สุขภาพร่างกายของคนเป็นแม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีมาก ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องก้าวขึ้นไปนอนราบบนเตียง เพื่อเตรียมตัวอัลตราซาวด์ดูขนาดและพัฒนาการต่างๆ ของทารกน้อย เธอก็ตื่นเต้นจนมือไม้เย็นเฉียบ
“ขนาดของน้องเป็นไปตามมาตรฐานเลยนะคะคุณแม่ ไม่พบอะไรที่ผิดปกติค่ะ แต่เสียดายจัง น้องคงขี้อายน่าดู นอนหนีบขาไม่ยอมให้หมอเห็นเลยว่าเป็นสาวน้อยหรือว่าหนุ่มน้อย สงสัยคุณแม่คงต้องรอลุ้นอีกทีเดือนหน้าแล้วละค่ะ”
คุณหมอเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ทำเอาคนที่นอนลุ้นจนตัวเกร็งถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย เธออยากได้ลูกสาวมากกว่า แต่หากเป็นลูกชายก็ดีใจไม่น้อยเช่นกัน
“เอาไว้เดือนหน้าค่อยลุ้นใหม่อีกทีก็ได้ค่ะ คุณหมอ”
“ค่ะ ยังไงก็อย่าลืมรับประทานยาบำรุงครรภ์ตามที่หมอสั่งให้ครบนะคะ คุณแม่ภาวะเลือดจางเล็กน้อย ต้องหมั่นรับประทานยาบำรุงเลือดให้ครบด้วยค่ะ”
สูติแพทย์ย้ำซ้ำอีกรอบ ในตอนที่เช็ดเจลเย็นออกจากหน้าท้องที่เริ่มนูนเด่นของวาสิตาจนหมด จากนั้นก็ให้พยาบาลช่วยประคองคุณแม่ก้าวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง
วาสิตาออกมานั่งรอรับยาอยู่ตรงแผนกชำระเงินและจ่ายยา มือบางลูบอยู่บนหน้าท้องเบาๆ แรกทีเดียวก็ทุกข์หนักเมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง แต่พอวันเวลาผ่านไป เธอกลับสุขเกินจะเอ่ยที่มีเจ้าตัวเล็กเติบโตอยู่ในร่างกาย เปรียบดั่งตัวแทนความรักที่มีต่อผู้ชายคนนั้น...
วาสิตายิ้มกับตัวเอง สายตาเลื่อนมองไปทางด้านข้างแล้วก็พลันหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ หญิงสาวตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก รู้เพียงอย่างเดียวว่าจะต้องหนีหน้าเขาให้เร็วที่สุด กว่าจะทำใจได้เธอต้องใช้เวลาอยู่นาน เธอจึงไม่อยากพบหน้าหรือพูดคุยกับเขาอีก
“คุณวาสิตา วรีวงศ์ เชิญชำระเงินได้ที่ช่องหมายเลขสองค่ะ”
เสียงเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกทำให้วาสิตาเม้มปากแน่น ไม่อาจหลีกหนีไปไหนได้ นอกจากรีบเดินเร็วๆ ไปชำระเงิน ทำให้อิชย์ที่ไม่ได้สังเกตเห็นในทีแรก ชะงักฝีเท้าแล้วกวาดสายตามองหาทันที
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ผายมือแจ้งให้เธอนั่งรอรับยาต่อในลำดับต่อไป วาสิตาคิดว่าอย่างน้อยการหนีเข้าไปหลบในห้องน้ำก่อนชั่วคราวคงจะดีกว่านั่งเป็นเป้านิ่ง เธอจึงกระชับสายกระเป๋าคาดไว้บนไหล่ กำลังจะเดินหันหลังจากไป
“วาสิตา!”
เสียงห้าวทุ้มคุ้นหูเรียกชื่อเธอไว้เสียก่อน ทำให้ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป กระนั้นก็ยังไม่ยอมหันกลับไปมองเขา เธอสูดลมหายใจลึกเรียกสติ รีบจ้ำอ้าวหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะรีบร้อนแค่ไหนก็ยังช้ากว่ามือหนาที่ตามมากระชากแขนไว้อยู่ดี
“เดี๋ยว!”
อิชย์ไม่ได้ออกแรงดึงมากนัก แต่ร่างที่ดูอวบขึ้นอย่างผิดหูผิดตากลับเซมาปะทะกับอกเขาอย่างแรง หากเป็นเวลาอื่น เขาคงเหยียดยิ้มและคิดว่าเธอมารยา ทว่าการพบกันในโรงพยาบาลในสภาพที่ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดอย่างนี้ ทำให้เขาไม่อยากคิดกับเธอในแง่ร้ายนัก
“ปล่อยนะคะ!”
วาสิตาพยายามขืนตัวออกห่าง แต่การลุกเดินและเคลื่อนไหวเร็วเกินไปทำให้เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืด เสียหลักถลาเข้าไปอิงซบใบหน้าอยู่กับอกกว้างอีกรอบ มือจิกเกาะอยู่กับท่อนแขนเขาแน่นเพื่อยึดตัวเองไว้ไม่ให้ล้มลง
นั่นทำให้อิชย์ต้องโอบแขนไปประคองรอบเอวเธออย่างเสียไม่ได้ ฝ่ามือของเขาทาบอยู่บนหน้าท้องพอดิบพอดี หัวใจของวาสิตากระตุกวาบ เมื่อสัมผัสจากพ่อของลูกสร้างความอบอุ่นได้อย่างน่าตกใจ!
“เธอป่วยจนหน้าซีดแบบนี้ น่าจะให้ใครสักคนมาเป็นเพื่อนนะ”
“วา...วาไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” เธอกะพริบตาถี่ๆ เมื่อเริ่มยืนเองได้อย่างมั่นคงอีกครั้งก็รีบดันตัวเองออกห่างเขาทันที
อิชย์ไม่ได้รั้งไว้ แต่กวาดสายตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ไม่เจอกันนานหลายเดือน วาสิตาดูเปลี่ยนไปมากทีเดียว ดูอวบขึ้น มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างประหลาด มีก็แต่ใบหน้าซีดเผือดเท่านั้นที่ทำให้เธอดูเหมือนคนป่วย
“ไม่คิดเลยนะว่าจะมาเจอคุณที่นี่”
เขาเอ่ยเสียงเรียบ หากไม่ใช่เพราะมาเยี่ยมเพื่อนสาวที่เพิ่งคลอดลูกก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับวาสิตาด้วยความบังเอิญอย่างนี้
“ขอตัวนะคะ”
วาสิตากำลังจะเดินตรงไปยังลิฟต์ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้รับยา เธอก็เปลี่ยนใจเดินกลับไปทางเดิม ได้แต่ภาวนาขอให้เขาหยุดรั้งเอาไว้เสียที เธอไม่อยากพบหน้า ไม่อยากพูดคุยอะไรทั้งนั้น ต้องการไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดด้วย
“เดี๋ยว...ทำไมต้องหนีหน้าผมขนาดนั้น”
เขาดึงแขนของเธอไว้แล้วถามอย่างขุ่นเคือง
“คุณอิชย์บอกเองนี่คะว่าขอให้เราไม่ต้องเจอกันอีก แต่ในเมื่อมันบังเอิญ วาก็ควรรีบหลบไปให้พ้นหน้าไม่ใช่เหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยอย่างเจียมตัว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาด้วยซ้ำ มันทำให้อิชย์นึกหงุดหงิดใจอย่างประหลาด
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ภาพของวาสิตาวกวนเข้ามากวนใจเขาเสมอ ความจริงที่เขาได้พรหมจรรย์ของเธอมาฟรีๆ โดยที่เธอไม่ได้รับอะไรตอบแทนเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนติดค้างบางอย่างเอาไว้
ที่ร้ายกว่านั้น...นับตั้งแต่หลับนอนกับวาสิตา เขาไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวของมินตราเลย พอเริ่มทีไรก็มักเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนต้องหยุดกลางคัน
โชคดีที่มินตราไม่ว่าอะไร เธอเข้าใจว่าเขาคงเครียดเรื่องงานจนไม่มีอารมณ์ จึงไม่เคยเซ้าซี้หรือร้องขอเรื่องบนเตียงเลยตลอดหลายเดือน มินตราว่าง่ายเสียจนอิชย์คลางแคลงใจ
ดูเหมือนว่าความระแวงเก่งนี้จะกลายเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว
“ไหวหรือเปล่า?”
อิชย์ถามแบบนั้นออกมาแล้วก็แทบนึกอยากกัดลิ้นตัวเอง เธอไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักหน่อย แล้วทำไมเขาถึงต้องถามไถ่ราวกับห่วงใยเธอด้วย
“ขอตัวนะคะ”
วาสิตาไม่ตอบ ดึงแขนออกจากการเกาะกุมแล้วเดินจากไปทันที
เมื่อไปถึงก็ทันได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อรับยา หญิงสาวรีบดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ รับถุงยามาถือไว้แล้วกล่าวขอบคุณอย่างร้อนรน ตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอหน้าอิชย์ ทว่าก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตาจนบังเอิญชนเข้ากับใครคนหนึ่งเต็มแรง ถุงยาร่วงลงบนพื้นจนซองยาข้างในหล่นเกลื่อนออกมาทั้งหมด
“ยาบำรุงครรภ์?”
เสียงของคนที่ช่วยหยิบซองยาขึ้นมาให้อ่านทวนอย่างเชื่องช้า
“คุณอิชย์!” วาสิตาอุทานลั่น รีบแย่งซองยาไปจากมือเขาทันที
“นี่คุณ...” สีหน้าของอิชย์ยามนี้คล้ายกำลังตื่นตระหนกสุดขีด
“ขอตัวนะคะ ตอนนี้...สามีของวาคงรอแย่แล้วค่ะ”
วาสิตาคิดหาทางรอดอย่างรวดเร็ว
“สามีเหรอ? นี่คุณแต่งงานแล้วเหรอ วาสิตา”
อิชย์ดูหายตกใจไปในทันที เธอเห็นเขาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก เมื่อรู้ว่าเธอมีสามีแล้ว...แต่เป็นสามีที่ไร้ตัวตน ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนนี่เอง
“ขอตัวนะคะ” เธอไม่ตอบ แต่เอ่ยเลี่ยงแล้วเดินแยกไปอีกทาง
อิชย์ขยับจะตามไปอีก แต่เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน เมื่อพบว่าคนที่โทร. เข้ามาคือคู่หมั้นคนสวย เขาก็กดรับสายแล้วกรอกเสียงทักทายร่าเริงทันที
“ครับมิน”
“อิชย์อยู่ไหนคะ กาแฟของมินได้หรือยัง มินรอนานแล้วนะคะ”
มินตราอยู่บนห้องพักพิเศษชั้นบน คุยกับคุณแม่มือใหม่ซึ่งเป็นเพื่อนสาวคนสนิทของอิชย์อย่างออกรส แต่รอนานแล้วยังไม่พบแฟนหนุ่มนำกาแฟกลับขึ้นไปให้เสียที จึงโทรศัพท์มาถามดูว่าเขาทำอะไรอยู่
“พอดีผมเจอคนรู้จักน่ะครับ เพิ่งทักทายกันเสร็จ กำลังจะไปซื้อกาแฟให้มินพอดี รอเดี๋ยวนะ อีกไม่เกินสิบนาที มินได้ดื่มกาแฟร้อนๆ แน่นอน” เขาบอก เมื่อมินตราตอบรับเสียงเรียบแล้ว เขาก็กดวางสายไป
ดวงตาคมมองไปยังทางที่วาสิตาเพิ่งหายลับไปจากกรอบสายตา รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไม่ใส่ใจ รีบก้าวเท้าไปยังมินิมาร์ตเพื่อซื้อกาแฟให้กับตัวเองและแฟนสาวทันที
