ณพิชชาเปิดบทสนทนากับผู้ช่วยแม่บ้าน
“พี่แค่มีหน้าที่ซักทำความสะอาดแล้วเอามาเก็บค่ะ ปกติพี่ชัยต้นห้องคุณพีทมาจัดให้ค่ะ”
‘โฮ๊ยเสื้อผ้าหลายพันชิ้นเรียงรายทำเอาเวียนหัว นี่ปี ๆ หนึ่งเค้าใส่ครบทุกตัวรึเปล่านี่’
พร้อมกับนึกไปถึงตู้เสื้อผ้าของตนที่มีเสื้อผ้าไม่ถึงสามสิบชุดอย่างนึกขำ ณพิชชาเดินมองไปตามตู้เสื้อผ้าที่เรียงรายสุดลูกหูลูกตานี่
‘สองอาทิตย์จะจัดเสร็จไหมเนี่ย คนรวยก็รวยซะจริง ๆ’ หญิงสาวคิดอย่างอ่อนใจ
“เราเริ่มจากซ้ายไปขวาดีกว่านะคะพี่แจ่ม แพมว่าจัดจากชุดทำงานก่อนดีกว่านะคะ เพราะใช้บ่อย” หญิงสาวมองปราดเดียวก็เริ่มจัด เริ่มจากสีอ่อนไปเข้ม จัดสูทต่างๆ มารวมไว้ด้วยกัน
‘โฮ๊ยปี ๆ หนึ่งเค้าหมดค่าเสื้อผ้ากี่แสนเนี่ย ละลานตาไปหมด เหมือนเดินอยู่ชั้นเสื้อผ้าสุภาพบุรุษทั้งชั้น ขนาดพี่แจ่มอาสาไปตามเด็กสาวด้านล่างมาช่วยกันอีกสองคน เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังจัดไปได้แค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ นี่ขนาดสี่คนนะเนี่ย สังเกตได้ว่า เค้าจะชอบ สีฟ้าอ่อน กับ สีขาวเป็นพิเศษเพราะกว่าครึ่งจะมีไม่โทนขาวก็ฟ้า’
จนเวลาผ่านไปอีกสักพักณพิชชาเมื่อยมือจนต้องสะบัดไปมา
‘ อีตาบ้า เสื้อผ้าอะไรกันนักหนาเนี่ยเยอะแยะไปหมด ใส่ชาติหนึ่งจะหมดไหมเนี่ย’ หญิงสาวจัดไปก็แอบบ่นในใจไม่ได้
ทางฟากพีทษรุทที่เอางานกลับมาทำที่บ้าน ได้เดินตามหาณพิชชาที่ทำเอาชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเท่าที่ควร เพราะมีแต่หน้าตาหญิงสาวลอยไปมาอยู่ตรงหน้า
“ ป้าจ๋า คุณแพมอยู่ไหนจ๊ะ” ชายหนุ่มร้องถามแม่นมด้วยน้ำเสียงประจบ
“ หายไปกับพวกสาว ๆ ตั้งแต่เย็นแล้วค่ะ คุณพีทต้องการอะไรคะ”
หญิงชราเอ่ยถามปนขำด้วยนึกเอ็นดูนายน้อยที่แทบจะไม่ให้หญิงสาวคลาดสายตา ตั้งแต่หญิงสาวย้ายมาอยู่บ้านอาณาวรรต พร้อมนึกใจหายถ้าหญิงสาวย้ายกลับไปอยู่บ้านของเธอ นายน้อยของแม่ม้ายจะเป็นเช่นไรหนอ
“ คุณพีทหิวหรือยัง คะ อาหารเสร็จหมดแล้วนะค้า วันนี้ป้าไม่เห็นคุณพีทออกมาจากห้องทำงานเลยไม่กล้ากวน นี่สามทุ่มแล้วหิวไหมคะทูนหัวของป้า”
หญิงชราเอ๋ยถามด้วยความห่วงใย
“ ทานเลยก็ดีจ๊ะ แม่ม้ายช่วยให้เด็กไปตามคุณแพมลงมาทานข้าวพร้อมพีทดีกว่า เดี๋ยววจะดึกเกินไป” ชายหนุ่มเอ๋ยสำทับพร้อมกับก้าวเดินไปห้องอาหารด้วยความเคยชิน
“ คุณแพมขา คุณพีทให้เชิญลงไปทานอาหารค่ะ” เด็กสาวสมสมัยกล่าวเชิญเลขาของนายน้อยด้วยความเคารพ
“ ขออีกห้านาที เดี๋ยวฉันตามลงไปจ้า” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเร่งมืออยากให้เสร็จ สักสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเสื้อผ้าทั้งหมด ท้องหญิงสาวก็ร้องขึ้น หญิงสาวยกนาฬิกาขึ้นดู
‘ โห สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย’ พร้อมนึกขำ เค้าคงทำงานเพลินจนเลยเวลาส่วนตัวเองก็ลืมเวลาเหมือนกัน
ณพิชชาก้าวเดิน มานั่งตรงข้ามพีทษรุทพร้อมต่อว่า
“ นี่คุณจะมีเสื้อผ้าเยอะไปไหนเนี่ย ปี ๆ หนึ่งคุณใส่ครบหมดทุกตัวหรือเปล่าเนี่ย”
“ ไม่รู้สิ ส่วนใหญ่ผมก็ให้เค้าส่งมาให้ ไม่ได้ไปเดินซื้อเองหรอก”
เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวดังขึ้น หญิงสาวกดรับทันที
“ ว่าไง ยายเหมย อ๋อไม่ลืม วันศุกร์นี้ใช่ไหมโอเคที่เดิมไม่ลืมหรอกจดไว้แล้ว”
ปากหญิงสาวก็เคี้ยวอาหาร ส่วนหูก็ฟังเพื่อนสาวไปพลาง ๆจนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับเสียงมีอำนาจห้วนสั้นอีกเช่นเคย
“ คุณบอกให้เพื่อนคุณโทรมาหลังทานข้าว ผมไม่ชอบฟังใครคุยโทรศัพท์ในเวลาที่เราทานข้าว มันทำลายบรรยากาศ”
ณพิชชารีบปิดลำโพงแทบไม่ทัน พร้อมกับพูดเสียงเบา ๆ กับเพื่อนว่า
“ เดี๋ยวเราโทรกลับนะเหมย เจ้านายด่าว่ะ” หญิงสาวเบ้ปากพร้อมกดปิดโทรศัพท์ ประสานสายตาขึ้นมองเจ้านายหนุ่มเขม็งอย่างหาได้กลัวเกรงไม่
“ เจ้านายคะ พูดเบา ๆ ก็ได้ ฉันอายนะเนี่ย โดนด่าต่อหน้าเพื่อนเลย”
“ ผู้ใหญ่ของคุณไม่สอนหรือไง เวลาทานข้าวไม่ให้คุยโทรศัพท์โดยเฉพาะคุณเป็นผู้หญิง ไม่น่าดูเลยน่าเกลียด”
หญิงสาวเม้มปากพร้อมกับวางช้อนส้อมไว้ตรงกลาง รู้สึกอิ่มขึ้นมาโดยอัตโนมัติทั้งที่ทานข้าวได้ไม่ถึงสิบคำ
‘อีตาบ้ายักษ์วัดแจ้งนี่เค้าเป็นโรคประสาทหรือเปล่า วัน ๆ ถ้าไม่ด่าฉันคงทานข้าวไม่อร่อย’
ณพิชชาลุกขึ้นยืนเตรียมจะก้าวออกจากห้องอาหารออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ ผมยังไม่อิ่ม นั่งลงคุณจะลุกออกจากที่นั่งได้ก็ต่อเมื่อผมอิ่มแล้วเท่านั้นเข้าใจไหม”
หญิงสาวกระแทกก้นลงนั่งที่เดิม กอดอก หน้างอ นัยน์ตาขวางอย่างคนที่มีอารมณ์พอสมควร”
‘ อีตาบ้า วันๆ เอาแต่วางอำนาจ เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับบ้านฉันสักที อึดอัดจังโว้ย’หญิงสาวคิดอย่างคับแค้นใจ
ณพิชชานั่งกอดอกริมฝีปากเม้มแน่นตลอดเวลาที่พีทษรุทรับประทานอาหารเหมือนอร่อยมากซะเต็มประดา หญิงสาวมองใบหน้าชายหนุ่มด้วยความหมั่นไส้ พอชายหนุ่มอิ่มก็ลอบถอนหายใจพร้อม หลบฉากออกไปด้วยความโกรธและหมั่นไส้ชายหนุ่ม
“ ผมจะคอยที่ห้องทีวี เดี๋ยวตามขึ้นไปด้วยนะ” กำชับอีก ณพิชชาเดินเลี่ยงไปโทรหาเพื่อนสาวเพื่อนัดแนะเจอกันพรุ่งนี้ วันศุกร์ยิ่งคิดยิ่งเบิกบานเหมือนถูกปลดปล่อยพรุ่งนี้วันศุกร์เธอจะได้กลับไปนอนบ้านสวนกับแม่กาบกับยายกรวย ตอนค่ำมีนัดทานข้าวกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มตั้งแต่มัธยมจนจบมหาวิทยาลัย จนกระทั่งทำงานสมาชิกในกลุ่มเธอจะนัดเจอกัน ในวันศุกร์สุดท้ายของเดือน เพราะจะเล่าสารทุกข์สุขดิบตามประสา อยู่กันโต้รุ่งไม่เช้าไม่กลับเป็นแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมปลาย จนกระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัยอีกสี่ปี ชายห้าหญิงหก แต่ละคนมีหน้าทีการทำงานต่าง ๆ กันออกไป บางคนก็มีครอบครัวไปแล้ว แต่เป็นที่รู้กันในครอบครัวที่เดือนละครั้งเพื่อนกลุ่มเธอจะนัดพบเพื่อสังสรรค์กัน ว่าแล้วหญิงสาวก็กดโทรศัพท์นัดเหมยให้ไปรับหน้าปากซอยเหมือนเดิม
ณพิชชาก้าวเข้าไปห้องทีวี นั่งลงพร้อมกับนึกวาดฝันกิจกรรมสนุก ๆของเธอ และเพื่อน ๆ ด้วยจิตใจเหมอลอยแล้วเผลอหลับไปตอนไหนไม่มีใครรู้ พีทษรุทหันมาเจอ ส่ายศีรษะให้กับสาวขี้เซา พีทษรุทต้องอุ้มหญิงที่ตนเองหลงรักไปส่งที่ห้องเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันพร้อมกับเดินเข้าห้องตัวเองไปเงียบ ๆ
หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่เบิกบานเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเล็กพร้อมกับผิวปากด้วยเพลงโปรดยอดฮิต แล้ววิ่งซอยเท้าลงมาด้วยความเคยชินแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพลันสบสายตาดุดันของ ‘เจ้าชายเย็นชา’ สมญานามที่สาวๆในบริษัทใช้เรียกเจ้านายหนุ่ม
“ไม่มีใครสอนคุณหรือไงว่าไม่ให้วิ่งลงบันได รดหัวผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน แล้วยังผิวปากอีก มันดูไม่น่ารักเลย”
‘ อีตาบ้านี้ถ้าไม่ด่าเราสักวัน คงถ่ายไม่ออกแน่ ๆ หาเรื่องมาด่าฉันได้ทุกวัน’
ในใจพ่นด่าแต่กลับพูดตอบไปว่า “ ขอโทษค่ะ พร้อมยกมือไหว้ป้าชม้าย ลุงแช่ม พี่แจ่มที่ยืนเรียงรายเหมือนรอรับคำสั่งเจ้านายหนุ่ม
“แล้วนั่นกระเป๋าอะไร” พีทษรุทถามพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กระเป๋าเดินทางของณพิชชา
“ กระเป๋าเสื้อผ้า ฉันจะเอาไปซักที่บ้าน วันนี้คุณอนุญาตให้ฉันกลับบ้านไงจำไม่ได้แล้วเหรอ วันนี้วันศุกร์ไงฉันเลิกงานเสร็จจะเลยกลับบ้านเลย”
“ทำไมต้องเอาไปซักที่บ้าน เด็กๆที่นี่ตั้งหลายคนให้เค้าเอาไปซักสิ”
พีทษรุทมีน้ำเสียงหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เจอณพิชชาอีกสองคืน
“ ฉันไม่อยากรบกวน แล้วฉันก็ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ฉันซักเสื้อผ้าเองมาตั้งแต่มัธยมแล้วไม่ชินให้ใครมาซักให้ อีกอย่างฉันมันแค่คนอาศัยอย่ารบกวนใครเลย แต่ละคนก็งานล้นมือกันแล้ว” ว่าแล้วหญิงสาวก็ก้าวนำหน้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปวางหลังรถ
จนกระทั่งจวบเย็นเวลาเลิกงาน ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มก้าวออกมา ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม