใจปลิดชีพตนเอง
ในวัย 15 หนาว ลู่เยว่ชิงที่พึ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาได้เพียงแค่สิบวันกลับต้องมาสูญเสียบิดา เพราะเสนาบดีกรมคลัง อู๋หลี่เฉียง ใส่ร้ายว่าบิดาของนางลักขโมยของในพระคลังหลวง บิดาของนางจึงถูกลงทัณฑ์ให้โบยจนตาย พี่รองและบ่าวชายในเรือนถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในเหมืองแร่ ยังมิหมดเท่านั้น เสนาบดีอู๋ยังแสร้งทำทีสงสารครอบครัวสกุลลู่ ทูลขอต่อองค์ฮ่องเต้ว่าจะรับฮูหยินลู่เป็นอนุและรับลู่เยว่ชิงเป็นอนุของบุตรชายอย่างอู๋จางหมิ่น ในตอนนั้นสกุลลู่อับจนหนทาง สองแม่ลูกมิอาจปฏิเสธได้ จึงต้องย้ายเข้าไปอยู่ในสกุลอู๋ในฐานะอนุ
แต่ความอาภัพของลู่เยว่ชิงยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะสามีของนางมีทั้งฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และอนุอีกสอง หลังจากลู่เยว่ชิงถูกรับเข้ามาเป็นอนุ สามีของนางนั้นมิได้ใส่ใจดูแล จะมาพบเพียงตอนเมามายสุราเท่านั้น ถึงขนาดว่าลู่เยว่ชิงตั้งครรภ์และถูกบรรดาเมียของสามีกลั่นแกล้งจนตกเลือด สามีของนางก็ยังไม่มาดูดำดูดี จนกระทั่งนางตั้งครรภ์ที่สองและคลอดออกมาเป็นบุตรชาย สามีของนางถึงได้มาดูแล ยกย่อง แต่งตั้งขึ้นเป็นฮูหยินเอก เพราะที่ผ่านมาทั้งฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และอนุอีกสองคนของอู๋จางหมิ่นต่างให้กำเนิดบุตรสาวทั้งหมด
หลังจากนั้น…นิยายก็ตัดจบเพียงว่าอู๋จางหมิ่นและลู่เยว่ชิงใช้ชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุข ทั้งที่ในนิยายลู่เยว่ชิงยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าเสนาบดีอู๋เป็นผู้ที่ใส่ร้ายบิดาของนาง…
เหอะ! จะให้อดีตลูกสาวเจ้าพ่อคาสิโนมาทนใช้ชีวิตอาภัพแบบนั้น ไม่เอาด้วยแน่! อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตพวกนี้ให้ได้!
“ฮ่าๆ เยว่ชิงลูกพ่อ เจ้ามีเรื่องให้คิดหนักถึงขั้นยกมือก่ายหน้าผากเลยหรือ” ลู่หวังเหล่ยที่พึ่งกลับมาจากทำงาน ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วเสร็จจึงมาเล่นกับบุตรสาว ด้านเยว่ชิงตัวน้อยที่เห็นว่าท่านพ่อกลับมาแล้วก็อยากเอ่ยทักทาย
“อือๆ แอ๊” มือเล็กโบกไปมาในอากาศ ริมฝีปากน้อยๆ ฉีกยิ้มอวดเหงือกแดงของตนให้บิดาดู
“มาๆ พ่ออุ้มเจ้าดีหรือไม่ นอนทั้งวันคงจะเบื่อหน่ายแล้วกระมัง” ลู่หวังเหล่ยอุ้มบุตรสาวเข้าอก เดินไปมาอยู่ในเรือน
“ท่านพี่กลับมาเหนื่อยๆ ไม่ไปพักก่อนหรือเจ้าคะ”
“มิเป็นไร แล้วนี่ลูกๆ อยู่ที่ใดกัน ตั้งแต่พี่เข้ามายังมิเห็นแม้แต่คนเดียว” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามถึงบุตรชายทั้งสามของตน
“วิ่งเล่นกันจนมอมแมม ข้าจึงให้เฉินกงพาน้องๆ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนจะรับมื้อเย็นเจ้าค่ะ” เยว่ชิงที่ได้ยินท่านแม่พูดว่าพี่ชายไปวิ่งเล่นด้านนอกกันก็รู้สึกอิจฉา ร่างเล็กจ้อยดีดดิ้นไปมา
