วาสิตาช่วยป้าบุหลันเปิดร้าน เตรียมข้าวของเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด แม้จะจ้างลูกจ้างคอยช่วยอยู่แล้วก็ตาม มันเป็นความเคยชินที่เธอหยุดไม่ได้จริงๆ ยิ่งวันนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องไปทำงาน เธอก็ยิ่งเบื่อที่จะต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ข้างบน จึงลงมาแย่งงานเสิร์ฟจากสุดาและวราลี
สองสามีภรรยาที่เป็นลูกค้าประจำ ยิ้มให้เมื่อข้าวมันไก่ทั้งสองจานถูกวางลงตรงหน้า วาสิตากำลังจะเดินแยกตัวไป แต่กลับต้องชะงักงัน เมื่อได้ยินเสียงคุยกันแว่วมาจากข้างหลัง มันทำให้เธอหน้าเสีย จิตใจหม่นหมองขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เห็นมาตั้งนาน หน้าตาก็ดี แต่ดันท้องไม่มีพ่อ เฮ้อ...น่าสงสาร”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าหนูวาท้องไม่มีพ่อ บางทีสามีของหนูวาอาจจะทำงานอยู่ที่อื่นก็ได้”
“ฉันมั่นใจเลยแหละพี่ วาไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ แฟนก็ไม่เห็นเคยมาหา เรามากินกันที่นี่ทุกวัน ถ้ามีแฟนจริงๆ เราต้องเห็นสิพี่”
คนเป็นภรรยาจีบปากจีบคอพูด แค่นั้นไม่พอยังเอ่ยต่อไปอีก
“ที่ฉันพูดก็ไม่ได้จะสมน้ำหน้าอะไรหรอก แค่สงสาร วาน่ะน่ารัก นิสัยดี ฉันคงดีใจด้วย ถ้าได้เจอคนดีๆ ไม่ใช่มาทำป่องแล้วทิ้งแบบนี้”
“จะแดกกันหรือไม่แดก! ข้าวมันไก่น่ะ ถ้าจะแดกก็เงียบปากไป แต่ถ้าไม่เงียบ กูจะฟันปากมึงด้วยมีดอีโต้นี่เสียเลย! ปากหมาไม่เข้าเรื่อง! หลานกูจะท้องกับใคร จำเป็นต้องสาธยายชี้แจงให้มึงรู้ด้วยเหรออีแป้น เอาเรื่องของมึงกับผัวให้มันดีก่อนเถอะ วันก่อนเห็นเขาพูดกันว่าผัวมึงยังไปตีกะหรี่แถวปากซอยอยู่เลย! ระวังจะติดเอดส์ตายห่าเข้าสักวันเถอะ!”
เสียงของป้าบุหลันดังลั่นขึ้นด้วยความฉุนเฉียว นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย ที่วาสิตาได้ยินคำพูดผรุสวาทจากปากของคนที่เลี้ยงดูเธอมา บ่งบอกว่าท่านคงกำลังโกรธจัดจริงๆ
“อะไรนะ! นี่ยังไม่เลิกสำส่อนอีกเหรอ!” แป้นลุกขึ้นด่าสามีทันที
“ใจเย็นก่อนสิแป้น พี่หลันแกพูดด้วยความโกรธ ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย” คนที่ถูกประจานกลางร้านรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน
“ไอ้แก่ตัณหากลับ! มึงไปเลยนะ กลับบ้านไปคุยกันเดี๋ยวนี้เลย!”
แป้นฉุนขาด เดินมาบิดหูสามีแล้วดึงกึ่งลากให้ออกไปจากร้านข้าวมันไก่ โดยไม่สนใจหันกลับมาตอบโต้กับบุหลันอีก เพราะคนใจเย็นแบบนั้น บทจะโมโหขึ้นมาก็น่ากลัวใช่เล่น ถ้าฉลาดก็ไม่ควรต่อกรให้ยืดยาวมากไปกว่านี้
“วาขึ้นไปพักข้างบนเถอะลูก ไม่ต้องช่วยหรอก สุดากับลีก็อยู่”
บุหลันปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลเมื่อเอ่ยกับหลานสาว
“วาไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าหลัน วาได้ยินคนพูดแบบนี้กันหลายครั้งแล้ว ก็มีที่รู้สึกแย่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตวาหรอก อีกอย่างมันก็เป็นความจริงด้วย วาขอโทษนะคะที่ทำให้ป้าต้องอับอายที่มีหลานอย่างวา...”
“ไม่พูดแบบนั้นสิ ป้าไม่เคยคิดว่ามันน่าอายเลยนะ พวกที่เล่นสนุกจนท้อง แล้วไปทำแท้งซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากกว่าที่น่าอาย” ผู้เป็นป้าเดินเข้ามาหาแล้วมองสบตากับหลานสาวด้วยความเห็นใจ ลูกค้ารายอื่นที่อยู่ในร้านพากันก้มหน้ารับประทานข้าวมันไก่รสเด็ดกันไปเงียบๆ ไม่คิดหาเรื่องใส่ตัวเหมือนอย่างที่แป้นและสามีทำ
“ป้าไม่ต้องห่วงนะคะ วาจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ วาจะสนใจแค่ลูกของวาเท่านั้น” วาสิตายิ้ม จะไม่สนใจคำพูดจาดูถูกถากถางอีกแล้ว
ชีวิตเธอนับจากนี้ไปจะมีแค่ลูกเท่านั้นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้มั่นคง เธอจะเฝ้ารอคอยวันที่ทายาทตัวน้อยลืมตาดูโลก รอวันที่ได้โอบอุ้มรักแท้และเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด
เธอต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว...
เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่อากาศจะหนาวสะท้านจนเสี่ยงต่อการป่วยไข้ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์กว่าหกเดือนจึงต้องสวมชุดที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเพียงพอ
วาสิตาในชุดคลุมท้องสีชมพูหวานซึ่งสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวตัวหนาและผ้าพันคอ เปิดประตูเข้าไปภายในภัตตาคารที่ตัวเองทำงานมานานหลายเดือน ยิ้มแย้มทักทายเพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องพักทางด้านหลัง
หญิงสาวเก็บกระเป๋าใส่ในล็อกเกอร์ของตัวเอง ถอดเสื้อกันหนาวออกแขวนไว้ แล้วนำเสื้อกั๊กที่มีโลโก้และชื่อของภัตตาคารมาสวมทับชุดคลุมท้องแบบแขนยาว กลัดเข็มกลัดป้ายชื่อเอาไว้บนอก แล้วจัดผ้าพันคอให้เข้าที่เข้าทาง
ข้างในร้านค่อนข้างอุ่นมากเมื่อเทียบกับข้างนอก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวอะไรนัก วันนี้เปรมิกาลางาน เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัด ยาตราเองก็อยู่ในช่วงที่กำลังมีปัญหากับสามี ช่วงนี้จึงเงียบๆ ไป ไม่ร่าเริงนัก
ดูเหมือนจะมีวาสิตาเพียงคนเดียวที่ร่าเริงแจ่มใส มองอะไรก็มีความสุขไปหมด เพราะอีกแค่ไม่กี่เดือน เธอก็จะได้พบหน้าลูกแล้ว อยากเห็นเหลือเกินว่าทารกน้อยขี้อายที่ไม่ว่าจะอัลตราซาวด์กี่ครั้งก็ยังคงหนีบขาซ่อนเพศนั้น จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ลูกจะเหมือนเธอหรือเหมือนอิชย์ แล้วสัมผัสจากเท้าเล็กๆ มือน้อยๆ ที่ชอบอัดกำปั้นผ่านทางหน้าท้องและดิ้นเก่งเหลือเกิน จะให้ความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้สัมผัสกันตรงๆ
วาสิตาตื่นเต้นเหลือเกินกับการรอคอยครั้งนี้...
“พี่วาครับ วันนี้มีวีไอพีมานะพี่ ปกติพี่หยกจะเป็นคนต้อนรับเอง แต่วันนี้พี่หยกตาบวมมาก บอกว่าไม่พร้อมทำงานจริงๆ เลยให้ผมมาบอกพี่วาช่วยจัดการแทนหน่อยครับ”
เอกภพนั่นเองที่เคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาบอก
“เดี๋ยวพี่จัดการแทนพี่หยกเองจ้ะ โต๊ะไหนเหรอเอก”
“วีไอพีโต๊ะห้าเลยครับพี่ อีกสองชั่วโมงนะครับ โทร. เข้ามาจองไว้ตอนสิบโมงเช้าครับ”
“จ้ะ ขอบใจนะเอก”
“ไม่เป็นไรครับพี่”
เอกภพพยักหน้ายิ้มๆ ปิดประตูห้องพักพนักงานหญิงลงอย่างเบามือ แล้วกลับออกไปทำงานของตัวเอง
วาสิตายังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควร จึงเดินไปนั่งบนโซฟาแล้วหยิบหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็กออกมากางอ่าน ภัตตาคารจะเปิดบริการตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงสามทุ่ม ดังนั้นเธอจึงได้นั่งเอนกายพักผ่อนอยู่พักใหญ่
เมื่อถึงเวลาทำงาน พนักงานคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามาในห้อง ทุกคนทักทายว่าที่คุณแม่อย่างเป็นมิตร ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวันโดยไม่มีเบื่อ
วาสิตาเล่าให้พนักงานรุ่นน้องคนหนึ่งฟังว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลย เพราะลูกดิ้นถีบเสียจนสะดุ้งโหยงเกือบทั้งคืน ทำให้บางคนที่ผ่านการมีลูกมาแล้ว ต้องเข้ามาร่วมวงผสมโรงคุยกันอย่างออกรส และทำให้วาสิตารู้เพิ่มด้วยว่าหากลูกดิ้นถี่ขึ้นผิดปกติหรือดิ้นน้อยลงกว่าปกติ เธอควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ทุกคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ เมื่อเริ่มมีลูกค้าทยอยกันเข้ามาในภัตตาคาร วาสิตามองสำรวจตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ เมื่อพบว่าแต่งตัวสุภาพเรียบร้อยพอที่จะต้อนรับแขกวีไอพีแล้ว เธอจึงเดินออกไปยังโต๊ะที่เอกภพบอกเอาไว้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างมั่นคง ชะงักลงเล็กน้อย เมื่อพบว่าแขกวีไอพีที่ว่านั่นคือมินตรา คู่หมั้นของอิชย์นั่นเอง
แต่แปลก...เพราะผู้ชายที่เธอมาด้วย ไม่ใช่อิชย์
“สวัสดีค่ะ” วาสิตาสูดลมหายใจลึกเรียกความกล้า ภาวนาขอให้มินตราจำเธอไม่ได้ ซึ่งก็โล่งอกไม่น้อยที่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
เมื่อยื่นเมนูส่งให้ผู้ชายที่หน้าตาคมเข้มดุดัน ทว่าหล่อเหลาและดูมาดดีน่ามองแล้ว วาสิตาก็ส่งเมนูอีกอันให้กับมินตรา ซึ่งรับและกล่าวขอบคุณโดยไม่สนใจเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยซ้ำ
“สั่งอาหารสิ มินตรา คุณอยากทานอะไรก็สั่งได้เต็มที่เลย”
ชายคนนั้นเอ่ยบอกอย่างเอาใจ
“มินไม่หิว ไหนคุณบอกว่ามีเรื่องจะคุยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่เข้าเรื่องสักที” มินตราดูไม่เต็มใจนักที่ต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับอีกฝ่าย
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจท่าทีหมางเมินนั้น แต่ไล่สายตามองเมนูแล้วสั่งอาหารสามสี่อย่างที่ราคาแพงที่สุด เมื่อวาสิตาจดทุกเมนูเรียบร้อยแล้ว เธอก็ทวนซ้ำอีกรอบ เมื่อไม่มีข้อผิดพลาดจึงขอตัวไปส่งออร์เดอร์ให้กับเชฟทันที
แต่ก่อนไป...ประโยคหนึ่งทำให้วาสิตาชะงักเสียก่อน
“คุณคงไม่อยากทำให้คู่หมั้นของคุณต้องเดือดร้อนหรอกนะ”
“อย่ามาขู่ฉันนะ”
วาสิตาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เดินต่อไปจนพ้นจากสายตาของสองหนุ่มสาว แต่หัวใจของเธอกลับเต้นรัวอย่างประหลาด เพราะผู้ชายที่มากับมินตราดูไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ยิ่งได้ยินเขาพูดถึงอิชย์แบบนั้น วาสิตาก็ยิ่งไม่สบายใจ แม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
แต่เธอยังคงรักและห่วงใยเขาเสมอ
วาสิตาแสร้งเลียบเคียงถามจากพนักงานด้วยกันว่าวีไอพีคนนี้เป็นใครมาจากไหน ซึ่งก็ได้รู้ทันทีว่าเขาชื่อจามร เป็นทายาทเพียงคนเดียวของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งกุมบังเหียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่โตที่สุด เมื่อถึงเวลาที่พนักงานนำอาหารทยอยเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ วาสิตาก็ตามไปคอยดูแลความเรียบร้อยด้วย
ทั้งคู่ใช้เวลารับประทานอาหารและพูดคุยกันนานเกือบชั่วโมง วาสิตามองไปยังโต๊ะนั้นอยู่บ่อยๆ ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษโดยไม่มีใครสงสัย เพราะเวลาที่ยาตราต้องรับแขกวีไอพี เธอก็มักเอาใจใส่แบบนี้เหมือนกัน ในที่สุดมินตราก็เป็นฝ่ายลุกพรวดจากเก้าอี้ คว้ากระเป๋าแล้วก้าวฉับๆ ออกไปจากร้าน ทำให้จามรต้องรีบเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วทิ้งธนบัตรสีเทานับสิบใบเอาไว้บนโต๊ะ แล้วรีบรุดตามหลังออกไปทันที
วาสิตาลังเลอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามออกไป เธอใช้รถยนต์ของลูกค้าบังตัวเองเอาไว้ ยืนอยู่ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น แม้รู้ว่ามันเสียมารยาทมาก แต่เธอก็เลือกที่จะลอบฟังการทุ่มเถียงของคนสองคนด้วยความตั้งใจ
เมื่อถ้อยคำต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของจามรและมินตรา ดวงตาของวาสิตาก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น กลัวว่าเสียงอุทานจะเล็ดลอดออกมาจนสองคนนั้นรู้ตัว เนื่องจากสิ่งที่ได้ยิน...มันน่ากลัวเกินจะรับไหวจริงๆ แต่วาสิตาไม่ยอมอยู่เฉยแน่
เธอต้องหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ให้ได้!
นับตั้งแต่มะปรางจากไปพร้อมกับลูกในท้อง เขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะให้ใครมาแทนที่ภรรยาสุดที่รักอัญรสเองก็บริสุทธิ์ใจเสียจนคิดน้อย ลืมไปแล้วว่าคนข้างตัวเป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อและกำลังมึนเมาเสียด้วย เธอพาเขาเข้าไปในห้อง นึกโล่งใจที่ตอนนี้มารดาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นท่านคงดุด่าว่ากล่าวอย่างหนักแน่ ที่เธอให้ความช่วยเหลือคนที่ท่านเกลียดชังเข้าไส้“เดี๋ยวค่ะ ไปห้องน้ำสิคะ อย่าอ้วกใส่เตียงนะพี่ชิน!”เธอร้องบอก เมื่อเขาไม่ยอมให้ประคองไปทางห้องน้ำ แต่กลับโซซัดโซเซไปที่เตียงนอน แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่อยู่บนนั้นแทน เจ้าของห้องมองแล้วถอนหายใจพรืด โล่งอกไปที่เห็นเขาหลับตาลง ไม่ได้อาเจียนพุ่งอย่างที่เธอนึกกังวลไปเองอัญรสยืนเคว้งอยู่กลางห้อง หัวใจเต้นรัวในตอนที่ก้าวช้าๆ ไปยืนมองชยุตม์ พี่ชายข้างบ้านที่เธอเคยปลื้ม แต่ตอนนี้กลายเป็นหลงรักจนหัวปักหัวปำไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอนวัตผู้เป็นพี่ชายเกิดความหมางใจกับเพื่อนสนิทคนนี้เข้า เธอก็คงได้วนเวียนใกล้ชิดเขาไม่ห่างเหมือนเมื่อก่อนอัญรสยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่ให้ชยุตม์ช่วยสอนทำการบ้านบ้าง ช่วยประดิษฐ์งานส่งอาจารย์บ้าง แล้วยังช่วยติ
แน่นอนว่าเมื่อเหล้าเข้าปาก ใครเล่าจะหยุดยั้งได้...ดื่มไป คุยไป ได้อรรถรสจนเผลอรินเพิ่มอีกไม่รู้กี่แก้ว งานเลี้ยงเลิกราแล้ว คู่บ่าวสาวเพิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องสวีตสุดหรู ชั้นบนสุดของโรงแรม หลังคุณปู่อรรคกับป้าบุหลัน รวมทั้งคนสนิทอื่นๆ อีกไม่กี่คน ขึ้นไปร่วมอวยพรและส่งตัวบ่าวสาวแล้ว บรรดาเพื่อนสนิทของวาสิตาก็ยังไม่ยอมแยกย้ายกันกลับ แต่ลงมานั่งดื่มและคุยกันต่อ เพราะไหนๆ ก็ได้มารวมตัวกันทั้งที จึงอยากสนุกกันเต็มที่ไปเสียเลย“ชิน พอเถอะลูก ขึ้นข้างบนไปพักผ่อนเถอะ” บุหลันเห็นลูกชายลืมตัวดื่มไปมากก็นึกห่วง เดินมาชักชวนให้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่เปิดไว้ เพราะตอนนี้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว“อีกแป๊บนะครับแม่ กำลังคุยกับเจ้าโปรดสนุกๆ เลย” ชยุตม์ บอกเสียงอ้อแอ้“แต่ถ้าดื่มต่อ แม่กลัวชินจะกลับขึ้นห้องไม่ไหวน่ะสิ”“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปูให้โปรดพาขึ้นไปส่งก็ได้ค่ะ” เปรมิกาเสนอ“ใช่ครับ คุณป้า เดี๋ยวโปรดพาพี่ชินขึ้นไปส่งให้ก็ได้ครับ วันนี้โปรดกับปูก็เปิดห้องที่นี่ไว้แล้วเหมือนกัน รู้สึกจะอยู่ชั้นเดียวกันกับคุณป้าด้วยครับ”“ก็ได้ลูก ถ้างั้นป้าฝากพี่ชินเขาด้วยนะจ๊ะ”เมื่อปรีชาวัฒน์กับเปรมิกาอาสาว่าจ
หนึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งงานใหญ่โตผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น อิชย์ควงภรรยาเดินอวดไปทั่วงาน แสดงความรักด้วยการจูงมือและหอมแก้มวาสิตาอวดคนอื่นอยู่บ่อยๆ เขาโง่มากที่ก่อนนี้มองไม่เห็นความงดงามทั้งภายในและภายนอกของเธอ แต่ช่างเถอะ นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหนแน่...คุณปู่อรรค เปรมิกา ปรีชาวัฒน์ ยาตรา รวมทั้งคนอื่นๆ ทั้งทางฝ่ายวาสิตาและอิชย์ ต่างก็ยิ้มแย้มยินดีกับคู่บ่าวสาว พยานรักตัวน้อยในวัยเก้าเดือนเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคน ไม่ร้องไห้โยเยกวนใจใครเลย ราวกับเป็นใจให้พ่อและแม่ได้มีคืนวันที่ดีร่วมกัน“วันนี้เมียผมสวยจัง” เจ้าบ่าวดื่มเข้าไปไม่น้อยจึงปากหวานนัก“อย่าดื่มมากนักนะคะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา...”“กลัวผมไม่ไหวเอา หรือกลัวผมเอาไม่ไหวกันแน่” เขาหัวเราะร่วน“คุณอิชย์! พูดเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินเข้าหรอก”เจ้าสาวที่สง่างามและโดดเด่นน่ามองที่สุดในค่ำคืนนี้ ตีเบาๆ ตรงอกสามี ห้ามปรามไม่ให้เขาทำตัวก๋ากั่นนักต่อหน้าผู้คน โชคดีที่ผ่านช่วงที่ต้องขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ บนเวทีไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดอะไรเรื่อยเปื่อย จนเธออายม้วนทำตัวไม่ถูกแน่ๆ“ไม่เห็นต้องอายใครเลย
“เพราะความรักและการสำนึกผิดล้วนๆ เลยน่ะสิที่ทำให้ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องอยู่ต่อไปอีกสักสิบปี ผมก็ยอมนะวา ผมมีความสุขดีกับชีวิตที่เรียบง่าย ขอแค่ได้เห็นหน้าลูกทุกวันก็พอ ผมรักลูก ผมอยากทำหน้าที่พ่อที่ดีบ้าง ถ้าคุณยอมให้โอกาสผม...”