“ดูเหมือนสตรีชาเขียวนี่จะร้ายกาจกว่าสตรีดอกบัวขาว”
“ใช่เจ้าค่ะ แต่สำหรับข้า ข้าว่าสตรีทั้งสองแบบร้ายกาจพอกัน หากบุรุษผู้นั้นโง่งม มิแคล้วคงพลาดพลั้งคล้อยตามคำพูดของสตรีพวกนั้นจนทำเรื่องไม่ดีมากมาย”
“อืม...โชคดีที่พี่ไม่ใช่บุรุษโง่งมเหล่านั้น”
“ท่านอย่าเพิ่งด่วนออกตัวดีกว่าเจ้าค่ะ ตราบใดที่ท่านยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ท่านมีโอกาสถูกสตรีดอกบัวขาวและสตรีชาเขียวล่อลวงได้”
“เช่นนั้นเจ้าพอจะบอกพี่ได้หรือไม่ว่าในบรรดาคุณหนูพวกนั้น ใครเป็นสตรีดอกบัวขาว สตรีชาเขียวบ้าง พี่ย้ายมาอยู่เมืองหลวงยังอ่อนหัดนัก”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่อยากว่าร้ายใคร ท่านควรสังเกตพวกนางเอาเอง”
“กำลังพูดคุยอันใดอยู่หรือ” อวี้ลู่หมิงที่หลีกหนีจากการถูกบิดามารดาลากไปสนทนากับคนนั้นคนนี้มาได้เอ่ยถาม
“พี่เฟยฉีกำลังให้ข้าสอนเรื่องสตรีดอกบัวขาวเจ้าค่ะ”
“เอ่ยถึงสตรีดอกบัวขาว พี่ว่าคุณหนูในเมืองหลวงช่างน่าหวาดกลัว” สายตาที่พวกนางทอดมองเขาแฝงด้วยความต้องการครอบครองอย่างแรงกล้า ทำให้เขารู้สึกขนลุกและอยากหลีกหนีให้ไกล
“เอาล่ะพี่ใหญ่ก็มาแล้ว งานเลี้ยงช่างน่าเบื่อหน่าย ข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ หากใครถามหาท่านช่วยบอกว่าข้าไม่สบายนะเจ้าคะ”
“อืม ไปเถิด พี่จะช่วยกล่าวแทนเจ้าให้” อวี้ลู่หมิงที่รู้ดีว่าสตรีซุกซนและใสซื่อบริสุทธิ์อย่างน้องสาวไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความเสแสร้งแกล้งสร้างภาพลักษณ์ดีงามเหล่านี้
“อีกกี่เดือนซีเยว่จะปักปิ่นหรือ”
“น่าจะราวๆ แปดเดือน เจ้าถามทำไม”
“มันคือเวลาที่เจ้าควรเตรียมพร้อม เพราะเท่าที่ข้าสังเกต มีบุรุษไม่น้อยที่เฝ้ารอวันที่ซีเยว่ปักปิ่น ข้าเชื่อว่าพอถึงวันนั้นคงมีแม่สื่อมาเยือนจวนอวี้ไม่ขาด”
“เช่นนั้นข้าต้องรีบวางแผนจัดการเรื่องนี้กับท่านพ่อแล้ว” เพราะมัวแต่คิดเรื่องน้องเล็ก อวี้ลู่หมิงจึงไม่ทันได้เห็นแววตาล้ำลึกยากหยั่งถึงของสหาย มุมปากหยักยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ด้านอวี้ลู่เสียนที่ถูกน้องสาวจัดแจงและพยายามผูกด้ายแดงให้กับบุรุษหน้านิ่งผู้นี้ ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ
“ข้าน้อยต้องขออภัยท่านแทนซีเยว่ด้วย ที่ชอบไปรบกวนท่านผู้ตรวจการโจว หากท่านมีเรื่องอันใดอยากไปทำก็เชิญเถิดเจ้าค่ะ” แม้จะรู้สึกเขินอายอยู่บ้างแต่นางก็ไม่ชอบที่จะฝืนใจใคร แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน
“เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้าไม่รู้จะไปพูดคุยกับใครเช่นกัน เรื่องวันนั้นข้าต้องขอบคุณพวกเจ้าที่เข้าช่วยเหลือข้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่ได้มานั่งตรงหน้าเจ้าในวันนี้”
“แล้วแผลท่านหายดีแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“หายดีแล้ว ท่านหมอกล่าวให้ข้ารู้สึกขอบคุณคนที่ทำแผลให้ก่อนที่ท่านหมอจะมาตรวจ มิเช่นนั้นอาจจะทำให้ข้าไข้ขึ้นไปหลายวัน”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าพอจะทำได้เท่านั้น”
“เจ้าช่างแตกต่างจากคำเล่าลือ”
“คำเล่าลือเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้ารู้ดีว่าคนทุกคนมักจะตกเป็นคนเลวร้ายในเรื่องเล่าของผู้อื่น”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่เกินจริง” โจวเลี่ยงรุ่ยกล่าวอย่างเห็นด้วยเนื่องจากบางคราเขาก็กลายเป็นคนไม่ดีในสายตาชาวเมืองที่เห็นแต่ด้านดีๆ ของนายอำเภอหรือเจ้าเมือง ทำให้บางครั้งเขาที่ต้องรับหน้าที่ไปตรวจมักจะถูกชาวบ้านว่าร้ายอยู่บ่อยครั้ง
“แต่ก็ไม่แน่เจ้าค่ะ บางทีข้าอาจจะเป็นเช่นที่เขาเล่าลือก็ได้”
“เช่นนั้นข้าก็คงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง” ผู้ตรวจการหนุ่มกล่าวเสียงเบา
“ท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ”
“มิมีอันใด เจ้าชอบขนมนี่หรือ ข้าเห็นกินไม่หยุดเลย” เขาเปลี่ยนบทสนทนา
“เจ้าค่ะ รสชาติดีไม่น้อย”
“อืม” เขาจะจำไว้ว่านางชอบขนมหนวดมังกร
ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้และอิจฉาริษยา
คุณหนูผู้ใดบ้างไม่รู้ว่า ‘โจวเลี่ยงรุ่ย’ ผู้นี้ เป็นหนึ่งในยอดบุรุษแห่งเมืองหลวง อยากริษยาข้าก็เชิญตามสบาย
“ตามแต่ท่านต้องการเจ้าค่ะ แต่ขอยกเว้นชีวิตและเงินทองเจ้าค่ะ ข้าค่อนข้างยากจน ทุกวันนี้อยู่ดีกินดีเพราะบิดามารดา” นางกล่าวจบก็กลับมานั่งตัวตรงพร้อมกับหลุบตาลงเล็กน้อยให้ดูน่าเอ็นดูกึ่งน่าสงสาร “ท่านผู้ตรวจการโจว เย็นนี้ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ขอรับ” เมื่อมีคนเสนอค่าตอบแทนให้ คุณชายหยางเช่นเขามีหรือจะไม่รับไว้ ในเมื่อค่าตอบแทนที่เขาต้องการมันช่างหอมหวานยิ่ง... “ข้าไม่ได้มีงานสำคัญใด ท่านมีอันใดหรือไม่” ขุนนางหนุ่มเอ่ยถามบุรุษผู้ที่มีอายุน้อยกว่า “เย็นนี้ข้าอยากจะเชิญท่านมารับมื้อเย็นที่จวนที่พวกข้าพักอาศัย อาจจะมีการจิบสุราบ้างเล็กน้อยเพื่อสร้างความคุ้นเคยกัน” หยางเฟยฉีกล่าวจบก็เหลือบมองสหายตน&nb
“ใช่ เขากล่าวว่าอย่างไรก็ไม่แต่ง เพราะตัวเขานั้นรักฮูหยินมาก สุดท้ายคนแบกความอับอายจึงเป็นคุณหนูเฟินที่บุรุษหลายคนในงานได้เห็นนางในสภาพเช่นนั้น ทั้งยังถูกบุรุษปฏิเสธไม่รับผิดชอบอีก” “ข้าเพิ่งรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย แล้วการที่นางตกน้ำเป็นฝีมือใครหรือเจ้าคะ” เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเวรกรรมกำลังตามทันสตรีผู้นั้น “ไม่ทราบ คุณหนูเฟินก็บอกไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใคร เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว” ‘ก็คงไปสร้างศัตรูเอาไว้มาก เลยมีคนมาเอาคืน’ “เจ้าอยากกินอะไรเพิ่มหรือไม่ พี่จะสั่งให้” สิ้นเสียงของรองเจ้ากรมยุติธรรม ก็มีบุรุษสองคนเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามา “มิรบกวนท่านรอ
14 ว่าที่น้องเขยของอวี้ลู่หมิง ด้านบนของหอขายข่าวมีบุรุษสองคนนั่งมองกลุ่มคนด้านล่างด้วยสายตาเรียบเฉย นิ้วแกร่งหยิบถั่วในจานก่อนจะโยนเข้าปาก หากไม่ได้มาหนานโจวด้วยในคราวนี้ ตนก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงนายท่านเฟยเจ้าของหอขายข่าวที่ยิ่งใหญ่และหอประมูลแห่งนั้นคือสหายผู้นี้ แม้จะรับรู้
“พี่รองน่ะสิเจ้าคะ คะนึงหาพี่เลี่ยงรุ่ยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าและพี่ใหญ่จึงต้องพากันเดินทางมาที่หนานโจว” “ซีเยว่เจ้าล้อพี่เล่นแล้ว” อวี้ลู่เสียนกล่าวด้วยท่าทีเขินอาย จนบุรุษตระกูลเฟินกำมือแน่น “ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ” “เราไปนั่งคุยกันในเหลาแห่งนั้นดีหรือไม่ จะได้คุยไปกินข้าวไป” ในสายตาอวี้ซีเยว่ตอนนี้ พี่ชายซ่างกวนป๋อช่างรู้ใจนาง กินอาหารเลิศรสไปด้วยคุยกันไปด้วยดีที่สุด “เช่นนั้นข้า...” คุณหนูเฟินตั้งใจจะเอ่ยปากแต่โดนอวี้ลู่เสียนเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “เช่นนั้นเราสี่คนรีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ” คำจำกัดจำนว
‘อย่างไรสำหรับพี่ บุรุษก็ต้องมาก่อนนะน้องเล็ก’ พี่สาวอย่างตนไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้จริงๆ เพราะมิเช่นนั้นว่าที่ฟูจวินของนางจะเดือดร้อน แคว้นฉีจินก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่เหตุใดนางถึงได้พบศัตรูบนทางแคบ[1] ด้วยสัญชาตญาณอวี้ซีเยว่รีบจับแขนพี่สาวเอาไว้แน่น เพราะกลัวพี่สาวจะบุกเข้าไปทำร้ายสตรีดอกบัวขาว “มีอันใดหรือซีเยว่” อวี้ลู่เสียนเอ่ยถามน้องสาว เมื่อเห็นนางทำสีหน้าไม่ค่อยดี “มิมีอันใดเจ้าค่ะ เรารีบไปหาอะไรกินในโรงเตี๊ยมทางนั้นเถิดเจ้าค่ะ” “เดินทางรอนแรมจากเมืองหลวงมาไกลมิคาดคิดว่าจะมาเจอคนรู้จักที่หนานโจว” เสียงหวานของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นก
“หากเป็นข้าแต่งเข้าจวนเจ้า เจ้าจะรังเกียจหรือไม่เล่า” คุณชายตระกูลหยางกล่าวทีเล่นทีจริง เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงต่อจากบิดาเท่าใดนัก จึงพยายามรีบเร่งให้บิดาที่บัดนี้ปลดประจำการจากการเป็นแม่ทัพแล้ว มอบน้องชายน้องสาวให้เขาสักสองสามคน “ล้อข้าเล่นแล้ว คุณชายหยางผู้ยิ่งใหญ่เนี่ยนะจะมาชอบสตรีซุกซนที่ยังไม่ปักปิ่นอย่างน้องสาวข้า อีกอย่างคุณสมบัติเจ้าไม่ผ่าน เพราะซื่อจื่อจวนกั๋วกงอย่างเจ้า ไม่มีทางจะเป็นเขยแต่งเข้าจวนผู้ใดได้” “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ” “บุรุษรูปงามทั้งสอง ข้าน้อยยังนั่งอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ เหตุใดถึงได้เอ่ยถึงข้าอย่างไม่คิดเกรงใจเช่นนี้ และหากพวกท่านยังจะกล่าวเรื่องพวกนี้ต่ออีก ข้าจะเป็นฝ่ายออกไปขี่ม้าเองเจ้าค่ะ” น้องน้อยบ่นยืดยาว แก้มเนียนใสป่องขึ้นอย่างแง่งอน สร้างรอยยิ้มให้กับอวี้ลู่เสีย