อีกกี่ปีนางถึงจะได้ออกไปวิ่งเล่นบ้าง ฮื่อออ~
“ประเดี๋ยวตกไปจะเจ็บเอาได้นะเยว่ชิง นางดื้อรั้นมากหรือไม่ ทำให้เจ้าเหนื่อยแล้วซูเมิ่งของพี่ บุตรถึงสี่คนคงวุ่นวายเจ้าน่าดู”
“คงจะมิเหนื่อยเท่าท่านพี่ ท่านยังถูกกลั่นแกล้งอยู่หรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งเดินเข้าไปกอดสามีไว้แน่น นางรู้ว่าสามีของนางมักถูกเสนาบดีอู๋กลั่นแกล้งอยู่เสมอ
“ก็ตามเคย พวกเขามิชอบใจที่พี่มิยอมโอนอ่อนผ่อนปรนในเรื่องการงาน”
“คงจะเป็นเพราะข้าด้วยใช่หรือไม่”
“อืม เสนาบดีอู๋คงจะรู้สึกเสียหน้าที่เจ้าเลือกแต่งกับขุนนางขั้นห้าอย่างพี่แทนที่จะไปเป็นอนุของเสนาบดีกรมคลังอย่างเขา แต่เจ้ามิต้องคิดมากไป พี่ทำงานด้วยความสัจจริง เขาจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็มิเป็นผล” เยว่ชิงที่ฟังความจากบิดาก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ยิ่งนางรับรู้มาก่อนว่าบิดาของนางจะถูกใส่ร้าย โดนโทษโบยจนตาย นางยิ่งโกรธเคืองคนผู้นั้น แต่นางตัวเล็กจ้อยเพียงเท่านี้จะทำอันใดได้ คงต้องรอให้นางโตขึ้นก่อนค่อยจัดการกับเสนานบดีอู๋
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ข้าหิวแล้วววว” เสียงเล็กของหมิงยู่ตะโกนดังลั่นไปทั่วเรือนจนผู้เป็นบิดาต้องเอ่ยปราม
“รู้แล้วๆ เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังนัก ประเดี๋ยวเสือร้ายก็ออกมากินตับเจ้าหรอก โฮรก~” ลู่หวังเหล่ยที่อุ้มบุตรสาวอยู่ทำท่าเป็นเสือวิ่งไล่บุตรชายไปทั่วห้อง
“กรี๊ดดดด พี่ใหญ่ น้องสาม ช่วยข้าด้วย~ เสือมันจะกัดข้าแล้ว”
จริงสิ! หากเลี้ยงกระต่ายแล้วถูกสุนัขกัดตาย ก็เลี้ยงอย่างอื่นที่สุนัขกัดไม่ได้สิ
เยว่ชิงที่จู่ๆ ก็คิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องสุนัขกัดสัตว์เลี้ยงของนางจนตายได้ก็ดีอกดีใจยกใหญ่ ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะเล่นกับพี่ชายทั้งสาม ครอบครัวนั่งล้อมวงทานข้าวกันอย่างมีความสุข แม้อาหารจะมิได้มากมาย แต่ก็อิ่มหนำสำราญกันอย่างถ้วนหน้า หลังจากที่ทานมื้อเย็นกันแล้ว ลู่หวังเหล่ยก็พาลูกๆ มานั่งรับลมที่ศาลาในสวนท้ายเรือน
“เยว่ชิงน้องพี่ หากโตขึ้นจะต้องงดงามที่สุดในแคว้นเป็นแน่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวพลางเอามือจิ้มแก้มนุ่มนิ่มนั้น เยว่ชิงได้ฟังก็ชมชอบคำเยินยอของพี่ชาย เด็กน้อยยิ้มร่า ดีดแขนขาไปมาราวกับต้องการบอกพี่ชายว่า…
เอาอีกๆ ชมข้าอีก ชมข้าให้มากๆ
“น้องพึ่งจะได้หนึ่งเดือน นางอาจจะโตมาน่าเกลียดก็ได้นะ” หมิงยู่ยื่นหน้าเข้าไปมองหน้าตาของเยว่ชิงชัดๆ โตขึ้นคงมิได้งดงามถึงเพียงนั้นกระมัง
เจ้าพี่บ้า ปากเสียจริง!
