LOGINหลังจากที่นันทวัฒน์และนลินีได้พูดคุยและเข้าใจกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเอมอร ทั้งสองก็ตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยให้อดีตมาทำลายความสุขในปัจจุบันและอนาคตของครอบครัว พวกเขามุ่งมั่นที่จะสร้างชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความรักและความมั่นคงสำหรับตัวเองและลูกน้อยวันต่อมานันทวัฒน์ตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกที่สดใสและมั่นใจมากขึ้น เขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในวันนี้ไม่เพียงเพื่อเขาเอง แต่เพื่อครอบครัวที่เขารัก เขาตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับงานและครอบครัวไปพร้อมกัน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงหลังจากที่เขาใช้เวลาทำงานในบริษัทเสร็จสิ้นในช่วงเช้า วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์เขาเลยตัดสินใจที่จะพานลินีและลูกไปพักผ่อนที่ทะเลใกล้ๆ กรุงเทพ เพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อนและใช้เวลาในช่วงวันหยุดร่วมกัน“ลิน วันนี้เราพาลูกไปทะเลกันดีไหม พี่ดูที่พักไว้แล้ว” นันทวัฒน์ถามขณะที่เขาช่วยนลินีเตรียมของใช้สำหรับลูกน้อยนลินียิ้มอย่างอ่อนโยนและพยักหน้า “ก็ดีนะคะพี่วัฒน์ เรายังไม่เคยพาน้องเวย์ไปทะเลเลย ลินก็อยากให้ลูกได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง เราไปกันตอนนี้เลยเหรอคะ”“ใช่ครับ กว่าจะไปถึงน่าจะเย็นๆ พักผ่อนกลางคืน เช้ามาจะได้สูดอากาศสดชื่
หลังจากเลิกงาน นันทวัฒน์ตัดสินใจที่จะพานลินีและลูกน้อยออกไปเปลี่ยนบรรยากาศที่ห้างสรรพสินค้า เขารู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันนอกบ้านและพาครอบครัวไปสัมผัสกับบรรยากาศใหม่ ๆ บ้างเพราะกลัวว่านลินีจะเบื่อที่ต้องอยู่แต่ที่บ้านและที่ทำงานของเขา “ลินครับ” นันทวัฒน์พูดขณะที่เขาอุ้มลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขน “วันนี้เราไปเดินห้างกันไหม พี่อยากให้ลินได้ผ่อนคลายบ้าง แล้วเราจะได้ไปหาซื้อของเล่นหรือเสื้อผ้าใหม่ ๆ ให้ลูกด้วย” นลินียิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอจัดเตรียมข้าวของสำหรับลูก “ดีเหมือนกันค่ะพี่วัฒน์ ลินเองก็อยากจะออกไปเดินเล่นบ้าง อีกอย่างพี่วัฒน์ก็ดูตื่นเต้นที่จะพาลูกไปเปิดหูเปิดตาด้วยใช่ไหมคะ” นันทวัฒน์หัวเราะเบา ๆ “แน่นอนครับ พี่อยากให้น้องเวย์ได้เห็นโลกกว้าง และพี่ก็อยากให้ลินได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย” เมื่อทั้งสามคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าใหญ่ชื่อดัง เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า นันทวัฒน์พานลินีและลูกน้อยเดินสำรวจร้านค้าและแผนกต่าง ๆ ด้วยความสนุกสนาน เขาดูแลนลินีและลูกอย่างใกล้ชิด พาลูกน้อยเดินชมของเล่นที่มีสีสันสดใสและเสียงดนตรีเบา ๆ ซึ่ง
หลังจากที่นลินีและนันทวัฒน์ได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันจนตกลงใจที่จะกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทย ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง ทั้งคู่รู้สึกตื่นเต้นที่จะกลับไปบ้านเกิดพร้อมกับลูกน้อย พวกเขาได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่และพร้อมที่จะเผชิญกับอนาคตที่สดใส ตอนนี้พ่อกับแม่ของนลินีกลับเมืองไทยก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่เครื่องบินแลนดิ้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ นลินีมองออกไปยังท้องฟ้าและรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ แม้ว่าจะเป็นการกลับมาหลังจากช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่การที่เธอได้กลับมาพร้อมกับสามีที่เธอรักและลูกน้อยที่เป็นโซ่ทองคล้องใจทำให้ทุกอย่างดูสดใสไปหมดสำหรับเธอ เมื่อพวกเขาเดินออกจากสนามบิน คุณหญิงวิไลและกับคุณนิรันดร์ก็มารอรับด้วยรอยยิ้มและความยินดี ทั้งสองคนรีบเข้ามากอดลูกชายและลูกสะใภ้ พร้อมกับรับหลานน้อยไปอุ้มด้วยความรักและความเอ็นดู “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูก” คุณหญิงวิไลพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ขณะที่เธอกอดนลินีแน่น “แม่ดีใจที่เห็นหนูกลับมา เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครอบครัวอีกครั้ง” คุณนิรันดร์ยิ้มและพยักหน้า “พ่อเองก็ดีใจมากที่เห็นพวกเธอกลับมา วัฒน์กับหนูลิน ทั้งสองคนเข้ม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากนันทวัฒน์ฟื้นฟูร่างกายและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ครอบครัวของเขาและนลินีได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของสมาชิกใหม่ที่จะเติมเต็มครอบครัวนี้อย่างสมบูรณ์ วันนี้ขณะที่นลินีและนันทวัฒน์กำลังนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน นลินีรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เธอรู้สึกเจ็บที่ท้องเป็นระยะ ๆ ซึ่งต่างจากอาการเจ็บปวดธรรมดาที่เธอเคยเจอมาก่อน ครั้งนี้มันรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เธอพยายามที่จะสงบสติและไม่ทำให้นันทวัฒน์เป็นกังวล แต่ความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “พี่วัฒน์ ลินคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” นลินีพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ขณะที่มือของเธอกุมท้องแน่น นันทวัฒน์รีบลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกัน “ลิน ลินเจ็บท้องแล้วใช่ไหม เราต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” เขารีบไปหยิบกระเป๋าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็นสำหรับการไปคลอด นลินีพยายามลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดทำให้เธอรู้สึกไม่มีแรงก้าวเดิน นันทวัฒน์จึงเข้ามาพยุงเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงนะลิน พี่อยู่ตรงนี้ เราจะไปโรงพยาบาลทันที” นันทวัฒน์พูดพร้อมกับพยายามให้กำลังใ
เวลาผ่านไปหลายวัน ในขณะที่ครอบครัวของนันทวัฒน์เฝ้าดูแลและรอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็มีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ทุกคนรอคอย นันทวัฒน์เริ่มแสดงการตอบสนองเล็กน้อย เช่น การขยับนิ้วมือหรือกะพริบตาเบา ๆ ทุกครั้งที่เห็นการตอบสนองนี้ ความหวังในใจของนลินีและครอบครัวก็ท่วมท้นขึ้นอีกครั้ง ในวันหนึ่ง ขณะที่นลินีนั่งอยู่ข้างเตียงของนันทวัฒน์เหมือนที่เธอทำทุกวัน เธอสังเกตเห็นว่ามือของเขาขยับเล็กน้อย เธอรีบกุมมือเขาไว้แน่นและพูดด้วยความตื่นเต้นและความหวัง “พี่วัฒน์ พี่ได้ยินลินไหม ถ้าพี่ได้ยิน ลองขยับนิ้วอีกครั้งนะคะ” นลินีพูดเบา ๆ แต่น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น ทันใดนั้นเองนลินีรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอเต้นรัว เมื่อนันทวัฒน์ก็ค่อย ๆ ขยับนิ้วมือของเขาเล็กน้อย เธอรีบลุกขึ้นและเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการของเขา พยาบาลที่เข้ามาตรวจดูอาการของนันทวัฒน์ยิ้มเล็ก ๆ และพยักหน้าให้กับนลินี “ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มฟื้นตัวแล้วนะคะ นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากๆ เลยค่ะ” นลินีรู้สึกโล่งใจและตื้นตันใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอมองดูนันทวัฒน์ที่เริ่มมีการตอบสนองมากขึ้นและรู้สึกถึงความหวังที่เริ่มกลับมา เธอรู
หลังจากที่ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาเนื้องอกในสมอง นันทวัฒน์เตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการรักษาที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เขารู้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง แต่เพื่ออนาคตของครอบครัวและความหวังที่จะได้อยู่เคียงข้างนลินีและลูก เขาจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน วันผ่าตัดมาถึง นลินี คุณหญิงวิไล และคุณนิรันดร์ รวมทั้งพ่อกับแม่ของนลินีมารวมตัวกันที่โรงพยาบาลเพื่อรออยู่ที่ห้องพักญาติ ความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัวทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความตึงเครียดและความกังวล นลินีจับมือของคุณหญิงวิไลไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ขณะที่นิรันดร์นั่งนิ่งอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของเขาแสดงถึงความหนักใจและกังวลใจ เมื่อถึงเวลาที่นันทวัฒน์ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด นลินีมองดูเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดลง น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้เริ่มไหลออกมาอย่างช้า ๆ ความกลัวที่อยู่ลึก ๆ ในใจทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น แต่เธอก็พยายามคุมสติและหวังว่าเขาจะผ่านการผ่าตัดครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย การผ่าตัดกินเวลาหลายชั่วโมง นลินีและครอบครัวรอคอยอย่างจดจ่อ ทุกนาทีที่ผ่านไปทำให้ความกังวลทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้







