“อันใดกันเยว่ชิง เหตุใดทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้อีกแล้ว” ซูเมิ่งใช้ปลายนิ้วนวดวนหัวคิ้ว หวังให้บุตรสาวคลายปมคิ้วออก หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเยว่ชิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ร้องไห้งอแงโดยมิมีเหตุผล จะร้องไห้เพียงตอนหิวหรือไม่ก็ถ่ายหนักถ่ายเบาเท่านั้น รู้ความเสียจนน่าประหลาดใจ ทั้งยังชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา จนนางสงสัยว่าเด็กน้อยวัยเพียงหนึ่งเดือนจะมีสิ่งใดให้คิดหนักถึงเพียงนั้น
“แอ๊ๆ เอิ้ก คิก!” เยว่ชิงที่เห็นว่ามารดาทำหน้าตากังวล นางจึงรีบคลายปมคิ้วแล้วหัวเราะร่าให้มารดาเห็น มือเล็กยกขึ้นตีไปมาบนอากาศ ซูเมิ่งเมื่อเห็นว่าลูกน้อยยิ้มหัวเราะได้ก็คลายความกังวลไป คงจะเป็นเพราะนางคิดมากไปเองกระมัง
เมื่อมารดากลับไปนั่งปักผ้าดังเดิม เยว่ชิงก็กลับมานอนระลึกถึงเรื่องราวแสนอาภัพของนางเอกในนิยายเรื่องชะตาร้ายอีกครั้ง ชีวิตอาภัพของลู่เยว่ชิงในนิยายจะเริ่มขึ้นตอนลู่เยว่ชิง…
ในวัย 4 หนาว เจ้ากระต่ายน้อยที่ลู่เยว่ชิงเลี้ยงเอาไว้ได้ถูกสุนัขจรจัดกัดจนตาย ลู่เยว่ชิงเสียใจจนร้องไห้และซึมไปหลายเดือน
ในวัย 7 หนาว ลู่ลี่อิน พี่สามของลู่เยว่ชิงได้ป่วยเป็นโรคที่ต้องใช้สมุนไพรราคาสูงในการรักษา แต่ด้วยท่านพ่อของนางเป็นขุนนางตงฉิน ไม่คิดคดโกง ทำให้เบี้ยหวัดที่ได้ไม่พอจะซื้อสมุนไพรที่ว่า แม้ท่านพ่อจะพยายามขอหยิบยืมเงินมาจากสหายจนครบและซื้อโอสถจากท่านหมอมาได้แล้ว แต่ทว่ากลับไม่ทันการ ลู่ลี่อินอาการทรุดหนักจนไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้สกุลลู่จิตใจบอบช้ำอย่างหนัก ทั้งครอบครัวยังติดหนี้สินไปทั่ว
ในวัย 12 หนาว ลู่เฉินกง พี่ใหญ่ของลู่เยว่ชิงที่ถูกเกณฑ์ไปช่วยสงครามก็พิการขากลับมา และสาเหตุก็หนีไม่พ้น อู๋จางหมิ่นพระเอกนิยายในเรื่องชะตาร้าย หึ!!! เป็นเพราะอู๋จางหมิ่นพลาดท่าให้กับศัตรู พี่ใหญ่ของนางเห็นเข้าจึงรีบไปช่วย แต่กลับถูกอู๋จางหมิ่นดึงไปรับคมดาบแทน จนพี่ใหญ่ของนางต้องเสียขาทั้งสองข้าง! พี่ใหญ่ทนทุกข์อยู่ได้ไม่นานก็ตัดสินใจปลิดชีพตนเอง
ในวัย 15 หนาว ลู่เยว่ชิงที่พึ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาได้เพียงแค่สิบวันกลับต้องมาสูญเสียบิดา เพราะเสนาบดีกรมคลัง อู๋หลี่เฉียง ใส่ร้ายว่าบิดาของนางลักขโมยของในพระคลังหลวง บิดาของนางจึงถูกลงทัณฑ์ให้โบยจนตาย พี่รองและบ่าวชายในเรือนถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในเหมืองแร่ ยังมิหมดเท่านั้น เสนาบดีอู๋ยังแสร้งทำทีสงสารครอบครัวสกุลลู่ ทูลขอต่อองค์ฮ่องเต้ว่าจะรับฮูหยินลู่เป็นอนุและรับลู่เยว่ชิงเป็นอนุของบุตรชายอย่างอู๋จางหมิ่น ในตอนนั้นสกุลลู่อับจนหนทาง สองแม่ลูกมิอาจปฏิเสธได้ จึงต้องย้ายเข้าไปอยู่ในสกุลอู๋ในฐานะอนุ
แต่ความอาภัพของลู่เยว่ชิงยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะสามีของนางมีทั้งฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และอนุอีกสอง หลังจากลู่เยว่ชิงถูกรับเข้ามาเป็นอนุ สามีของนางนั้นมิได้ใส่ใจดูแล จะมาพบเพียงตอนเมามายสุราเท่านั้น ถึงขนาดว่าลู่เยว่ชิงตั้งครรภ์และถูกบรรดาเมียของสามีกลั่นแกล้งจนตกเลือด สามีของนางก็ยังไม่มาดูดำดูดี จนกระทั่งนางตั้งครรภ์ที่สองและคลอดออกมาเป็นบุตรชาย สามีของนางถึงได้มาดูแล ยกย่อง แต่งตั้งขึ้นเป็นฮูหยินเอก เพราะที่ผ่านมาทั้งฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และอนุอีกสองคนของอู๋จางหมิ่นต่างให้กำเนิดบุตรสาวทั้งหมด
หลังจากนั้น…นิยายก็ตัดจบเพียงว่าอู๋จางหมิ่นและลู่เยว่ชิงใช้ชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุข ทั้งที่ในนิยายลู่เยว่ชิงยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าเสนาบดีอู๋เป็นผู้ที่ใส่ร้ายบิดาของนาง…
เหอะ! จะให้อดีตลูกสาวเจ้าพ่อคาสิโนมาทนใช้ชีวิตอาภัพแบบนั้น ไม่เอาด้วยแน่! อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตพวกนี้ให้ได้!
“ฮ่าๆ เยว่ชิงลูกพ่อ เจ้ามีเรื่องให้คิดหนักถึงขั้นยกมือก่ายหน้าผากเลยหรือ” ลู่หวังเหล่ยที่พึ่งกลับมาจากทำงาน ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วเสร็จจึงมาเล่นกับบุตรสาว ด้านเยว่ชิงตัวน้อยที่เห็นว่าท่านพ่อกลับมาแล้วก็อยากเอ่ยทักทาย
“อือๆ แอ๊” มือเล็กโบกไปมาในอากาศ ริมฝีปากน้อยๆ ฉีกยิ้มอวดเหงือกแดงของตนให้บิดาดู
“มาๆ พ่ออุ้มเจ้าดีหรือไม่ นอนทั้งวันคงจะเบื่อหน่ายแล้วกระมัง” ลู่หวังเหล่ยอุ้มบุตรสาวเข้าอก เดินไปมาอยู่ในเรือน
“ท่านพี่กลับมาเหนื่อยๆ ไม่ไปพักก่อนหรือเจ้าคะ”
“มิเป็นไร แล้วนี่ลูกๆ อยู่ที่ใดกัน ตั้งแต่พี่เข้ามายังมิเห็นแม้แต่คนเดียว” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามถึงบุตรชายทั้งสามของตน
“วิ่งเล่นกันจนมอมแมม ข้าจึงให้เฉินกงพาน้องๆ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนจะรับมื้อเย็นเจ้าค่ะ” เยว่ชิงที่ได้ยินท่านแม่พูดว่าพี่ชายไปวิ่งเล่นด้านนอกกันก็รู้สึกอิจฉา ร่างเล็กจ้อยดีดดิ้นไปมา
อีกกี่ปีนางถึงจะได้ออกไปวิ่งเล่นบ้าง ฮื่อออ~
“ประเดี๋ยวตกไปจะเจ็บเอาได้นะเยว่ชิง นางดื้อรั้นมากหรือไม่ ทำให้เจ้าเหนื่อยแล้วซูเมิ่งของพี่ บุตรถึงสี่คนคงวุ่นวายเจ้าน่าดู”
“คงจะมิเหนื่อยเท่าท่านพี่ ท่านยังถูกกลั่นแกล้งอยู่หรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งเดินเข้าไปกอดสามีไว้แน่น นางรู้ว่าสามีของนางมักถูกเสนาบดีอู๋กลั่นแกล้งอยู่เสมอ
“ก็ตามเคย พวกเขามิชอบใจที่พี่มิยอมโอนอ่อนผ่อนปรนในเรื่องการงาน”
“คงจะเป็นเพราะข้าด้วยใช่หรือไม่”
“อืม เสนาบดีอู๋คงจะรู้สึกเสียหน้าที่เจ้าเลือกแต่งกับขุนนางขั้นห้าอย่างพี่แทนที่จะไปเป็นอนุของเสนาบดีกรมคลังอย่างเขา แต่เจ้ามิต้องคิดมากไป พี่ทำงานด้วยความสัจจริง เขาจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็มิเป็นผล” เยว่ชิงที่ฟังความจากบิดาก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ยิ่งนางรับรู้มาก่อนว่าบิดาของนางจะถูกใส่ร้าย โดนโทษโบยจนตาย นางยิ่งโกรธเคืองคนผู้นั้น แต่นางตัวเล็กจ้อยเพียงเท่านี้จะทำอันใดได้ คงต้องรอให้นางโตขึ้นก่อนค่อยจัดการกับเสนานบดีอู๋
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ข้าหิวแล้วววว” เสียงเล็กของหมิงยู่ตะโกนดังลั่นไปทั่วเรือนจนผู้เป็นบิดาต้องเอ่ยปราม
“รู้แล้วๆ เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังนัก ประเดี๋ยวเสือร้ายก็ออกมากินตับเจ้าหรอก โฮรก~” ลู่หวังเหล่ยที่อุ้มบุตรสาวอยู่ทำท่าเป็นเสือวิ่งไล่บุตรชายไปทั่วห้อง
“กรี๊ดดดด พี่ใหญ่ น้องสาม ช่วยข้าด้วย~ เสือมันจะกัดข้าแล้ว”
จริงสิ! หากเลี้ยงกระต่ายแล้วถูกสุนัขกัดตาย ก็เลี้ยงอย่างอื่นที่สุนัขกัดไม่ได้สิ
เยว่ชิงที่จู่ๆ ก็คิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องสุนัขกัดสัตว์เลี้ยงของนางจนตายได้ก็ดีอกดีใจยกใหญ่ ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะเล่นกับพี่ชายทั้งสาม ครอบครัวนั่งล้อมวงทานข้าวกันอย่างมีความสุข แม้อาหารจะมิได้มากมาย แต่ก็อิ่มหนำสำราญกันอย่างถ้วนหน้า หลังจากที่ทานมื้อเย็นกันแล้ว ลู่หวังเหล่ยก็พาลูกๆ มานั่งรับลมที่ศาลาในสวนท้ายเรือน
“เยว่ชิงน้องพี่ หากโตขึ้นจะต้องงดงามที่สุดในแคว้นเป็นแน่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวพลางเอามือจิ้มแก้มนุ่มนิ่มนั้น เยว่ชิงได้ฟังก็ชมชอบคำเยินยอของพี่ชาย เด็กน้อยยิ้มร่า ดีดแขนขาไปมาราวกับต้องการบอกพี่ชายว่า…
เอาอีกๆ ชมข้าอีก ชมข้าให้มากๆ
“น้องพึ่งจะได้หนึ่งเดือน นางอาจจะโตมาน่าเกลียดก็ได้นะ” หมิงยู่ยื่นหน้าเข้าไปมองหน้าตาของเยว่ชิงชัดๆ โตขึ้นคงมิได้งดงามถึงเพียงนั้นกระมัง
เจ้าพี่บ้า ปากเสียจริง!
ป๊าบ! เท้าเล็กฟาดเข้าแก้มของหมิงยู่อย่างจัง
“โอ๊ยยย! ท่านแม่ เยว่ชิงทำร้ายข้า ฮื่ออออ” หมิงยู่ทำท่าโอดครวญเสียใหญ่โตจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“คิกๆ ตี ตี” ไม่เว้นแม้แต่ลี่อิน เด็กน้อยวัยสามหนาว ก็ดูเหมือนจะชอบอกชอบใจที่พี่รองของเขาถูกน้องสาวกลั่นแกล้ง
“โถ่ มิมีผู้ใดอยู่ข้างข้าเลย ฮึ ข้าโกรธพวกท่านแล้ว วันพรุ่งต้องซื้อถังหูลู่มาให้ข้าสองไม้ถึงจะหาย” หมิงยู่ยกนิ้วมือป้อมๆ ขึ้นมาสองนิ้วให้บิดารับรู้ว่าเขาต้องการ สองไม้ เท่านั้น!!!
เยว่ชิงที่เห็นนิสัยและท่าทีของพี่รองแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าวันข้างหน้าผู้ใดพร้อมที่จะแหกกฎกับนาง ถึงจะปากเสียไปบ้างแต่ก็พอรับได้ ปากเล็กของเยว่ชิงอ้าปากหาว ตากลมที่มองภาพความสุขตรงหน้าเริ่มปรือลงเรื่อยๆ
หาว~ หวังว่านางจะโตวันโตคืน ใช้ชีวิตกินๆ นอนๆ เช่นนี้มันน่าเบื่อเกินไปแล้ว…
“คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว“แหะๆ”“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อ
“นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่
“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่
“ท่านพ่อ เยว่ชิงว่าเรารับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานที่ร้านดีหรือไม่เจ้าคะ”“นั่นสิขอรับ ท่านพ่อจะปล่อยเขาไว้เช่นนี้หรือ” ลี่อินเอ่ยสำทับขึ้นมา เขาสงสารเผิงจง มีทั้งมารดาและน้องสาวให้เลี้ยงดู บิดาขของเขาก็หายตัวไป คงจะลำบากไม่น้อย“ท่านพี่…” ซูเมิ่งขยับเข้ามาลูบแขนของสามีเบาๆ นางเองก็สงสารเผิงจงไม่น้อย จึงอยากให้สามีรับครอบครัวของเผิงจงมาทำงานในร้านซิ่งฟู่“เข้าใจแล้ว…เผิงจง เจ้าอยากมาทำงานที่ร้านนี้หรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเลือกที่จะถามความสมัครใจของเจ้าตัวก่อน“ขะ ขอรับนายท่าน เมตตาข้าน้อยและครอบครัวด้วยขอรับ” เผิงจงรีบตอบรับทันที ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาให้“เช่นนั้นก็พาพวกข้าไปรับมารดากับน้องสาวเจ้าไปที่สกุลลู่ก่อน แล้วข้าจะให้คนตามหมอมาดูอาการของมารดาเจ้า”“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน คุณชาย คุณหนู” เผิงจงรีบก้มเคารพทุกคนที่ช่วยเหลือเขาจากนั้นเผิงจงก็รีบนำเจ้านายคนใหม่ของตนไปพบมารดาและน้องสาวที่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงเผิงจงก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาและน้องสาวฟัง ทั้งเผิงฮวาที่เป็นมารดาและเผิงจูเด็กหญิงตัวน้อย ต่างก็ซาบซึ้งต่อความเมตตาของสกุลลู่ หลังจากที่ทั้
“หยุดนะ ทุบตีเด็กเช่นนี้ได้อย่างไร อยากถูกจับส่งทางการหรือ” หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม เห็นผู้คนกำลังเดือดร้อน จะให้นิ่งเฉยคงมิใช่บุตรสกุลลู่แล้ว“พวกเจ้าไม่เกี่ยว หลีกไป เด็กคนนี้มันขโมยเงินข้า ข้าจะให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง” ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะแต่งกายดูดี แต่กลับมีสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเด็กหนุ่มที่ดูมีแววตาที่แน่วแน่และซื่อตรง“ข้ามิได้ขโมย เงินนี่เป็นค่าแรงที่ข้ามาช่วยท่านขนของเข้าร้าน แต่พอข้าทำงานเสร็จ ท่านกลับมิยอมให้ข้า” เด็กหนุ่มเถียงคอเป็นเอ็น น้ำสีใสร่วงหล่นออกมาจากตาเป็นสาย เยว่ชิงเห็นท่าทีมิยอมอ่อนของชายผู้นั้นนางจึงได้รีบตัดปัญหา“เพียงแค่คืนเงินให้ ท่านก็จะไม่ทำร้ายเขาใช่หรือไม่”“ใช่”“นี่ ข้าไม่คืนนะ! เงินนี้สำคัญกับข้ามาก” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาเสียงแข็ง“เท่าใด เงินที่เจ้าถืออยู่นั้นมีเท่าใด” เยว่ชิงเอ่ยถาม“ห้าสิบอีแปะ”“เช่นนั้นเงินห้าสิบอีแปะนี่ข้าจะคืนให้ท่าน แต่…ข้าขอตีท่านคืนได้หรือไม่ ท่านจะได้รับรู้ว่าผู้ที่ถูกตีเขาเจ็บเพียงใด” เยว่ชิงยื่นเงินห้าสิบอีแปะให้ชายผู้นั้น ซึ่งเขาก็รับไปอย่างรวดเร็ว“หากเป็นเจ้าที่ตี ข้าจะให้เจ้าตีข้าสักสิ
“แฮ่กๆ แฮ” เสียงหอบหายใจของเยว่ชิงดังขึ้นหลังจากที่นางใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการฝึกดาบไม้ที่พี่ชายซื้อให้ เด็กน้อยวัยห้าหนาวย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องซื้อดาบทีไร นางก็เจ็บใจทุกครั้ง แม้จะผ่านมาหนึ่งหนาวแล้วก็ตาม เพราะบรรดาพี่ชายทั้งสามคนต่างค้านหัวชนฝา มิยอมให้นางซื้อดาบของจริง ทั้งยังขู่ว่าหากมิเอาดาบไม้ก็จะมิยอมซื้อสิ่งใดให้เลย เยว่ชิงจึงจำใจเลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงทนทาน และเลือกซื้อตำราฝึกซ้อมดาบมาอีกหนึ่งเล่ม เพื่อมิให้ครอบครัวสงสัยว่านางเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มาจากที่ใด“มูมู่ ตาเจ้าแล้ว” เยว่ชิงตะโกนเรียกมูมู่พร้อมกับโยนลูกหนังลูกเล็กออกไป มูมู่จึงรีบวิ่งไปกระโดดงับลูกหนังได้ในทันที ยิ่งวันเวลาผ่านไปมูมู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสือหนุ่มที่มีอายุสองหนาวย่างเข้าสามหนาว“ดีมาก รอบนี้มูมู่ทำได้เร็วกว่าคราก่อน เด็กดีๆ” เยว่ชิงกับมูมู่มักจะมาเล่นด้วยกันเช่นนี้เสมอ หลังจากที่เยว่ชิงฝึกดาบเสร็จหนึ่งรอบมูมู่ก็จะได้ฝึกวิ่งฝึกกระโดดด้วยเช่นกัน ทั้งเยว่ชิงยังเคยใช้มูมู่เป็นคู่ต่อสู้ในการฝึกดาบอีกด้วย แม้มูมู่จะทำได้เพียงเบี่ยงตัวหลบไปมาก็เถอะนะ“คุณหนูเจ้าคะ จะได้เวลามื้อเช้