ป๊าบ! เท้าเล็กฟาดเข้าแก้มของหมิงยู่อย่างจัง
“โอ๊ยยย! ท่านแม่ เยว่ชิงทำร้ายข้า ฮื่ออออ” หมิงยู่ทำท่าโอดครวญเสียใหญ่โตจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“คิกๆ ตี ตี” ไม่เว้นแม้แต่ลี่อิน เด็กน้อยวัยสามหนาว ก็ดูเหมือนจะชอบอกชอบใจที่พี่รองของเขาถูกน้องสาวกลั่นแกล้ง
“โถ่ มิมีผู้ใดอยู่ข้างข้าเลย ฮึ ข้าโกรธพวกท่านแล้ว วันพรุ่งต้องซื้อถังหูลู่มาให้ข้าสองไม้ถึงจะหาย” หมิงยู่ยกนิ้วมือป้อมๆ ขึ้นมาสองนิ้วให้บิดารับรู้ว่าเขาต้องการ สองไม้ เท่านั้น!!!
เยว่ชิงที่เห็นนิสัยและท่าทีของพี่รองแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าวันข้างหน้าผู้ใดพร้อมที่จะแหกกฎกับนาง ถึงจะปากเสียไปบ้างแต่ก็พอรับได้ ปากเล็กของเยว่ชิงอ้าปากหาว ตากลมที่มองภาพความสุขตรงหน้าเริ่มปรือลงเรื่อยๆ
หาว~ หวังว่านางจะโตวันโตคืน ใช้ชีวิตกินๆ นอนๆ เช่นนี้มันน่าเบื่อเกินไปแล้ว…
“เสด็จพ่อ มิอยู่หรือเพคะ อื้ม” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวเอ่ยถามมารดาทั้งที่มือยังคงนำขนมเข้าปากน้อยๆ ไม่หยุด“ฉิเงอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยให้สมกับเป็นสตรีเสียบ้างเถิด” เยว่ชิงนำผ้ามาเช็ดปากให้บุตรสาวตัวน้อย ดูทีเถิดอันเอ๋อร์บุตรสาวของพี่ใหญ่กับเสี่ยวจูอายุเพียงสี่หนาวยังนั่งกินเรียบร้อยมิเลอะเทอะแม้แต่น้อย“มิจำเป็นเพคะ ท่านลุงรองเอ่ยว่ายามเสด็จแม่เด็กก็แก่นเซี้ยวเช่นฉิงเอ๋อร์” แม้จะถูกมารดาดุ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาใส่ใจ เอาแต่กัดกินขนมด้วยท่าทีสบายอารมณ์“เสด็จแม่คงต้องทำใจเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ บุตรของผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ฉิงเอ๋อร์ย่อมซุกซนเหมือนเสด็จแม่ อันเอ๋อร์ย่อมเรียบร้อยเหนียมอายดั่งท่านป้าเผิงจู ส่วนอาหรานเองก็ปากเก่งเช่นท่านลุงรอง” อาหรานที่จางหย่งเอ่ยถึงคือ ลู่ห่าวหราน บุตรชายของพี่รองและพี่ฟางเอ๋อร์ที่อายุได้เพียงสี่หนาว แต่กลับช่างพูดช่างเจรจาดั่งพี่รองมิมีผิด“คิกๆ”“เสี่ยวจู เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“มิได้เพคะพระชายา เพียงแต่หม่อมฉันนึกถึงยามที่พระชายาเป็นเด็ก ท่านหญิงมิมีสิ่งใดต่างจากพระชายาเลยเพคะ” เผิงจูยกมือปิดปากหัวเราะ ท่านหญิงช่างเหมือนพระชายาเหลือเกิน ส่วนท่านชายใหญ่ก็
“ปล่อยอาหย่งกับฉิงเอ๋อร์ไว้กับเหล่าองค์ชายจะดีหรือเพคะ เยว่ชิงกลัวว่าเจ้าก้อนของเราจะไปทำให้เหล่าองค์ชายลำบากเอาได้” บุตรชายและบุตรสาวของนางนั้นแม้จะเลี้ยงไม่ยาก ทว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง อยากร้องก็ร้อง อยากหยุดก็หยุด ชอบเล่นสนุกจนบางครั้งทำให้ขันทีฟ่งหรานถึงกับเหนื่อยหอบลมแทบจับ นางเกรงว่าเจ้าก้อนทั้งสองของนางจะทำให้เหล่าองค์ชายปวดหัวเอาได้“ฮ่าๆ มิได้ห่วงเจ้าก้อนหรอกหรือ” หลิวหยางพาเยว่ชิงควบม้าออกมาห่างจากเมืองหลวงพอควร เพื่อพาร่างบางไปยังสถานที่หนึ่ง ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว“เจ้าก้อนทั้งสองของเรา หากว่ามีพี่สามอยู่ เยว่ชิงก็มิห่วงอันใดแล้วเพคะ ทั้งเหล่าองค์ชายเองก็เอ็นดูอาหย่งและฉิงเอ๋อร์ของเราถึงเพียงนั้น จะต้องห่วงอันใดอีกเล่า…ว่าแต่ท่านพี่จะพาเยว่ชิงไปที่ใดหรือเพคะ” นัยน์ตาสดใสมองไปรอบข้างอยู่นาน แต่ก็มิคุ้นกับที่ทางเหล่านี้สักเท่าใด“พี่พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างไรเล่า จะได้มิน้อยใจ หาว่าพี่สนใจแต่บุตรมิสนใจมารดา”“โถ่~ เรื่องเพียงเท่านี้ ผู้ใดจะน้อยใจเล่าเพคะ” แขนเล็กถูกยกขึ้นกอดอก ดวงหน้างดงามเชิดขึ้นดั่งถือดี เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสวามีจับได้ว่าแอบน้อย
“อู้ๆ คิก เจี่ยมๆ”“โอ้ ฉิงเอ๋อร์ของลุงวาดภาพได้งดงามยิ่ง หากอาหย่งก็กลับมาแล้ว เราเอาไปอวดเขาดีหรือไม่ หืม” หมิงยู่ว่า พลางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีที่ติดใบหน้าหลานสาวตัวน้อยออก อีกสองเดือนข้างหน้าก็จะถึงฤกษ์แต่งของเขากับฟางเอ๋อร์แล้ว ถึงครานั้นเขาจะรีบมีบุตรให้ทันใช้ เดิมทีมีการกำหนดฤกษ์แต่งก่อนหน้านี้ แต่ทว่าพี่ชายของฟางเอ๋อร์ออกเรือไปส่งสินค้าต่างแคว้นมิอาจมาร่วมงานได้ พวกเขาจึงเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในวันสำคัญ“คารวะองค์ชายทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพาอาหย่งไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มาแล้ว รับรองว่ากลิ่นหอมฉุย” ลี่อินอุ้มจางหย่งเข้ามาในศาลาที่เหล่าองค์ชายนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานหยดของคุณชายรองลู่ทำเอาใครบางคนถึงกับหันมองมิวางตา จนเหล่าพี่น้องจับสังเกตได้“เชิญคุณชายรองและคุณชายสามลู่ตามสบาย ถือว่าพวกข้ามาพักผ่อนดั่งครอบครัวทั่วไป ใช่หรือไม่น้องสี่” จ้านฉือที่เห็นว่าน้องชายยังมิละสายตาจากใบหน้างามจึงได้เอ่ยเรียกสติ“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ คุณชายลู่พาอาหย่งมานั่งเถิด” เมื่อองค์ชายสี่เอ่ยเรียกคุณชายลู่ ทำให้ทั้งลี่อินและหมิงยู่ชะงักมองหน้ากัน เพราะมิรู้ว่าองค์ชายเอ่ยเรี
“ข้าฝากเจ้าพวกเจ้าด้วย มิถึงสองชั่วยามข้าก็กลับมาแล้ว หากว่ามีสิ่งใดก็เรียกฟ่งหราน หรือไม่ก็ขอคุณชายสามลู่ช่วยได้” ในยามเว่ย (13:00 – 14.59 น.) หลิวหยางตั้งใจจะออกไปที่หนึ่งกับเยว่ชิงตามลำพัง ทั้งบรรดาน้องชายอยากออกมาสังสรรค์กันที่จวนอ๋องของเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ขอให้น้องชายมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองเดิมทีเฉินกงและเผิงจูคิดจะตามไปด้วย แต่เขาคิดว่าควรจะให้เฉินกงได้พักเสียบ้าง จึงให้คู่บ่าวสาวที่พึ่งจะตบแต่งกันไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เฉิงกงจึงพาเผิงจูออกไปอารามเพื่อขอบุตร“เสด็จพี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้ ข้าน่ะเลี้ยงเด็กมามาก เพียงแค่หลานสองคนจะยากสักเท่าใดกันเชียว” องค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาตบอกตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ“หึ เด็กที่เจ้าเลี้ยงมิใช่เด็กทารกนะเจ้าห้า” องค์ชายสี่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา เด็กที่น้องชายเขาว่าคงมิพ้นสาวงามในหอนางโลมเป็นแน่เหล่าองค์ชายต่างหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าองค์ชายสี่หมายถึงเรื่องใด เว้นก็แต่ผู้ที่ถูกว่าอย่างองค์ชายห้า“เอาเถิดๆ บุตรของข้าเลี้ยงง่าย มิทำให้พวกเจ้าหนักใจเป็นแน่ ถือเสียว่าออกมาพักผ่อนนอกวังเสียบ้าง” หลิวหยางว่าพลางก้มลงจุมพิตบุตร
กว่าเจ็ดเดือนที่หลิวหยางและเยว่ชิงแทบจะมิอยู่ห่างบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหยางที่ถึงขั้นหอบงานมาทำด้วยยามที่บุตรหลับ“บู้ๆ เอิ้ก แอ๊!” เสียงทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนกำลังนอนสนทนากันอยู่บนเตียงสองคนเบาๆ ทั้งจางหย่งและอ้ายฉิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย มีร้องไห้งอแงตามประสาเด็กบ้าง แต่เมื่อได้ดื่มนมจากอกมารดาก็หยุดงอแงทันใด เพราะเหตุนี้ทารกน้อยทั้งสองจึงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ ประกอบกับผิวที่ขาวราวหิมะ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาและข้ารับใช้ในจวนอ๋องต่างเอ็นดูท่านชาย ท่านหญิงเป็นที่สุด“หึๆ ฉิงเอ๋อร์กับอาหย่งพูดคุยเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้พ่อพูดคุยด้วยได้หรือไม่ หืม” หลิวหยางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มกลมของบุตรทั้งสองคนละทีให้หายคิดถึง เขาพึ่งจะกลับมาจากการประชุมในท้องพระโรงจึงได้ตรงกลับจวนทันที แต่ก็มิทันได้ทานมื้อเช้ากับชายาและบุตรอยู่ดี ร่างสูงจึงรีบทานอาหารและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้ามาหาเยว่ชิงและบุตรทั้งสอง“ท่านพี่” เยว่ชิงเมื่อเห็นว่าสวามีหอมแก้มบุตร จึงได้ยื่นแก้มของตนเองให้สวามีได้หอมบ้าง ตั้งแต่มีบุตร ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมิสนใจเยว่ชิงแล้ว เมื่อก่อนกลับมาจากการทำงานจะต้องมาหานางเป็นคนแรก แต่บัดนี้กลับมุ่ง
“โอ๊ยยย ฮื่อ! เหตุใดจึงเจ็บเช่นนี้ ฮึก ท่านแม่ช่วยเยว่ชิงที” เสียงกรีดร้องของเยว่ชิงทำให้ผู้เป็นสวามีนั่งไม่ติด ร่างสูงเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนรน เยว่ชิงมิใช่สตรีที่อ่อนแอ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องออกมา ย่อมตีความได้ว่านางกำลังลำบากอยู่เป็นแน่“ท่านอ๋องนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ มารดาของพระชายาเข้าไปอยู่ด้วยเช่นนี้ พระชายาย่อมอุ่นใจแล้ว” ลู่หวังเหล่ยและครอบครัวสกุลลู่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่กลับมีทหารองครักษ์ของฮ่องเต้มาแจ้งข่าวถึงหน้าเรือน พวกเขาจึงได้รีบกลับมาที่จวนอ๋องอีกครั้ง“ท่านพ่อตา เยว่ชิงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ใบหน้าคมของชินอ๋องแคว้นเฉิงซีดเผือด ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาขลาดกลัวมากขึ้น“พระชายาจะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอย่าได้วิตกไปหลิวหยาง สตรีคลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ รอไม่นานบุตรของเจ้าก็จะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเข้ามาโอบบ่าของโอรส บีบเคล้นบ่าแกร่งเบาๆ ให้หลิวหยางได้คลายกังวลลงบ้าง“อื้ออออ กรี๊ดดดดดด”อุแว้! อุแว้! อุแว้!“นั่นอย่างไร ได้ยินหรือไม่ ฮ่าๆ ข้าได้หลานชายหรือหลานสาว!” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงทร