Masukเมื่อความรักพังทลายเพราะการทรยศ นางเอกตายอย่างโดดเดี่ยว…เธอต้องเสียลูก ถูกสามีนอกใจ แต่สวรรค์ให้โอกาสเธอย้อนเวลากลับมา เพื่อแก้ไขอดีต ปกป้องลูก และพิสูจน์ว่าครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมเสียทุกอย่างไปอีก
Lihat lebih banyakเช้าวันนี้เป็นวันที่คะนึงนิจรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ เธอตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างและรีบออกไปจ่ายตลาดสดใกล้บ้านด้วยใจเบิกบาน ตั้งใจจะทำอาหารโปรดไว้ต้อนรับลูกชายสุดที่รัก เพราะวันพรุ่งนี้เขานัดว่าจะมาเยี่ยม แถมยังพาภรรยาและลูกชายตัวน้อยมาด้วย เพียงคิดถึงภาพการกลับมาพบกัน หัวใจของเธอก็อบอุ่นและตื้นตัน...เธอไม่ได้เจอลูกมานานเกือบสองเดือนแล้ว
ภาคินทร์ ลูกชายคนเดียวของเธอ เวลานี้ทำงานเป็นผู้อำนวยการในบริษัทร่วมทุนเทคโนโลยีระดับโลกแห่งหนึ่ง ภาระหน้าที่มากมายและการเดินทางทั้งในและต่างประเทศทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขามักจะหาโอกาสกลับมาหาแม่เสมอ เพื่อได้พูดคุยและนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันอย่างเรียบง่าย
ห้าปีก่อน ภาคินทร์แต่งงานกับภาวิณี หญิงสาวที่คบหาดูใจกันมานานถึงห้าปี วันแต่งงานของลูก คะนึงนิจยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกว่าหน้าที่ของความเป็นแม่ได้ถูกเติมเต็ม เหมือนได้ส่งลูกชายขึ้นฝั่งอย่างสง่างาม
หนึ่งปีให้หลัง เธอก็ได้รับข่าวดีอีกครั้ง เมื่อลูกสะใภ้คลอดลูกชายที่แข็งแรงสมบูรณ์ คะนึงนิจย้ายไปอยู่ด้วยเพื่อช่วยเลี้ยงดูจนหลานอายุครบสามขวบและถึงวัยเข้าโรงเรียนอนุบาล เธอผูกพันกับหลานน้อยอย่างสุดหัวใจ แต่ด้วยความเคยชินกับบ้านหลังเดิมที่มีสนามหญ้าและพื้นที่ให้ทำกิจกรรม เธอจึงตัดสินใจกลับมาอยู่ทาวน์เฮาส์ที่เคยใช้ชีวิตกับลูกชายมานานกว่ายี่สิบปี
นับแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ภาคินทร์มีวันหยุด เขาจะพาภรรยาและลูกชายมาเยี่ยมเสมอ ทุกมื้ออาหารที่ได้ล้อมวงกัน เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่โอบล้อมหัวใจของผู้เป็นแม่
คะนึงนิจยิ้มทักทายเพื่อนบ้านในซอยเดียวกันที่สัญจรไปมา บ้างก็เร่งรีบออกไปทำงานเพื่อหลีกหนีการจราจรที่กำลังจะเริ่มติดขัดในไม่ช้า บ้างก็รีบขับรถไปส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนในเมือง ขณะที่บางคนเลือกเดินออกกำลังกายเบา ๆ ในสวนส่วนกลางเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน
“สวัสดีค่ะพี่นิจ วันนี้จะไปไหนแต่เช้าคะ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งเอ่ยทัก
“ว่าจะไปจ่ายตลาดสักหน่อย เดี๋ยวของสด โดยเฉพาะอาหารทะเลจะหมดเสียก่อน พรุ่งนี้ลูกชายจะมาหาน่ะ แล้วก็พาเมียกับลูกมาด้วย พี่เลยกะว่าจะทำอาหารทะเลให้ลูกกับหลานได้ทานกัน” คะนึงนิจตอบด้วยรอยยิ้ม
“ดีจังเลยค่ะ ขอให้สนุกนะคะ”
หลังจากทักทายเพื่อนบ้านสองสามรายเสร็จ คะนึงนิจเร่งฝีเท้าไปยังตลาด เลือกซื้อของสดใหม่ ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และอาหารทะเล เพื่อนำมาปรุงเป็นเมนูโปรดของลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายตัวน้อย...ความสุขเรียบง่ายของคนเป็นแม่ ที่ได้ลงมือทำอาหารให้ครอบครัวได้นั่งล้อมวงทานด้วยกันพร้อมหน้า
ตลอดทั้งวัน บ้านหลังเดิมที่อบอุ่นและคุ้นเคยเต็มไปด้วยความชีวิตชีวาของเธอ คะนึงนิจจัดเตรียมอาหารและเครื่องปรุงต่าง ๆ อย่างประณีต เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะสามารถลงมือปรุงอาหารได้ทันที ทันเวลาที่ลูกชายและครอบครัวมาถึง เธอตั้งใจจะเก็บเกี่ยวทุกนาทีแห่งความสุขที่จะได้ใช้ร่วมกัน โดยเฉพาะคราวนี้ ภาคินทร์ลาพักร้อนได้ถึงสองวัน และตั้งใจจะพักค้างคืนที่บ้าน ทำให้เธอปลื้มใจเป็นพิเศษ
เมื่อเตรียมของในครัวเสร็จ เธอก็ขยับมาทำความสะอาดห้องนอนชั้นบน รวมทั้งห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน เพื่อให้ลูกชาย ภรรยา และหลานชายได้พักผ่อนอย่างสะดวกสบาย...ทุกการกระทำล้วนอบอวลไปด้วยความรักและความห่วงใยที่แม่มีให้ลูกเสมอ
ท่ามกลางความเงียบสงบของชานเมืองใกล้กรุงเทพฯ บ้านทาวน์เฮาส์สองชั้นขนาดยี่สิบตารางวาค่อย ๆ มืดลงเมื่อไฟในบ้านถูกปิดทีละดวง เสียงแมลงร้องระงมแข่งกับความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ สวนเล็ก ๆ รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้เขียวขจี แต่กลับให้ความรู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
ขณะก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ร่างของคะนึงนิจพลันทรุดฮวบลงเพราะอาการเจ็บแน่นกลางอก เธอเพิ่งเสร็จจากการจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง กะว่าจะขึ้นไปพักผ่อนในห้องนอนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุขเล็ก ๆ ความสุขที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า...วันพรุ่งนี้แล้วซินะที่เธอจะได้พบหน้าลูกชาย หลานชาย และลูกสะใภ้ เธอเข้าใจว่าพวกเขายุ่งมาก หลานชายกำลังหมกมุ่นกับการเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนดัง ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ติดพันกับภาระงานหนัก
แต่แล้วร่างของเธอก็เริ่มโอนเอน มือที่พยายามเกาะราวบันไดกลับอ่อนแรง หลุดปล่อยทำให้ร่างทั้งร่างร่วงลงกระแทกขั้นบันไดอย่างรวดเร็ว ทว่าภายในห้วงความรู้สึกของเธอกลับเหมือนเป็นการตกลงไปอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดแล่นผ่านทุกส่วนของร่างกาย เลือดซึมออกจากแผลที่ท้ายทอยจนทำให้ตาพร่ามัวและมึนงง
เธอพยายามยันตัวขึ้น แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง โทรศัพท์ถูกลืมไว้ในห้องนอน เธอไม่ใช่คนที่คอยพกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา น้ำตาคลอจนหยดไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ คะนึงนิจรู้สึกเสียใจที่เธอจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกชาย คนที่เธอรักที่สุดในชีวิต ในวันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไปอีกแล้ว
ใจของเธอพลันหวนย้อนคิดถึงชีวิตกว่าสามสิบปีที่ผ่านมา วันที่ต้องฝืนต่อสู้เพียงลำพังโดยไร้ใครเคียงข้าง โดยที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหวังว่าจะมีคู่ชีวิตคอยเดินจูงมือไปด้วยกัน
ก่อนที่เปลือกตาจะค่อย ๆ ปิดลงสู่ความมืดมิดตลอดกาล คะนึงนิจหวนคิดถึงข่าวที่เธอเพิ่งอ่านเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องของแม่ชราผู้จากไปอย่างเดียวดายในบ้าน โดยมีเพียงความเงียบงันรายล้อม เพราะลูก ๆ ต่างต้องไปทำงานในเมืองใหญ่ เธอยังจำได้ว่าตอนนั้นหัวใจของเธอหดหู่และสะท้อนใจยิ่งนัก...สังคมทุกวันนี้ ผู้คนต่างต้องดิ้นรนแสวงหาเงินเพื่อเลี้ยงปากท้องและความก้าวหน้า บางคนจำเป็นต้องห่างไกลครอบครัวเพื่อส่งเงินกลับบ้าน บางคนเลือกละทิ้งบ้านเกิดเพื่อไล่ตามอนาคตที่หวังว่าจะดีขึ้น
ความคิดเหล่านั้นวกกลับมาสู่ตัวเธอเอง คะนึงนิจไม่อยากให้ลูกชายต้องเจ็บปวดหรือเสียใจในวันที่เธอจากไป ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในอดีต ความเสียใจมากมายยิ่งถาถม เธอรู้ดีว่าการตัดสินใจบางอย่างที่เธอทำนั้นทำให้ลูกชายต้องลำบาก หากวันนั้นเธออดทนอีกเพียงเล็กน้อย ลูกก็คงไม่ต้องสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่ควรได้รับจากพ่อของเขา
ใจของเธอเอ่ยภาวนาอย่างเงียบ ๆ วอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดเมตตา มอบโอกาสให้เธอได้แก้ไขความผิดพลาด ให้เวลาเธออีกสักหน่อย...เพื่อจะได้อยู่เคียงข้างและปกป้องลูกน้อยให้นานกว่านี้
ภูวินทร์ลืมตาขึ้น เมื่อเสียงลมแรงพัดกระทบกระจกหน้าต่างดังแผ่ว ๆ ความคิดของเขาถูกดึงกลับจากอดีตอันขมขื่นสู่ปัจจุบัน เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับอยากระบายบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกให้หลุดออกไปกับลมหายใจนั้นชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนของลูกเพื่อดูความเรียบร้อย แสงไฟจากโถงทางเดินลอดผ่านประตูแง้มเข้าไป เผยให้เห็นภาคินทร์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเล็ก ใบหน้าไร้เดียงสาของลูกชายทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของเขาอ่อนยวบลง“ฝันดีนะ...ลูกพ่อ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวลูกให้มิดชิด ก่อนจะปิดประตูห้องอย่างเบามือจากนั้น เดินกลับไปยังห้องนอนใหญ่ของตนกับคะนึงนิจ เสียงน้ำจากฝักบัวดังคลอเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบลง ภูวินทร์เช็ดตัว ลูบผมให้แห้ง แล้วเอนกายลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาคะนึงนิจนอนอยู่ด้านหนึ่งของเตียง แสงไฟสีอบอุ่นจากโคมหัวเตียงอีกฝั่งหนึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าสงบนิ่งยามหลับสนิทของเธอบางส่วน เขามองภาพนั้นนิ่งก่อนจะดับไฟที่โคมหัวเตียงข้างตัว ขยับตัวเข้าใกล้ วาดแขนโอบรอบร่างของภรรยาอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลงช้า ๆคืนนี้ เขายังมีเธออยู่ตรงนี้ มีลูกน้อยที่รอการปกป้องอยู่
ตอนสายของวัน ภูวินทร์เดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ เสียงหัวเราะสดใสของภาคินทร์ดังแว่วออกมาจากมุมห้องนั่งเล่นคะนึงนิจนั่งอยู่บนโซฟา กำลังอ่านนิทานให้ลูกชายฟัง เมื่อเห็นสามีก้าวเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มอ่อนโยนตามเคย“พี่ภูกลับมาแล้วเหรอคะ นิจเป็นห่วงทั้งคืนเลย” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลภูวินทร์หลบสายตา ก่อนฝืนยิ้มตอบจาง ๆ “จ้ะ... เมื่อคืนขอโทษด้วยนะ พอดีดื่มมากไปหน่อย กลัวจะกลับมากวนทั้งนิจกับลูก พี่เลยนอนค้างที่ออฟฟิศ เพราะอยู่ใกล้กับที่จัดเลี้ยง มือถือพี่ก็ดันแบตหมด พี่ไม่ทันดูตอนเผลอหลับไปก่อนจะโทรบอกนิจ”น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อยเหมือนพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ ทว่ามีบางอย่างในแววตาและท่าทางนั้น...ไม่เหมือนเดิม คล้ายคนที่กำลังปิดบังบางสิ่งไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนล้าและคำแก้ตัวที่พยายามอธิบายอย่างเบี่ยงประเด็นเขาพูดพลางย่อตัวลงจูบหน้าผากลูกน้อยเบา ๆ ภาคินทร์ยิ้มกว้าง ก่อนจะโผเข้ากอดคอพ่อแน่นด้วยความดีใจ“นิจก็เป็นห่วงอยู่พอดี โชคดีที่พี่ภูบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีงานเลี้ยง พี่ภูขึ้นไปอาบน้ำก่อนไหมคะ เดี๋ยวนิจเตรียมข้าวเช้าให้”“อืม...พี่ทานมาแล้ว พอดีวิทยามาออฟฟิศแต่เช้า เลย
ภูวินทร์นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน ข้างกายมีขวดวิสกี้วางอยู่ เงาแสงจากโคมไฟสะท้อนบนแก้วที่เหลือวิสกี้อยู่ค่อนแก้ว ใบหน้าของเขาดูนิ่งสงบ แต่แววตาเหม่อลอยคล้ายคนหลงอยู่ในภวังค์เบื้องนอก หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แม้แต่แสงดาว มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาแต้มเงาบางบนพื้นห้องทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะภูวินทร์เอนหลังลงบนโซฟา ปล่อยให้แอลกอฮอล์ไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ๆ ความอุ่นจากของเหลวในลำคอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อยเขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ความคิดค่อย ๆ ลอยย้อนกลับไปทีละน้อย ความทรงจำที่ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึก ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจในอดีตชาติ...“นิจ วันนี้พี่ได้รับรางวัล สตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งปี จากกระทรวงพาณิชย์ด้วยนะ นี่ไง...โล่รางวัลของพี่”ภูวินทร์ในชุดสูทดำเรียบหรูพอดีตัวเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชูโล่รางวัลขึ้นให้ภรรยาสาวดู ดวงตาเปล่งประกายด้วยความดีใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาล้มลุกคลุกคลานไม่น้อยกว่าจะพาบริษัทก้าวมาถึงจุดนี้ได้ วันที่ทุกอย่างเริ่มมั่นคง แล
ภาคินทร์หันซ้ายหันขวาอยู่ในอ้อมแขนของภูวินทร์ เด็กน้อยดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัว สีสันสดใสจากร้านรวงและของตกแต่งดึงดูดสายตาเขาให้หันมองไม่หยุดภูวินทร์อาสาอุ้มลูกเอง เพราะไม่อยากให้ลูกน้อยนั่งรถเข็นอยู่ลำพังโดยมองไม่เห็นพ่อแม่ ถึงลูกจะเริ่มตัวโตและหนักขึ้น แต่ในอ้อมแขนของเขากลับรู้สึกเบาสบาย เขามีความสุขที่ได้อุ้มลูกไว้แนบอก คอยชี้ชวนให้ดูนั่นดูนี่ระหว่างเดินบางครั้ง ภาคินทร์ก็พูดเลียนเสียงพ่อออกมาสั้น ๆ หนึ่งหรือสองพยางค์ เสียงใส ๆ นั้นทำให้ภูวินทร์หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู หัวใจของเขาอิ่มเอมจนพองโตที่ได้ใกล้ชิดลูกในวันนี้“เฮ้ย ภู มาได้ยังไงเนี่ย ฉันก็นึกว่านายเข้าออฟฟิศซะอีก เลยฝากเอกสารไว้กับเลขาฯ นายไปแล้ว”เสียงของวุฒิดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง หญิงสาวที่เดินเคียงข้างมากับเขารีบปล่อยมือที่เกาะแขนชายหนุ่มไว้แทบจะทันที“อ้าว วุฒิ บังเอิญจริง” ภูวินทร์เอ่ยเรียบ ๆ พลางยกคิ้วเล็กน้อย “วันนี้พอดีมีธุระตอนเช้า ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง ก็เลยบอกวิทยาไว้ก่อนว่าไม่เข้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบดูเอกสารให้นะ”“สวัสดีครับ นิจ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” วุฒิหันมาทักคะนึงนิจด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง“สวัสดี





