LOGINขวัญนรีที่กำลังช่วยทำกิจกรรมคณะอยู่ สาวเจ้าแหงนมองดูนาฬิกาที่ติดผนังถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“เอาละเด็ก ๆ วันนี้พอกันแค่นี้ก่อนจ้ะ” เสียงหวานของรุ่นพี่คนสวยเอ่ยแจ้งขึ้นทำเอาทุกคนถึงกับพึงพอใจเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น
เพราะตัวของเธอกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ ต่างก็อยู่ช่วยงานตั้งแต่ตอนฟ้ายังสว่างอยู่จวบจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าและตกดินไป
“โห่ เกือบสามทุ่มเลย” หนึ่งในบรรดารุ่นพี่เอ่ยโพล่งขึ้นมา
ร่างเล็กบอบบางจึงยกโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอนั้นกำลังบ่งบอกเวลา 20:40 น.
“ไปกันเถอะขวัญ”
ใบหน้าสวยน่ารักเงยขึ้นและมองไปยังนิราที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว สาวเจ้าค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย นิรณาที่เห็นว่าคนตัวเล็กกว่าพร้อมแล้วจึงเริ่มก้าวเดินนำไป โดยมีขวัญนรีเดินตามหลังมาติด ๆ
ทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ที่หน้ารถหรูของสาวฮอตสุดเซ็กซี่ มือเรียวจับไปที่ประตูและเปิดมันออก ดวงตาคู่สวยหันมามองเพื่อนตัวเล็กที่ยังคงยืนแน่นิ่ง ไร้การเคลื่อนไหว
“ขึ้นรถสิยายคนน่ารัก ฉันจะไปส่ง”
“เอ่อ… ไม่เป็นไร เราเกรงใจน่ะ”
“เกรงใจอะไรกัน” นิราส่ายหน้าไปมาเบา ๆ ก่อนจะบุ้ยปากไปทางประตูรถอีกฝั่ง แต่คนน่ารักที่ดื้อดึงยังคงยืนนิ่งไม่เปลี่ยน
“ก็บ้านนิราอยู่ทางตรงกันข้ามกับหอพักเรานี่”
“ไม่เป็นไร ฉันไปส่ง…”
ยังไม่ทันที่เจ้าหล่อนจะได้พูดจบประโยค เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นนิรณาจึงต้องจำใจกดรับสายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ฮัลโหล โทร.มามีอะไร” เสียงเล็กน่ารักเอ่ยถามกับปลายสาย ขวัญสังเกตเห็นความหงุดหงิดเล็ก ๆ บนใบหน้าสวยของนิรา
“…”
“เฮ้อ วุ่นวายจริง ๆ เลย” เธอยังคงบ่นออกมาอย่างเบื่อหน่าย ดวงตากลมโตของสาวน้อยจึงทำเพียงแค่มองดูเพื่อนสาวตน
“…”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ” เอ่ยจบ เรียวนิ้วขาวก็ชิงกดตัดสายในทันที นิรณาหันความสนใจมาที่ขวัญนรีอีกครั้ง
“ฉันคงไปส่งเธอไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรเลย” คนตัวเล็กรีบพยักหน้าเข้าใจ
“ฉันต้องรีบไปจัดการไอ้น้องตัวดีน่ะ”
“โอเค เธอไปเถอะ เราเดินเท้าแป๊บเดียวก็ถึง”
“หรือฉันจะแวะไปส่งเธอก่อนดีนะ…” นิราเอ่ยพลางครุ่นคิดอย่างหนัก ขวัญที่เห็นจึงรีบโบกไม้โบกมือขึ้นปฏิเสธในทันที
“ไม่ต้องเลย รีบไปหาน้องตัวแสบซะสิ”
“ก็ได้ ฉันจะโทร.เรียกตรี ให้เขาเดินไปเป็นเพื่อนเธอ”
“อย่าเลยนะ ตรีเองก็คงยุ่ง ๆ อยู่แหละ”
“แล้วนี่…คิดจะกลับคนเดียวเหรอ” นิราเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ เมื่อเพื่อนสาวตัวเล็กยังคงไม่ยอมรับเอาความหวังดีจากเธอ
“เราโอเค เดินแป๊บ ๆ ก็ถึงแล้ว”
“เฮ้อ เอาตามนั้นก็ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ”
“จ้ะ เดินทางปลอดภัยมายเฟรนด์~”
เมื่อเห็นว่านิราได้บึ่งรถออกไปแล้ว ขาเรียวจึงก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยเพื่อจะกลับหอพัก
“คืนนี้มืดสนิทจนน่ากลัวเลย…” ปากอวบอิ่มพึมพำเบา ๆ
“ฉันคงต้องเปิดไฟฉายสินะ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น มือขาวจึงรีบกดปุ่มไฟส่องสว่างจากโทรศัพท์ ถึงแม้ว่าจะช่วยได้ไม่มากเท่าไร แต่ก็พอช่วยให้เธอได้อุ่นใจ
“โอเค ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
และในขณะที่เธอกำลังเดินเข้าซอยเล็ก ๆ ที่รอบบริเวณยังคงมืดสลัวอยู่นั้น ขวัญนรีรับรู้ได้ถึงฝีเท้าที่ก้าวตามหลังเธอมา…
‘อะไรเนี่ย… หวังว่าจะไม่ใช่กุ๊กกุ๊กกู๋นะ แต่ถ้าเป็นคน… ก็น่ากลัวไม่ต่างกัน เพราะสิ่งลี้ลับยังน่ากลัวน้อยกว่าอีก แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ… ทำไมฉันต้องเจอแต่อะไรที่น่ากลัวแบบนี้ด้วย!”
หญิงสาวกล่าวในใจอย่างหดหู่และดูสิ้นหวัง มือเรียวขาวกำเครื่องมือสื่อสารยี่ห้อหรูราคาแพง เอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว ประหม่า ทุกข์ใจ ท้อใจ และเศร้าใจ
ในขณะเดียวกัน…
ร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์เร่งฝีเท้าจนเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ คนตัวเล็กที่รู้สึกตัวจึงรีบกดโทร.ออกหาคนที่เธอกำลังนึกถึงในขณะนี้ เป็นคนที่คอยวนเวียนอยู่ใกล้และอยู่ในหัวใจ
“รับสิคะ พี่เรน…”
ดวงตากลมโตจ้องมองหน้าจอมือถือไม่วางตาด้วยความร้อนรนใจ ปากอวบอิ่มเริ่มขบเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นเส้นตรง
เมื่อเห็นว่า… ไม่มีการตอบรับจากปลายสาย
ขาเรียวรีบออกวิ่งในทันที ในตอนนี้ที่ความกลัวได้เข้าครอบงำ ร่างบางนั้นคิดอะไรไม่ออก ขวัญนรีเพียงทำตามสัญชาตญาณ
และในขณะเดียวกัน…
หนุ่มโรคจิตที่เห็นจึงรีบวิ่งตามหลังเธอมาติด ๆ สองร่างที่อยู่ภายในตรอกซอกซอยเริ่มเล่นเกมไล่ล่ากันอย่างดุเดือด…
และคงเป็นคราวซวยของเธอ ที่บริเวณรอบ ๆ ไร้ซึ่งบ้านเรือน ขวัญนรียังคงวิ่งต่อไปเท่าที่จะทำได้ เมื่ออีกฝ่ายกำลังใกล้เข้ามาจนเกือบประชิด เปลือกตาเนียนจึงปิดลงพลางนึกไปถึง…
‘พี่เรน… ขวัญคงไม่รอดและไม่มีโอกาสไปสารภาพความรู้สึกกับพี่แล้ว… เรื่องระหว่างเราจะจบลงจริง ๆ เหรอ… พี่เรน…’
ร่างเล็กที่กำลังคร่ำครวญตัดพ้ออยู่ในใจ และอีกร่างที่เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น เพียงแค่เอื้อมมือเขาก็จะได้จบเกมล่าในครั้งนี้
“หยุดวิ่งซะ ยังไงเธอก็ไม่รอดอยู่แล้ว”
…เมื่อความกลัวเริ่มกัดกินหัวใจ ฉับพลันหยาดหยดสีใสก็ได้ไหลทะลักล้นออกมาจากดวงตาคู่สวยที่ยังคงปิดเปลือกตาอยู่
ขวัญนรีวิ่งด้วยความเร็วที่ลดลงเรื่อย ๆ ด้วยความล้าและทุกข์ทรมานใจดวงน้อย ๆ และในวินาทีที่เธอเริ่มจะยอมแพ้นั้น…
นัยน์ตาสีน้ำตาลสุกใสค่อย ๆ เปิดขึ้นเมื่อรับรู้ว่าเจ้าหล่อนนั้นได้ชนเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งของใครบางคน ราวกับ เดจาวู
และเป็นขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มโรคจิตร้องโวย…
“เหี้ย! ผะ…ผะ…ผะ ผีหลอก!”
ร่างบางที่ได้ยินดังนั้นถึงกับงุนงงก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อโดนฝ่ามือใหญ่ลูบไปที่ศีรษะสวยของเธอราวกับกำลังปลอบประโลม
“…”
ดวงตากลมโตค่อย ๆ ไล่สายตาขึ้นไปมอง จากอกผายขึ้นไปที่ลำคอ จนกระทั่งมาถึงบริเวณใบหน้าของชายหนุ่มที่โผล่มา…
“…”
ขวัญนรีถึงกับนิ่งค้างเพราะช็อกตกใจและตื่นตระหนก เธอเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นกรอบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยและติดอยู่ในใจ
…โครงหน้าหล่อมีเสน่ห์ของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง
“พะ…พี่เรน…” เธอเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ
ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้กำลังอาบย้อมไปด้วยเลือด สีผิวซีดเซียวราวกับไม่ใช่คนปกติทั่วไป สาวน้อยรีบผละตัวออกก่อนจะค่อย ๆ หมดสติ โดยมีวงแขนแข็งแรงกอดรับตัวเธอไว้อยู่
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง…
ร่างเพรียวระหงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะกะพริบเพื่อปรับการมองเห็น และภาพที่ปรากฏทำเอาเจ้าหล่อนถึงกับงุนงง เพราะเธอกำลังนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา…
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ” เสียงนุ่มละมุนหูของคุณนายวัลย์เอ่ยทักขึ้นพร้อมกับมองมาด้วยแววตาที่อ่อนโยนจนตัวขวัญนรีสัมผัสได้
“ที่นี่… ที่ไหนเหรอคะ?”
ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันความสนใจมาที่หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของห้องอย่างคุณนายปฐมาวัลย์
“ห้องพักผ่อนสำรองของป้าเอง”
“แล้วหนูมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงคะ” ขวัญถามออกมาด้วยความสงสัยแคลงใจทำเอาฝ่ายคนฟังถึงกับนิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดตอบ
“…”
“ใช่! พี่เรนล่ะคะ พี่เรนไปไหนแล้ว ขวัญจำได้ว่ามีคนโรคจิตวิ่งตามมา และพี่เขาก็โผล่ไปตรงนั้น พี่เขาไปช่วยหนูค่ะคุณป้า”
“…”
“ทำไมถึงเงียบล่ะคะ หนูเป็นห่วงพี่เรนนะคะ” เสียงใสเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งพลางจ้องมองมาที่หญิงวัยกลางคนอย่างรอคำตอบ
“ใจเย็น ๆ ก่อนจ้ะ แล้วก็… ทำใจดี ๆ ไว้นะหนู”
ทันทีที่เอ่ยจบ เรียวนิ้วยาวก็ได้ชี้ไปทางจุดที่เป็นหิ้งสูง…
สายตาคู่สวยไล่มองตามไปก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อสิ่งที่เธอได้เห็น เป็นสิ่งที่หญิงสาวอย่างขวัญนรีไม่เคยคาดคิดมาก่อน…
…กรอบรูปขนาดพอดีที่ภายในมีภาพใบหน้าหล่อของหนุ่มรุ่นพี่ ข้างกันมีโกฐกระดูกเถ้าอัฐิวางใกล้ ๆ พร้อมกับกระถางธูป
“ปะ…เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้… พี่เขายังไปช่วยหนูอยู่เลย คุณป้าอย่าล้อเล่นแบบนี้สิคะ หนูไม่ตลกด้วยนะคะ ทำไมถึงเป็น…” สาวเจ้าเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะยอมรับความจริง ใบหน้าสวยซีดลงอย่างเห็นได้ชัดบ่งบอกว่าเธอช็อกตกใจอย่างหนัก
“ไม่! ไม่จริง… ที่ผ่านมาขวัญยังได้คุย ได้เจอ ได้ใช้เวลากับพี่เขาอยู่เลย มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ บอกขวัญสิคะ…ว่าไม่จริง” เสียงใสพึมพำกับตัวเอง เจ้าหล่อนยังคงรับความจริงไม่ไหว
“ป้าก็ไม่รู้หรอก… ว่าทำไมหนูถึงเห็นเรน” เสียงนุ่มหูเอ่ยบอก แววตาคู่อ่อนโยนมองดูเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างห่วงใย
“…”
“เขาจากไปได้ห้าปีแล้วลูก เรน…จากไปนานมากแล้ว”
แม้จะไม่อยากพูดรื้อฟื้นการจากไปของลูกชาย แต่เมื่อเห็นว่าสาวน้อยผู้น่ารักต้องการคำยืนยัน จึงจำใจเอ่ยอธิบายออกมา
“แล้วพี่เรน… เป็นอะไรคะ…” ขวัญที่รู้ว่าตัวเธอกำลังปกป้องความรู้สึกตัวเองจนไม่รับฟังอะไรจึงค่อย ๆ ตั้งสติและเอ่ยถาม
“วันนั้น… เขากลับมาจากมหาลัยและเห็นว่าแมวน้อย ตัวหนึ่งกำลังจะข้ามถนน ฉัตรธรเลยรีบวิ่งไปช่วยมัน แต่ทว่า… ดันมีรถที่ขับมาด้วยความเร็ว สุดท้าย… เขาก็ช่วยลูกแมวได้สำเร็จ”
“…”
“และแลกมาด้วยร่างที่ไร้วิญญาณของเขาน่ะ” เจ้าของหอที่มีศักดิ์เป็นแม่ของชายหนุ่มได้เอ่ยบอกจนหมดเปลือก ดวงตาคู่สวยสั่นระริกยามเมื่อนึกถึงเหตุการณ์และเรื่องราวใน
วันนั้น…“หมายความว่า… พี่เรนโดนรถชนจนตาย…” ร่างบางยังคงช็อกอยู่ เธอพูดออกมาอย่างช้า ๆ ราวกับจะย้ำความเข้าใจ
“ใช่แล้วลูก ฉัตรธร… ถูกชนและเสียชีวิตคาที่เลย”
“…”
“ถึงป้าจะเสียใจมากแค่ไหนที่เรนตัดสินใจทำแบบนั้น แต่ป้าก็คอยเลี้ยงแมวตัวนั้นต่อ เพราะมันแลกมาด้วยชีวิตลูกชายป้า”
ขวัญนรีที่ได้ฟังถึงกับจุกอยู่ภายในอก ร่างบางหวนคิดไปถึงทุกช่วงเวลาที่เธอและหนุ่มรุ่นพี่ได้ใช้ร่วมกัน ดวงตากลมโตเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส ซึ่งฝ่ายคนที่มองดูอย่างคุณนายวัลย์เองก็รู้สึกอยากร้องไห้ระบายความเสียใจเช่นเดียว ไม่ต่างกัน
หลังจากที่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่กินด้วยกันมาหลายเดือน ในที่สุดขวัญนรีก็กำลังตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่เก้าไปเสียแล้ว และคนที่ดูจะภูมิอกภูมิใจแลดูมีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นว่าที่คุณพ่ออย่างฉัตรธรนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ร่างสูงกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องคลอดอย่างใจจดใจจ่อ มือหนาชื้นเหงื่อกำเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่าหลัง จากที่หญิงสาวผู้เป็นที่รักและสิ่งมีชีวิตตัวน้อยภายในครรภ์ได้เข้าสู่กระบวนการสำคัญของแม่และเด็ก “ขอให้ปลอดภัย” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำเบา ๆ ขายาวลุกขึ้นก่อนจะก้าวเดินไปมาอย่างอยู่ไม่สุข ทำเอาผู้เป็นแม่อย่างคุณนายปฐมาวัลย์ถึงกับเริ่มจะวิงเวียนศีรษะจากการกระทำของลูกชาย “ใจเย็นหน่อยจ้ะ คุณพ่อ” เสียงนุ่มละมุนหูเอ่ยเตือนสติอีกฝ่าย เมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ เรนจึงค่อย ๆ สงบลง ทว่าภายในใจเขานั้นกำลังกระวนกระวายเพราะเป็นห่วงคนที่ยังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้น “ผม… เป็นห่วงเมียและลูก” น้ำเสียงที่ฉายชัดถึงแววกังวลเอ่ยบอก หญิงสูงวัยทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
หลังจากที่เข้าห้องหอมาเป็นที่เรียบร้อย สามีหนุ่มหล่อก็จูงมือเจ้าสาวคนสวยมานั่งที่เตียงสีแดงสดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบรูปหัวใจเอาไว้อยู่ ซึ่งคนตัวเล็กก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี “ที่รักครับ พี่ขอไปอาบน้ำก่อนนะ” “ได้ค่ะ เราแกะของขวัญรอได้ไหม?” “ได้สิ เดี๋ยวพี่มาดูด้วยอีกทีนะหนู” เจ้าหล่อนพยักหน้ารับเบา ๆ ชายหนุ่มจึงมุ่งเดินเข้าห้องน้ำไป มือเรียวขาวเอื้อมไปหยิบของขวัญแต่งงานที่ได้จากแขกเหรื่อขึ้นมาแกะดูทีละกล่องด้วยความตื่นเต้นและรอลุ้น “อืม อันนี้ของพี่เขมสินะ” เธอเอ่ยพึมพำและเริ่มเปิดดูของที่อยู่ข้างใน และสิ่งที่ได้เห็นทำเอาขวัญนรีถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย เพราะภายในมีเสื้อผ้าเด็กทารกและของอื่น ๆ อีกหลายอย่างสำหรับลูกน้อย “พี่เขมนะพี่เขม หนูก็เขินเป็นนะ” เสียงใสเอ่ยบ่นพี่สาวอย่างไม่จริงจังมากนะ ก่อนจะหันความสนใจไปที่กล่องสี่เหลี่ยมอันถัดไปที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ “อันนี้จากนิราและตรีนี่นา เปิดเลยดีกว่า” สาวเจ้าไม่รอช้า เธอจัด
วันที่ 1 เดือนเมษายน พุทธศักราช 256x ฤกษ์งามยามดีที่ครอบครัวทั้งสองบ้านนั้น จะได้ปรองดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน เป็นวันที่คู่รักทั้งหลายต่างก็ใฝ่ฝันให้เกิด ขึ้นในชีวิตของพวกเขาในสักครั้ง วันที่จะเป็นเหมือนการประกาศถึงความรักและความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวสามี-ภรรยา ซึ่งฉัตรธรกับขวัญนรีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากที่ทั้งคู่ตกลงคบหาดูใจกันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และวันนี้ก็มาถึง วันที่ทั้งสองจะได้เปิดเผยความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ถูกต้องและเหมาะสม โดยมีสักขีพยานรักรับรู้ เมื่อบรรดาแขกเหรื่อมากันครบแล้ว พิธีแต่งงานจึงเริ่มต้นขึ้นโดยมีผู้เป็นมารดาของหนุ่มสาวทั้งสองฝั่งได้เดินไปจุดเทียนที่แท่นบูชาเพื่อเริ่มพิธีสำคัญนี้ หลังจากจุดเทียนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย วงดนตรีค่อย ๆ บรรเลงเพลงเพื่อต้อนรับการมาของเจ้าสาว เสียงเพลงเคล้าดนตรีที่นุ่มละมุนหูดังคลอไปทั่วทั้งบริเวณ ประกอบไปด้วยเสียงจากเปียโน ไวโอลิน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ที่เสียงไม่ดังโฉ่งฉ่างนัก ร่างเพรียวระหงที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวลวดลายลูกไม้ห
ห้าสิบปีผ่านไป… จากที่เคยเป็นสาวสวยร่างกายก็เปลี่ยนไปตามอายุและวัย ผมที่เคยสีน้ำตาลสวยบัดนี้ได้แปรผันไปเป็นสีขาวหงอก ผิวหนังที่เคยเต่งตึงก็เริ่มเหี่ยวย่นมากขึ้น ดวงตาคู่สวยเริ่มฝ้าฟางจ้องมองไปยังเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่นอนนิ่งอยู่บนตัก ขวัญนรีได้ผ่านช่วงเวลาอันยาวนานและมีชีวิตต่อมาอย่างสงบสุข เธอไม่ได้พบรักหรือว่าแต่งงาน เพียงแต่หลังจากเรียนจบเธอก็ทำอาชีพสุจริตและรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรมกระทั่งที่อีกฝ่ายได้คลอดลูกน้อยออกมาจนได้ สิบสองขวบเสียแล้ว “คุณยายคะ ช่วยเล่าเรื่องรักแรกหรือความรักของคุณยายให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ หนูไม่เคยเห็นผู้ชายที่ยายรักเลยค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย พลางจ้องมองไปยังมืออันอบอุ่นที่คอยลูบศีรษะอยู่ “อืม อันที่จริงก็มีอยู่คนหนึ่งนะหลาน” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกพลางนึกไปถึงใบหน้าหล่อใสของชายผู้เป็นที่รักและเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป แม้จะเลือนรางไม่เท่าเมื่อก่อน แต่ขวัญนรียังคงจดจำฉัตรธรได้ “โอ้โฮ รักที่มั่
ฉัตรธรเปิดประตูให้คนตัวเล็กได้เข้าไปภายใน ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนอกสนใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่ขวัญนรีได้ก้าวเข้ามาในอาณาเขตของอีกฝ่าย “ดอกกุหลาบนั่นมันอะไรกัน?” เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาเมื่อสังเกตเห็นดอกไม้ในมือเรียวขาวของคนตัวเล็กที่ยังตื่นเต้นกับการสำรวจห้องของเขาอยู่ “อ้อ เกือบลืมไปเลยแน่ะ” “หือ? ลืมอะไรครับ” “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะคะ คุณผีที่รัก” เธอว่าออกมายิ้ม ๆ พร้อมกับยื่นกุหลาบขาวแทนใจส่งมาให้ ชายหนุ่มจึงรับเอาไว้ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ เบา ๆ “ขอบคุณนะครับ” “ด้วยความรักค่ะ” “ต้องด้วยความยินดีสิ” “คิกคิก ก็มันจริงนี่นา” ทั้งสองมองสบประสานกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะก้มลงต่ำและโฟกัสไปที่พื้นแทน “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” “พี่อยู่ได้ถึงพรุ่งนี้นะหนู” ประโยคที่ออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงค้าง ขวัญรู้ดีว่าในสักวันหนึ่งเร
และแล้วก็มาถึง… วันที่เหล่าคนโสดนั้นแสนจะเกลียดและขยาด นั่นก็คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์นั่นเอง สองสาวเพื่อนรักที่กำลังนั่งอยู่ที่จุดชมวิวของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ในขณะที่กำลังรอตรีวิทย์เดินทางมาอยู่นั้น “เธอจะชวนฉันมาทำไม?” นิราเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตัวเล็ก ขวัญจึงยิ้มบาง ๆ ออกมา และเหตุผลที่ทั้งคู่กำลังอยู่ที่นี่ก็คือ เพื่อนชายเพียงคนเดียวในกลุ่มอย่างตรี ได้เอ่ยชวนเธอมาเที่ยว แต่ด้วยความที่รู้ดีว่านิรณาเองก็แอบมีใจให้อีกฝ่ายเลยชักชวนมาด้วยกัน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะกลัวว่าขวัญจะปฏิเสธ “ก็… เรารู้นะว่าเธอชอบตรี” “ใช่แล้ว แต่ฉันก็นกนั่นแหละ” ใบหน้าสวยของเจ้าหล่อนเริ่มเศร้าสร้อยเมื่อหวนนึกไปถึงคนที่ตนเองแอบชอบ แค่คิดก็ทำเอาเจ็บจนจุก เพราะตรีวิทย์ไม่เคยเหลียวแลนิรณามากกว่าเพื่อนเลย “อย่าเพิ่งท้อสิ ลองดูก่อนนะ” ขวัญเอ่ยอย่างให้กำลังใจพร้อมกับบีบมือเพื่อนสาวเบา ๆ นิราจึงยิ้มรับอย่างขมขื่น และเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มมาถึ