ดวงตาของคนพูดทอประกายอ่อนลง เมื่อเอ่ยถึงแก้วตาดวงใจ วาสิตาถึงกับคอแข็ง เพราะถ้อยคำที่ตัวเองรอฟังยังคงไม่หลุดออกมาจากปากของเขา“ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณรักลูก แล้วคุณมีแผนยังไงต่อเหรอคะ ถ้าฉันยอมให้โอกาสคุณ คุณจะเอายังไงกับลูก แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคงทนไม่ได้แน่ ถ้าคุณจะพาลูกกลับไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพ ถึงจะแค่วันเดียวฉันก็คงทนไม่ได้ ฉันยอมรับค่ะว่าติดลูกมาก เพราะแทบไม่เคยปล่อยให้แกห่างอกเลย” หญิงสาวบอกความรู้สึกออกไปตามตรง“ผมก็ไม่ได้บอกว่าอยากจะพาลูกกลับไปกับผมแค่คนเดียวนี่วา ผมอยากให้คุณกลับไปกับผมด้วย”“จะดีเหรอคะ ถ้าวันนึงคุณเกิดอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใคร...”“เดี๋ยวนะ! นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”อิชย์รีบขัด ยกมือห้ามไว้ไม่ให้เธอพูดต่อ“ที่คุณยอมทำทุกอย่างก็เพื่อลูกไม่ใช่เหรอคะ คุณรักลูกมาก แล้วฉันก็จะเลิกขัดขวางคุณ เพียงแต่ฉันกำลังบอกคุณไปตา
อิชย์ขยับตัวเบาๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลพุ่งเข้ามาปะทะจมูกเป็นสิ่งแรก ตามด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ทำให้เขาขนลุกด้วยความเหน็บหนาวราวกับคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ มองออก เพราะทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยิบรีโมตขึ้นมากดปิดการทำงานของมันทันที ชายหนุ่มอยากขยับหันไปมองว่าใครกันที่สละเวลามาเฝ้าดูแลเขา แต่อาการปวดหนึบบริเวณศีรษะที่ถูกเย็บมากกว่าสิบเข็ม ทำให้เขาจำเป็นต้องนอนนิ่งๆ ไปก่อน“เป็นยังไงบ้างคะ”เสียงหวานคุ้นหูทำให้อิชย์ลืมตัว รีบหันไปมองทันที“โอ๊ย!” คนเจ็บร้องลั่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด“ระวังหน่อยสิคะ! คุณหัวแตกนะ ไม่ได้เป็นไข้หวัด”วาสิตาลุกพรวดจากเก้าอี้ ยืนอยู่ข้างเตียงในจุดที่มองสบตากับคนบนเตียงได้อย่างถนัดถนี่อิชย์หน้าซีดเผือดเหมือนไข่ปอก คุณหมอบอกว่าเขาเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่ปฐมพยาบาลห้ามเลือดได้ทันและตามรถพยาบาลได้เร็วทันใจ เขาจึงไม่ช็อกเสียชีวิตไปเสียก่อนรู้แบบนั้นวาสิตาก็ใจหายมาก ตัดสินใจให้ป้าบุหลันกับชยุตม์กลับไปช่วยกันดูแลลูกชาย ส่วนเธออาสาเฝ้าดูแลอิชย์เสียเอง หวังจะไถ่โทษที่ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างนี้“นี่ผมหลับไปนานมาก
ยิ่งเมื่อภาพเลือดแดงฉานวกเข้ามาในหัว หญิงสาวก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น มองมือของตัวเองแล้วน้ำตาไหล...เธอโทษว่าเขาเลว แต่ตัวเองกำลังเดินตามรอยเดียวกันตอนนั้นเองที่คำพูดของชยุตม์ดังขึ้นในความคิด...‘วารู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่เคยเข้าข้างใครไปมากกว่าวา พี่เจ็บแค้นแทนวามาตลอดที่วาถูกอิชย์มันรังแก แต่พี่ก็ไม่ใช่พวกหูเบาหัวอ่อนนะ พี่มองออกว่าสิ่งที่มันอดทนทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง มันเข้าใจว่าพี่กับวาเป็นผัวเมียกัน มันก็ไม่เคยยอมแพ้ มันบอกไอ้เชิดว่าต่อให้วามีใครสักร้อยคน มันก็จะอดทนสู้ต่อไป ถ้ามันยังสันดานเหมือนเดิมล่ะก็นะ ป่านนี้มันคงฉุดวาแล้วก็แย่งลูกคืนไปนานแล้ว มันทำได้ แต่มันก็ไม่ทำ วาจะเกลียดมัน พี่ไม่ว่า แต่มันเจ็บปางตายแบบนี้ วาจะใจดำได้ลงคอเหรอ!’สิ่งที่พี่ชายของเธอพูด ถูกต้องที่สุดแล้ว หากอิชย์ต้องการตัวลูกจริง เขามีอำนาจมากพอที่จะแย่งชิงยอดดวงใจไปจากเธอได้ตั้งแต่แรก ไม่มีความจำเป็นต้องอดทนรอหรือพิสูจน์ตัวเองด้วยความยากลำบากมาจนถึงทุกวันนี้แม้อิชย์จะไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลเหมือนจามร แต่ตระกูลของเขาก็สามารถสั่งการทุกอย่างได้ในชั่วพริบตาเช่นกัน แต่เขากลับไม่ทำ เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกม