“เช่นนั้นดีเลยเจ้าค่ะ เอ่อ...จะเป็นการรบกวนพี่เลี่ยงรุ่ยหรือไม่เจ้าคะ หากข้าอยากจะเชิญท่านไปนั่งสนทนาเป็นเพื่อนพี่รองของข้า คือนางไม่ค่อยมีสหายเลยเจ้าค่ะ ข้าเห็นนางนั่งคนเดียวแล้วสงสารนางยิ่งนัก” ท่าทางยิ้มแย้มเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย ท่าทางของสตรีผู้นี้ช่างน่าสงสารจนผู้ตรวจการหนุ่มตอบรับอย่างไม่รู้ตัว
“ได้”
“เช่นนั้นเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปร่าเริงสดใสดุจระฆังทำให้โจวเลี่ยงรุ่ยได้สติ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู
หากตนมีน้องสาวเช่นนี้คงจะดีไม่น้อย
อวี้ซีเยว่พาผู้ตรวจการหนุ่มไปหาพี่สาวของตนที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ลำพัง
“พี่ลู่เสียนเจ้าคะ ท่านกำลังเบื่อหน่ายใช่หรือไม่”
“เจ้ามาแล้วซีเยว่ มาๆ นั่งสนทนาเป็นเพื่อนพี่ เจ้าก็รู้ว่าพี่เบื่อหน่ายงานเลี้ยงที่มีคนมากมายเช่นนี้” อวี้ลู่เสียนกล่าวโดยไม่ทันมองว่าด้านหลังน้องสาวมีใครเดินตามมาหรือไม่
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงอยู่สนทนากับพี่รองไม่ได้ แต่ท่านไม่ต้องห่วง ข้าได้หาสหายมานั่งสนทนาเป็นเพื่อนท่านแล้ว”
“สหายของเจ้า?” จำได้ว่านอกจากพี่รองอย่างตนแล้ว น้องเล็กก็ไม่ได้มีสหายนอกจวนที่ใด
“เจ้าค่ะ พี่เลี่ยงรุ่ยเจ้าขา ข้าต้องรบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ” เด็กซุกซนจับตัวบุรุษตัวสูงให้นั่งลงใกล้ๆ พี่สาว
“เจ้าจะไปที่ใด ถึงได้รบกวนผู้อื่นมาอยู่เป็นเพื่อนพี่”
“ผู้อื่นที่ใดกันเจ้าคะ เขาคือว่าที่พี่เขยของข้านะเจ้าคะ” นางป้องปากคุยเสียงเบากับพี่สาว แต่คนที่ฝึกยุทธ์จนมีร่างกายกำยำอย่างผู้ตรวจการหนุ่มมีหรือจะไม่ได้ยิน รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าของขุนนางหนุ่มผู้มีฉายาว่า ‘เสือยิ้มยาก’
“เจ้าก็อยู่กินขนมจิบชากับพี่เถิดซีเยว่” ถึงแม้นางจะดูร้ายกาจแต่หากนางยังไม่เคยสนทนาเพียงลำพังกับบุรุษเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
“คงมิได้หรอก เพราะซีเยว่ต้องไปจัดการเรื่องบางอย่างให้พี่” การปรากฏตัวของบุรุษอีกคนทำให้ผู้ตรวจการหนุ่มยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก
จ้องมองอยู่ได้ตั้งนานกว่าจะยอมแสดงตัว
“คารวะพี่เฟยฉีเจ้าค่ะ” อวี้ลู่เสียนแสดงความเคารพสหายของพี่ชาย
“อย่างไรพี่ขอตัวซีเยว่ไปก่อนนะ” กล่าวจบก็จับมือน้อยๆ ของนางแล้วรั้งให้เดินตาม
พอเดินห่างมาไกลแล้วมือใหญ่จึงยอมปล่อยมือนางก่อนจะหันไปมองดวงหน้าหวานที่ทำให้เขารู้สึกมีโทสะยามที่นางส่งยิ้มให้ชายอื่น
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่เฟยฉีที่ช่วยให้แผนของข้าสำเร็จ” หากเขาไม่ดึงนางออกมา พี่รองคงไม่ยอมปล่อยนางไปแน่
“มิเป็นไร ดูเจ้าจะถูกใจท่านผู้ตรวจการโจวมาก”
“เจ้าค่ะ ว่าที่พี่เขยที่ดีพร้อมเช่นนั้นหากข้าไม่รีบลงมือ ประเดี๋ยวก็โดนสตรีอื่นแย่งไป”
ได้แต่หวังว่าพี่สาวของนางจะสามารถล่อลวงบุรุษได้สำเร็จ
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่พึงใจบุรุษคนใดบ้างหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ” นางไม่คิดจะไปเป็นฮูหยินใครอยู่แล้ว
อวี้ซีเยว่ไม่รู้ตัวเลยว่าคำตอบของตนทำให้แววตาของใครบางคนเป็นประกายก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางหันมามอง
“พี่เฟยฉี หากท่านจะไปหาพี่ใหญ่ เชิญตามสบายนะเจ้าคะ ไม่ต้องห่วงข้า”
“มิเป็นไร ปล่อยให้ลู่หมิงพูดคุยกับแขกเหรื่อไปเถิด พี่นั่งสนทนากับเจ้าสนุกกว่า”
‘แต่ข้าไม่สนุกเลยสักนิด ข้าอยากไปนอนอ่านนิยายนี่’
“พี่เฟยฉีเจ้าคะ ท่านนี่ก็เป็นที่หมายปองของสตรีไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ” ดูสายตาสตรีพวกนั้นสิ ดูอิจฉาริษยานางที่ได้นั่งพูดคุยกับบุรุษผู้นี้
“ทำอย่างไรได้ พี่รูปงามตั้งแต่กำเนิด พี่เคยได้ยินเรื่องสตรีดอกบัวขาวมาอยู่บ้าง ในฐานะที่เจ้าเป็นคุณหนูผู้หนึ่งเช่นกัน ช่วยสอนพี่สังเกตได้หรือไม่”
บุรุษผู้นี้หลงตัวเองไม่น้อย...
“ได้สิเจ้าคะ แต่ท่านคงไม่รู้ว่านอกจากจะมีสตรีดอกบัวขาวแล้ว ยังมีสตรีชาเขียวอีกนะเจ้าคะ”
“สตรีชาเขียวหรือ เป็นเช่นไร”
“ข้าขอเริ่มอธิบายสตรีดอกบัวขาวก่อนนะเจ้าคะ เท่าที่ข้าสังเกตและสัมผัสมา สตรีดอกบัวขาวจะเป็นสตรีที่แสร้งสร้างเรื่องดีงามให้ตนเอง รูปลักษณ์จะดูใสซื่อบริสุทธิ์ เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งสี่ เป็นที่ถูกใจของบรรดาฮูหยินที่กำลังมองหาสะใภ้หัวอ่อนควบคุมง่าย แต่พอแต่งเข้าจวนเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ ธาตุแท้ที่ซ่อนไว้ออกทันที สุดท้ายก็ต้องรีบหาฮูหยินรองให้บุตรชายเพื่อเอามาถ่วงดุลอำนาจ
ส่วนสตรีชาเขียวในความคิดของข้านั้น น่าจะไม่ค่อยถูกใจฮูหยินที่มีบุตรชายเท่าใดนัก เพราะสตรีชาเขียวเป็นสตรีที่แสร้งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเดียวกับสตรีดอกบัวขาว ต่างกันแค่สตรีชาเขียวมักจะชอบไปยุ่งเกี่ยวกับบุรุษที่มีคู่หมั้นหรือมีเจ้าของแล้ว พอมีคนกล่าวว่าเล่าลือในสิ่งที่นางทำ นางก็จะแสร้งไปนั่งร้องไห้เรียกร้องความเห็นใจจากบุรุษหน้าโง่ สุดท้ายก็จะแย่งชิงบุรุษที่มีเจ้าของมาเป็นของตนได้”
“ดูเหมือนสตรีชาเขียวนี่จะร้ายกาจกว่าสตรีดอกบัวขาว”
“ตามแต่ท่านต้องการเจ้าค่ะ แต่ขอยกเว้นชีวิตและเงินทองเจ้าค่ะ ข้าค่อนข้างยากจน ทุกวันนี้อยู่ดีกินดีเพราะบิดามารดา” นางกล่าวจบก็กลับมานั่งตัวตรงพร้อมกับหลุบตาลงเล็กน้อยให้ดูน่าเอ็นดูกึ่งน่าสงสาร “ท่านผู้ตรวจการโจว เย็นนี้ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ขอรับ” เมื่อมีคนเสนอค่าตอบแทนให้ คุณชายหยางเช่นเขามีหรือจะไม่รับไว้ ในเมื่อค่าตอบแทนที่เขาต้องการมันช่างหอมหวานยิ่ง... “ข้าไม่ได้มีงานสำคัญใด ท่านมีอันใดหรือไม่” ขุนนางหนุ่มเอ่ยถามบุรุษผู้ที่มีอายุน้อยกว่า “เย็นนี้ข้าอยากจะเชิญท่านมารับมื้อเย็นที่จวนที่พวกข้าพักอาศัย อาจจะมีการจิบสุราบ้างเล็กน้อยเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน” หยางเฟยฉีกล่าวจบก็เหลือบมองสหายตน&nb
“ใช่ เขากล่าวว่าอย่างไรก็ไม่แต่ง เพราะตัวเขานั้นรักฮูหยินมาก สุดท้ายคนแบกความอับอายจึงเป็นคุณหนูเฟินที่บุรุษหลายคนในงานได้เห็นนางในสภาพเช่นนั้น ทั้งยังถูกบุรุษปฏิเสธไม่รับผิดชอบอีก” “ข้าเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย แล้วการที่นางตกน้ำเป็นฝีมือใครหรือเจ้าคะ” เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเวรกรรมกำลังตามทันสตรีผู้นั้น “ไม่ทราบ คุณหนูเฟินก็บอกไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใคร เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว” ‘ก็คงไปสร้างศัตรูเอาไว้มาก เลยมีคนมาเอาคืน’ “เจ้าอยากกินอะไรเพิ่มหรือไม่ พี่จะสั่งให้” สิ้นเสียงของรองเจ้ากรมยุติธรรม ก็มีบุรุษสองคนเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามา “มิรบกวนท่านรอ
14 ว่าที่น้องเขยของอวี้ลู่หมิง ด้านบนของหอขายข่าวมีบุรุษสองคนนั่งมองกลุ่มคนด้านล่างด้วยสายตาเรียบเฉย นิ้วแกร่งหยิบถั่วในจานก่อนจะโยนเข้าปาก หากไม่ได้มาหนานโจวด้วยในคราวนี้ ตนก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงนายท่านเฟยเจ้าของหอขายข่าวที่ยิ่งใหญ่และหอประมูลแห่งนั้นคือสหายผู้นี้ แม้จะรับรู้
“พี่รองน่ะสิเจ้าคะ คะนึงหาพี่เลี่ยงรุ่ยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าและพี่ใหญ่จึงต้องพากันเดินทางมาที่หนานโจว” “ซีเยว่เจ้าล้อพี่เล่นแล้ว” อวี้ลู่เสียนกล่าวด้วยท่าทีเขินอาย จนบุรุษตระกูลเฟินกำมือแน่น “ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ” “เราไปนั่งคุยกันในเหลาแห่งนั้นดีหรือไม่ จะได้คุยไปกินข้าวไป” ในสายตาอวี้ซีเยว่ตอนนี้ พี่ชายซ่างกวนป๋อช่างรู้ใจนาง กินอาหารเลิศรสไปด้วยคุยกันไปด้วยดีที่สุด “เช่นนั้นข้า...” คุณหนูเฟินตั้งใจจะเอ่ยปากแต่โดนอวี้ลู่เสียนเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “เช่นนั้นเราสี่คนรีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ” คำจำกัดจำนว
‘อย่างไรสำหรับพี่ บุรุษก็ต้องมาก่อนนะน้องเล็ก’ พี่สาวอย่างตนไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้จริงๆ เพราะมิเช่นนั้นว่าที่ฟูจวินของนางจะเดือดร้อน แคว้นฉีจินก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่เหตุใดนางถึงได้พบศัตรูบนทางแคบ[1] ด้วยสัญชาตญาณอวี้ซีเยว่รีบจับแขนพี่สาวเอาไว้แน่น เพราะกลัวพี่สาวจะบุกเข้าไปทำร้ายสตรีดอกบัวขาว “มีอันใดหรือซีเยว่” อวี้ลู่เสียนเอ่ยถามน้องสาว เมื่อเห็นนางทำสีหน้าไม่ค่อยดี “มิมีอันใดเจ้าค่ะ เรารีบไปหาอะไรกินในโรงเตี๊ยมทางนั้นเถิดเจ้าค่ะ” “เดินทางรอนแรมจากเมืองหลวงมาไกลมิคาดคิดว่าจะมาเจอคนรู้จักที่หนานโจว” เสียงหวานของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นก
“หากเป็นข้าแต่งเข้าจวนเจ้า เจ้าจะรังเกียจหรือไม่เล่า” คุณชายตระกูลหยางกล่าวทีเล่นทีจริง เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงต่อจากบิดาเท่าใดนัก จึงพยายามรีบเร่งให้บิดาที่บัดนี้ปลดประจำการจากการเป็นแม่ทัพแล้ว มอบน้องชายน้องสาวให้เขาสักสองสามคน “ล้อข้าเล่นแล้ว คุณชายหยางผู้ยิ่งใหญ่เนี่ยนะจะมาชอบสตรีซุกซนที่ยังไม่ปักปิ่นอย่างน้องสาวข้า อีกอย่างคุณสมบัติเจ้าไม่ผ่าน เพราะซื่อจื่อจวนกั๋วกงอย่างเจ้า ไม่มีทางจะเป็นเขยแต่งเข้าจวนผู้ใดได้” “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ” “บุรุษรูปงามทั้งสอง ข้าน้อยยังนั่งอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ เหตุใดถึงได้เอ่ยถึงข้าอย่างไม่คิดเกรงใจเช่นนี้ และหากพวกท่านยังจะกล่าวเรื่องพวกนี้ต่ออีก ข้าจะเป็นฝ่ายออกไปขี่ม้าเองเจ้าค่ะ” น้องน้อยบ่นยืดยาว แก้มเนียนใสป่องขึ้นอย่างแง่งอน สร้างรอยยิ้มให้กับอวี้ลู่เสีย