นับตั้งแต่มะปรางจากไปพร้อมกับลูกในท้อง เขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะให้ใครมาแทนที่ภรรยาสุดที่รักอัญรสเองก็บริสุทธิ์ใจเสียจนคิดน้อย ลืมไปแล้วว่าคนข้างตัวเป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและกำลังมึนเมาเสียด้วย เธอพาเขาเข้าไปในห้อง นึกโล่งใจที่ตอนนี้มารดาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นท่านคงดุด่าว่ากล่าวอย่างหนักแน่ ที่เธอให้ความช่วยเหลือคนที่ท่านเกลียดชังเข้าไส้“เดี๋ยวค่ะ ไปห้องน้ำสิคะ อย่าอ้วกใส่เตียงนะพี่ชิน!”เธอร้องบอก เมื่อเขาไม่ยอมให้ประคองไปทางห้องน้ำ แต่กลับโซซัดโซเซไปที่เตียงนอน แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่อยู่บนนั้นแทน เจ้าของห้องมองแล้วถอนหายใจพรืด โล่งอกไปที่เห็นเขาหลับตาลง ไม่ได้อาเจียนพุ่งอย่างที่เธอนึกกังวลไปเองอัญรสยืนเคว้งอยู่กลางห้อง หัวใจเต้นรัวในตอนที่ก้าวช้าๆ ไปยืนมองชยุตม์ พี่ชายข้างบ้านที่เธอเคยปลื้ม แต่ตอนนี้กลายเป็นหลงรักจนหัวปักหัวปำไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอนวัตผู้เป็นพี่ชายเกิดความหมางใจกับเพื่อนสนิทคนนี้เข้า เธอก็คงได้วนเวียนใกล้ชิดเขาไม่ห่างเหมือนเมื่อก่อนอัญรสยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ให้ชยุตม์ช่วยสอนทำการบ้านบ้าง ช่วยประดิษฐ์งานส่งอาจารย์บ้าง แล้วยังช่วยติ
แน่นอนว่าเมื่อเหล้าเข้าปาก ใครเล่าจะหยุดยั้งได้...ดื่มไป คุยไป ได้อรรถรสจนเผลอรินเพิ่มอีกไม่รู้กี่แก้ว งานเลี้ยงเลิกราแล้ว คู่บ่าวสาวเพิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องสวีตสุดหรู ชั้นบนสุดของโรงแรม หลังคุณปู่อรรคกับป้าบุหลัน รวมทั้งคนสนิทอื่นๆ อีกไม่กี่คน ขึ้นไปร่วมอวยพรและส่งตัวบ่าวสาวแล้ว บรรดาเพื่อนสนิทของวาสิตาก็ยังไม่ยอมแยกย้ายกันกลับ แต่ลงมานั่งดื่มและคุยกันต่อ เพราะไหนๆ ก็ได้มารวมตัวกันทั้งที จึงอยากสนุกกันเต็มที่ไปเสียเลย“ชิน พอเถอะลูก ขึ้นข้างบนไปพักผ่อนเถอะ” บุหลันเห็นลูกชายลืมตัวดื่มไปมากก็นึกห่วง เดินมาชักชวนให้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่เปิดไว้ เพราะตอนนี้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว“อีกแป๊บนะครับแม่ กำลังคุยกับเจ้าโปรดสนุกๆ เลย” ชยุตม์ บอกเสียงอ้อแอ้“แต่ถ้าดื่มต่อ แม่กลัวชินจะกลับขึ้นห้องไม่ไหวน่ะสิ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปูให้โปรดพาขึ้นไปส่งก็ได้ค่ะ” เปรมิกาเสนอ“ใช่ครับ คุณป้า เดี๋ยวโปรดพาพี่ชินขึ้นไปส่งให้ก็ได้ครับ วันนี้โปรดกับปูก็เปิดห้องที่นี่ไว้แล้วเหมือนกัน รู้สึกจะอยู่ชั้นเดียวกันกับคุณป้าด้วยครับ”“ก็ได้ลูก ถ้างั้นป้าฝากพี่ชินเขาด้วยนะจ๊ะ”เมื่อปรีชาวัฒน์กับเปรมิกาอาสาว่าจ
หนึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งงานใหญ่โตผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น อิชย์ควงภรรยาเดินอวดไปทั่วงาน แสดงความรักด้วยการจูงมือและหอมแก้มวาสิตาอวดคนอื่นอยู่บ่อยๆ เขาโง่มากที่ก่อนนี้มองไม่เห็นความงดงามทั้งภายในและภายนอกของเธอ แต่ช่างเถอะ นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนแน่...คุณปู่อรรค เปรมิกา ปรีชาวัฒน์ ยาตรา รวมทั้งคนอื่นๆ ทั้งทางฝ่ายวาสิตาและอิชย์ ต่างก็ยิ้มแย้มยินดีกับคู่บ่าวสาว พยานรักตัวน้อยในวัยเก้าเดือนเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคน ไม่ร้องไห้โยเยกวนใจใครเลย ราวกับเป็นใจให้พ่อและแม่ได้มีคืนวันที่ดีร่วมกัน“วันนี้เมียผมสวยจัง” เจ้าบ่าวดื่มเข้าไปไม่น้อยจึงปากหวานนัก“อย่าดื่มมากนักนะคะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา...”“กลัวผมไม่ไหวเอา หรือกลัวผมเอาไม่ไหวกันแน่” เขาหัวเราะร่วน“คุณอิชย์! พูดเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”เจ้าสาวที่สง่างามและโดดเด่นน่ามองที่สุดในค่ำคืนนี้ ตีเบาๆ ตรงอกสามี ห้ามปรามไม่ให้เขาทำตัวก๋ากั่นนักต่อหน้าผู้คน โชคดีที่ผ่านช่วงที่ต้องขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ บนเวทีไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดอะไรเรื่อยเปื่อย จนเธออายม้วนทำตัวไม่ถูกแน่ๆ“ไม่เห็นต้องอายใครเลย
“เพราะความรักและการสำนึกผิดล้วนๆ เลยน่ะสิที่ทำให้ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องอยู่ต่อไปอีกสักสิบปี ผมก็ยอมนะวา ผมมีความสุขดีกับชีวิตที่เรียบง่าย ขอแค่ได้เห็นหน้าลูกทุกวันก็พอ ผมรักลูก ผมอยากทำหน้าที่พ่อที่ดีบ้าง ถ้าคุณยอมให้โอกาสผม...”ดวงตาของคนพูดทอประกายอ่อนลง เมื่อเอ่ยถึงแก้วตาดวงใจ วาสิตาถึงกับคอแข็ง เพราะถ้อยคำที่ตัวเองรอฟังยังคงไม่หลุดออกมาจากปากของเขา“ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณรักลูก แล้วคุณมีแผนยังไงต่อเหรอคะ ถ้าฉันยอมให้โอกาสคุณ คุณจะเอายังไงกับลูก แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคงทนไม่ได้แน่ ถ้าคุณจะพาลูกกลับไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพ ถึงจะแค่วันเดียวฉันก็คงทนไม่ได้ ฉันยอมรับค่ะว่าติดลูกมาก เพราะแทบไม่เคยปล่อยให้แกห่างอกเลย” หญิงสาวบอกความรู้สึกออกไปตามตรง“ผมก็ไม่ได้บอกว่าอยากจะพาลูกกลับไปกับผมแค่คนเดียวนี่วา ผมอยากให้คุณกลับไปกับผมด้วย”“จะดีเหรอคะ ถ้าวันนึงคุณเกิดอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใคร...”“เดี๋ยวนะ! นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”อิชย์รีบขัด ยกมือห้ามไว้ไม่ให้เธอพูดต่อ“ที่คุณยอมทำทุกอย่างก็เพื่อลูกไม่ใช่เหรอคะ คุณรักลูกมาก แล้วฉันก็จะเลิกขัดขวางคุณ เพียงแต่ฉันกำลังบอกคุณไปตา
อิชย์ขยับตัวเบาๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลพุ่งเข้ามาปะทะจมูกเป็นสิ่งแรก ตามด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำให้เขาขนลุกด้วยความเหน็บหนาวราวกับคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ มองออก เพราะทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยิบรีโมตขึ้นมากดปิดการทำงานของมันทันที ชายหนุ่มอยากขยับหันไปมองว่าใครกันที่สละเวลามาเฝ้าดูแลเขา แต่อาการปวดหนึบบริเวณศีรษะที่ถูกเย็บมากกว่าสิบเข็ม ทำให้เขาจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ไปก่อน“เป็นยังไงบ้างคะ”เสียงหวานคุ้นหูทำให้อิชย์ลืมตัว รีบหันไปมองทันที“โอ๊ย!” คนเจ็บร้องลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด“ระวังหน่อยสิคะ! คุณหัวแตกนะ ไม่ได้เป็นไข้หวัด”วาสิตาลุกพรวดจากเก้าอี้ ยืนอยู่ข้างเตียงในจุดที่มองสบตากับคนบนเตียงได้อย่างถนัดถนี่อิชย์หน้าซีดเผือดเหมือนไข่ปอก คุณหมอบอกว่าเขาเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่ปฐมพยาบาลห้ามเลือดได้ทันและตามรถพยาบาลได้เร็วทันใจ เขาจึงไม่ช็อกเสียชีวิตไปเสียก่อนรู้แบบนั้นวาสิตาก็ใจหายมาก ตัดสินใจให้ป้าบุหลันกับชยุตม์กลับไปช่วยกันดูแลลูกชาย ส่วนเธออาสาเฝ้าดูแลอิชย์เสียเอง หวังจะไถ่โทษที่ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างนี้“นี่ผมหลับไปนานมาก
ยิ่งเมื่อภาพเลือดแดงฉานวกเข้ามาในหัว หญิงสาวก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น มองมือของตัวเองแล้วน้ำตาไหล...เธอโทษว่าเขาเลว แต่ตัวเองกำลังเดินตามรอยเดียวกันตอนนั้นเองที่คำพูดของชยุตม์ดังขึ้นในความคิด...‘วารู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่เคยเข้าข้างใครไปมากกว่าวา พี่เจ็บแค้นแทนวามาตลอดที่วาถูกอิชย์มันรังแก แต่พี่ก็ไม่ใช่พวกหูเบาหัวอ่อนนะ พี่มองออกว่าสิ่งที่มันอดทนทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง มันเข้าใจว่าพี่กับวาเป็นผัวเมียกัน มันก็ไม่เคยยอมแพ้ มันบอกไอ้เชิดว่าต่อให้วามีใครสักร้อยคน มันก็จะอดทนสู้ต่อไป ถ้ามันยังสันดานเหมือนเดิมล่ะก็นะ ป่านนี้มันคงฉุดวาแล้วก็แย่งลูกคืนไปนานแล้ว มันทำได้ แต่มันก็ไม่ทำ วาจะเกลียดมัน พี่ไม่ว่า แต่มันเจ็บปางตายแบบนี้ วาจะใจดำได้ลงคอเหรอ!’สิ่งที่พี่ชายของเธอพูด ถูกต้องที่สุดแล้ว หากอิชย์ต้องการตัวลูกจริง เขามีอำนาจมากพอที่จะแย่งชิงยอดดวงใจไปจากเธอได้ตั้งแต่แรก ไม่มีความจำเป็นต้องอดทนรอหรือพิสูจน์ตัวเองด้วยความยากลำบากมาจนถึงทุกวันนี้แม้อิชย์จะไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลเหมือนจามร แต่ตระกูลของเขาก็สามารถสั่งการทุกอย่างได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน แต่เขากลับไม่ทำ เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกม