เมื่อถึงแผงขายที่จองไว้ พิริยารีบจัดแจงปูเสื่อผืนใหญ่และดึงเสื้อผ้าที่จะขายทั้งหมดออกมาวางเรียงไว้บนเสื่อแยกเป็นกอง ๆ ตามประเภท แล้วเธอยังตั้งราวแขวนผ้าอีกหนึ่งราว ไว้แขวนโชว์ให้สะดุดตาคน
เธอกำหนดราคาขายให้ต่ำกว่าทั่วไปเล็กน้อยด้วยต้องการให้ขายออกไว เสื้อยืดอยู่ที่ 35 บาท เสื้อผ้าฝ้ายอยู่ที่ 45 บาท กางเกงสกินนี่และกางเกงยีนเอวสูงอยู่ที่ 75 บาท
“พี่ลองใส่ได้นะคะ หนูเตรียมผ้าถุงไว้ให้เผื่ออยากถอด กระจกแขวนอยู่ตรงราวผ้านะคะ”
“ขอบใจจ้ะน้อง สงสัยจะได้หลายตัว แบบและสีถูกใจมาก ๆ ราคาก็ไม่แพงด้วย แต่ถ้าซื้อหลายตัว น้องช่วยลดราคาให้อีกหน่อยได้ไหมคะ” ถึงจะเอ่ยปากว่าราคาไม่แพง แต่ตามวิสัยของคนก็อดไม่ได้ที่จะขอลดราคาอยู่ดี
“ถ้าพี่อุดหนุนเยอะหนูลดให้แน่นอนค่ะ แล้วก็เป็นลูกค้ารายแรกด้วย หนูจะลดให้เยอะเป็นพิเศษ” พิริยาเอ่ยปากอย่างใจกว้าง
แล้ววันนี้ พิริยาจึงมียอดเปิดบิลที่อู้ฟู่ถึงหกร้อยบาท ยอดเงินนี้ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าพลังใจในการมีชีวิตอยู่ได้เพิ่มขึ้นมาทีละน้อยแล้ว
เมื่อเปิดบิลแรกได้ ลูกค้าก็เริ่มทยอยเข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้าดั่งสายน้ำหลาก บางครั้งถึงกับรุมเบียดกันที่หน้าร้านกว่ายี่สิบคน จนเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าละแวกข้างเคียง เพราะความสวยและความแปลกของเสื้อผ้าที่ขาย เสื้อผ้าในร้านเธอขายดีเหมือนแจกฟรี หญิงสาวรู้สึกถึงความพองฟูของกระเป๋าสะพายที่ใช้เก็บเงินจนแทบจะอดใจไม่ไหวอยากควักเงินที่ได้มานับตรงนั้นเลย
ตอนนี้เวลาเกือบจะสองทุ่มแล้ว พิริยาเหลือเสื้อผ้าบนเสื่ออีกไม่ถึงสามสิบตัว เนื่องจากไม่มีความหลากหลายให้เลือก จึงไม่มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาซื้ออีก เธอจึงตัดสินใจที่จะเก็บร้านไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับจังหวัด s แล้ว
“น้องคะ สะดวกคุยกับพี่หน่อยไหม”
พิริยาหันไปมองจึงได้พบผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เธอคนนี้เคยเข้ามาเลือกดูเสื้อผ้าที่ขายเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน หลังจากเลือกดูเป็นเวลานานก็ลุกเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้ซื้อเลยสักชิ้น เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ร้องทัก พิริยาจึงเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม
“น้องพอจะบอกแหล่งที่ขายส่งเสื้อผ้าแบบเดียวกับน้องรึเปล่า พี่อยากรับไปขายที่อื่น รับรองไม่ใช่ตลาดนัดนี้แน่ ๆ” ผู้หญิงคนนั้นสอบถามอย่างตรงไปตรงมา
พิริยาตาสว่างวาบ ไม่คิดว่าจะโชคดีจะเจอลูกค้ารายใหญ่แบบนี้ “พี่ต้องการเยอะไหมคะ หนูรับมาจากแหล่งผลิตโดยตรง รับรองเลยว่านอกจากหนูแล้วไม่มีใครขายเสื้อผ้าแบบนี้แน่นอน”
“จริงเหรอน้อง โชคดีจัง พี่อยากได้เยอะพอควรนะ แต่ก็อยู่ที่ราคาส่งของน้องด้วยว่าแพงแค่ไหน เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยก่อนดีกว่า” ผู้หญิงคนนั้นเดินนำไปที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ตลาดนัดอย่างไม่รีรอ
“น้องคิดราคาส่งยังไง”
“ลดได้อีกไม่เยอะค่ะ เพราะหนูขายชิดทุนแล้วอาศัยปล่อยไวค่ะ เสื้อยืดให้ที่ 30 บาท เสื้อผ้าฝ้าย 40 บาท กางเกงทั้งสองแบบ 65 บาทค่ะ หนูสามารถเอามาให้ได้วันนี้เลย”
“ลดอีกนิดได้รึเปล่า พี่จะสั่งทีเดียวเยอะ ๆ จะนำไปขายตลาดนัดใหญ่อาทิตย์หน้าค่ะ”
พิริยาเอียงหน้าคิดอยู่ชั่วครู่ “เสื้อลดไม่ได้แล้ว กางเกงให้ได้ที่ 60 บาทค่ะ หนูขอเป็นจ่ายสดนะคะ เพราะหนูต้องกลับต่างจังหวัดพรุ่งนี้แล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นทำตาโต “แล้วจะกลับมาอีกทีเมื่อไหร่คะ”
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่คิดว่าคงอีกนาน เพราะใกล้เปิดเทอมแล้ว” พิริยาอ้าง
“ถ้าพี่มั่นใจในเสื้อผ้าเหล่านี้ แนะนำให้ซื้อไปเยอะ ๆ ทีเดียวนะคะ หนูรับประกันว่าแบบและเนื้อผ้าแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้แน่นอน”
หญิงวัยกลางคนคนนี้มีหรือจะไม่รู้ อยู่ในวงการค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปมานานเกือบสิบปี เธอไม่เคยเจอเสื้อผ้าที่มีรูปแบบที่สวยงามและเนื้อผ้าที่ดูดีแบบนี้มาก่อน มั่นใจได้เลยว่าถ้านำไปขายในแหล่งประจำ แม้จะเพิ่มราคาไปอีกสองเท่า รับประกันเลยว่าต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน
“น้องรอแป๊บนะพี่ขอคำนวณเงินในกระเป๋าก่อน” เธอพร้อมที่จะเทหมดหน้าตักเลยทีเดียว
“พี่อยากได้กางเกงยีน 150 ตัว กางเกงแนบเนื้อ 200 ตัว เสื้อยืด 100 ตัว เสื้อผ้าฝ้าย 200 ตัว น้องมีของพอไหม”
“พอค่ะ...ยอดรวม 28,000 บาท หนูลดให้เหลือ 27,000 บาท พี่รอหนูครึ่งชั่วโมงนะคะ เดี๋ยวจะเอามาให้ที่นี่เลย” พิริยาเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น หลังจากบอกกล่าวลูกค้ารายใหญ่แล้วเธอก็รีบเข็นรถวิ่งดิ่งไปยังทิศที่ตั้งของสุสาน
ไม่เกินครึ่งชั่วโมง พิริยาก็เข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยกล่องใส่เสื้อผ้ากลับมาด้วยพร้อมกับเหงื่อที่แตกซ่กเต็มใบหน้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหอบ ๆ “มาแล้วค่ะ พี่นับดูก่อนนะคะว่าครบไหม หนูแถมให้ชนิดละสองตัวนะคะ”
“เร็วมากเลยค่ะน้อง” หญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปเรียกสามีช่วยยกกล่องกระดาษขึ้นไปบนหลังรถกระบะของตัวเอง และเมื่อนับได้ครบตามจำนวนที่สั่ง เธอก็มอบเงินให้ตามจำนวนที่ตกลงกันไว้อย่างไม่รีรอ
“ขอบคุณพี่มากนะคะ ขอให้ขายดี ๆ กำไรเป็นหมื่นเป็นแสนค่ะ” พิริยาเอ่ยอวยพรปิดท้ายก่อนจะเข็นรถเข็นเดินกลับสุสานอย่างมีความสุข เมื่อมีเงินอยู่เต็มกระเป๋าความรู้สึกกลัวในสถานที่แห่งนี้ก็พากันหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยทีเดียว
เธอเข้าไปในคอนโดส่วนตัวก่อนจะเทเงินที่ขายได้ในวันนี้ออกมานับ ยิ่งนับก็ยิ่งตื่นเต้น ท้ายสุดยอดรวมทั้งหมดอยู่ที่สี่หมื่นเจ็ดพันบาท
“อื้อฮือ รวยไม่รู้เรื่องเลยเรา” หญิงสาวตาพราวระยิบระยับ นี่เป็นเงินก่อนแรกในชีวิตทั้งสองชาติที่เธอสามารถหามันมาได้ด้วยตัวเอง ความรู้สึกภาคภูมิใจพุ่งทะยานขึ้นสูงแบบไม่เคยมีมาก่อน
ชาติก่อนเธอทำหน้าที่เพียงแค่ผลาญเงินที่ป๊ากับม้าหามาเท่านั้น เรียกว่าผลาญวันละล้านบาทก็ยังมี เธอไม่เคยรู้สึกถึงความทุกข์ของการขาดเงิน การอด หรือการข่มใจไม่ให้ซื้อเมื่อเจอของที่อยากได้
แต่พอมาชาตินี้ที่ต้องกระเบียดกระเสียรไปเสียทุกอย่าง เงินสี่หมื่นกว่าบาทนี้จึงมีค่าสำหรับเธอนัก แล้วอย่าลืมว่าตอนนี้คือปี พ.ศ.2525 ค่าครองชีพไม่ได้สูงลิ่วแบบเนื้อหมูกิโลกรัมละเกือบสองร้อยบาทอย่างในปี พ.ศ.2566 ที่เธอจากมา
เงินสี่หมื่นกว่าบาทในยุคนี้มีค่าเทียบเท่าเงินหลักแสนของยุคปี พ.ศ.2566 ได้อย่างสบาย สามารถซื้อที่ดินในหมู่บ้านของเธอตอนนี้ได้หลายแปลง
เพราะอารมณ์ดี ความอยากอาหารจึงกลับมา เธอไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อบ่ายของวานนี้
น่าแปลกใจจริง ๆ ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ดีที่ไม่เป็นลมไปเสียก่อน เธอคิดอย่างมีความสุขระหว่างเดินสำรวจพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าส่วนตัวเพื่อหาอะไรกิน แล้วก็เลือกเนื้อออสเตรเลียอย่างดีมาหนึ่งชิ้น วันนี้เธออยากกินสเต๊กพริกไทยดำ
เมื่อหาส่วนผสมครบแล้ว เธอก็นำมาปรุงที่ห้องครัวเล็กในคอนโดส่วนตัว หลังจากเสร็จเรียบร้อยก็ไปนั่งกินสเต๊กเนื้อนุ่มอย่างเอร็ดอร่อยในห้องนั่งเล่นพร้อมกับดูคลิปใหม่ล่าสุดจากแอปชื่อดังไปด้วย
เมื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองเรียบร้อย เธอจึงรีบอาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้ได้เวลาเดินทางกลับบ้านไปหาลู่ทางสำหรับชีวิตใหม่ของตัวเองแล้ว เหมือนที่ลุงคำปันพูดไว้ หากเราไม่ท้อ ชีวิตจะไม่มีอะไรยาก พิริยาปิดตาลงพร้อมรอยยิ้ม คืนนี้เป็นการนอนหลับที่ช่างปลอดโปร่งโล่งใจแตกต่างจากเมื่อคืนวานมากนัก
ระหว่างที่ยุ่งกับการขาย เธอก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นแหวงและแววมายืนมองด้วยความอิจฉาเป็นระยะ ทำให้เธอรู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง ก็ตามประสามนุษย์คนหนึ่งแหละนะส่วนความกลัวที่เคยมีต่อทั้งคู่ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้วในครั้งนี้ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ไปแย่งที่ของใครเขา อีกอย่างมีลุงสุขมานั่งคุมเชิงให้ที่หลังร้านยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นไปอีก“ปิ่นแก้ว! ใช่ปิ่นแก้วจริง ๆ ด้วย” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของหญิงสาววัยรุ่นดังขึ้นที่หน้าร้านเมื่อได้ยินเสียงไม่คุ้นหูเรียกชื่อตนเอง ปิ่นแก้วจึงเขม้นมองไป เธอยืนนึกอยู่ครู่ใหญ่จึงยิ้มออกมาอย่างดีใจวิภาวี สาวน้อยบนรถไฟคนนั้นนั่นเอง“พ่อคะ แม่คะ ใช่ปิ่นแก้วจริง ๆ ด้วย บอกแล้วว่าวิตาไม่ฝาด” วิภาวีหันไปพูดกับทั้งพ่อและแม่ที่เดินตามหลัง“ปิ่นแก้ว นี่พ่อของเรา ส่วนแม่ เธอก็เคยเจอแล้วเมื่อคราวก่อน”ชาตรีและญาดาต่างส่งยิ้มให้ปิ่นแก้วอย่างมีไมตรีจิต หลังจากที่ลูกสาวเล่าเหตุการณ์ในรถไฟให้ฟัง ทั้งคู่ต่างตกอกตกใจและรู้สึกขอบคุณปิ่นแก้วมาโดยตลอดที่ช่วยให้วิภาวี
หญิงสาวเดินเข้าร้านเพื่อเลือกซื้อขนมอบ ขนมเค้กไม่มีแบ่งขายเป็นชิ้น เธอจึงเลือกปอนด์เล็กสุด และหยิบคุกกี้กระปุกเล็ก เค้กโรล ขนมปังปอนด์มาอีกอย่างละหนึ่งเพื่อทดสอบรสชาติ“แอะ! แค็ก..” คาวไข่ขั้นสุดเมื่อกลับมาถึงหอพัก เธอได้รีบแกะขนมออกมาชิม ทันทีที่ตักขนมเค้กเข้าปาก ผลที่ได้คือเนื้อเค้กที่หวานจัดและคาวไข่เป็นอย่างมาก ไม่เท่านั้น เนื้อครีมที่ปาดหน้าเค้กค่อนข้างหนัก ทั้งหวานและเลี่ยน เมื่อกัดชิมคำแรกถึงกับคายทิ้งแทบไม่ทัน แล้วทำไมถึงยังขายดีได้ขนาดนี้เค้กโรลก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน สำหรับคุกกี้นั้นให้ความรู้สึกหวานเพียงอย่างเดียว ไม่มีความหอมหรือมันของเนยแม้แต่น้อย ส่วนขนมปังปอนด์นั้นสามารถพูดได้เลยว่าขนมปังให้ปลาในยุคที่เธอจากมายังนุ่มมากกว่า แล้วทำไมถึงยังขายดีขนาดนี้ได้อีกแต่ข้อด้อยพวกนี้แหละคือตัวช่วย หากทำขนมออกมาแบบไม่เหลือข้อด้อยพวกนี้ ธุรกิจจะต้องรุ่งโรจน์อย่างไม่ต้องสงสัย ปิ่นแก้วอยู่ในอารมณ์ที่คึกคักถึงขีดสุดเธอรีบหายเข้าไปในพื้นที่และเปิดคลิปวิดีโอเกี่ยวกับขนมยอดฮิตต่าง ๆ ดู ก่อนจะคัดเมนูที่ทำได้ไม
“แก้วรู้ค่ะว่าป้าเป็นห่วงแก้วและหวังดีกับแก้วที่สุด แก้วขอบคุณป้ามาก ๆ นะคะ”“ถ้าจะให้พูดตามจริง ตอนนี้แก้วมีเงินพอที่จะส่งทั้งตัวเองและชัยเรียนได้อย่างสบาย แต่ใจแก้วยังไม่อยากเรียนเอง เพราะถ้าเรียนต่อ ม.4 แล้วพอจบ ม.6 ก็ต้องอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยอีก ค่าใช้จ่ายเรียนมหาวิทยาลัยค่อนข้างสูงป้าเองก็รู้นี่คะ แล้วแก้วจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนต่อ”“สู้ตอนนี้ หยุดเรียนก่อนสักครึ่งปี สร้างฐานะให้มั่นคง เก็บเกี่ยวเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วค่อยไปเรียน กศน. แก้วว่าน่าจะสบายกว่า”วงเดือนถอนหายใจแรง “แต่เรียน กศน. แล้วเหมือนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากเต็มทีนะแก้ว ป้าเสียดายอนาคต”“ไม่หรอกค่ะป้า ลองเราตั้งใจจริง ไม่ว่าเรียนจบจากไหนก็สามารถสอบเข้าได้ แต่ที่เห็นกันจนชินตาว่าเรียน กศน.แล้วความรู้ไม่พอจะไปต่อมหาวิทยาลัย นั่นเพราะคนเรียน กศน.มีภาระผูกพันค่อนข้างมาก บางคนก็มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้คิดไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยกันน้อย แต่แก้วไม่มีภาระตรงนี้นี่คะ ภาระอย่างเดียวของแก้วคือต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองให้ได้เยอะ ๆ ถ้า
วงเดือนใช้มือตบพื้นเรือนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “ยุพินนี่มันเกินไปจริง ๆ รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก”“ป้า อย่าโมโหไปเลย เรื่องมันสบช่องให้เขาได้เปรียบก็ต้องปล่อยไป” ปิ่นแก้วพูดปลอบ“ชัย พี่แก้วเค้าไปลงชื่อค้ำประกันเราไว้แบบนี้แล้ว ต่อไปเราต้องระมัดระวังตัว อย่าไปทำเรื่องทำนองนี้จนทำให้พี่เค้าเดือดร้อนอีกนะ ถ้าหิวหรือขาดอะไร ให้มาหาป้ากับลุงก่อน ป้ากับลุงจะช่วยเอง”“ผมขอบคุณพี่แก้วอีกครั้งนะครับที่ช่วย ต่อไปผมไม่กล้าแล้วจริง ๆ” ชิงชัยพูดพร้อมกับมีน้ำตารื้นอยู่เต็ม มันเป็นความรู้สึกทั้งเสียใจบวกกับความอับอายที่โดนประณามในเรื่องนี้“แม่กับพี่แก้วไม่ต้องห่วง ชัยเป็นคนดีจริง ๆ ไม่เคยมีนิสัยชอบขโมย” แดนไทยช่วยรับประกันให้เพื่อนรัก “ต่อไปหลังเลิกเรียนผมจะไปช่วยชัยหาผักป่าไปขายอีกแรง จะได้เอาเงินไปใช้หนี้ที่ติดอยู่ไว ๆ”“นี่แม่ชัยยังสร้างหนี้เพิ่มอีกเหรอ” วงเดือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “อาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้วด้วย จะมีเวลาไปหาของป่าขายได้ที่ไหน เลิกเรียนก็ใกล้ค่ำแล้ว คงไม่พอหาหรอก”“ชัยไม่เรียนต่อแล้วนะแม่ ไม่มีค่าเทอม”“แล้วแม่ชัยรู้ไหมว่าลูกตัวเองจะไม่เรียนต่อแล้ว” วงเดือนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พ
“ที่น้าพูดมันก็ถูก แต่ควรดูเจตนาเด็กก่อนที่จะกล่าวหา ชัยไม่ได้ตั้งใจขโมยแต่แรกนี่ เขาได้ยินว่าน้าไม่กินแล้ว และกำลังจะเทให้หมา ชัยเขาหิว เขาเลยตัดสินใจไปแบบนั้น”“หล่อนไม่ต้องมาทำหัวหมอ ฉันไม่สนใจ ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการกินแกงนี่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นของฉัน ฉันจะให้ใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน ในเมื่อฉันตั้งใจจะยกให้หมาแล้ว ไอ้เด็กหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แย่งไปได้ ฉันจะเอาเรื่องไอ้เด็กเหลือขอนี่ให้ถึงที่สุด”เมื่อยุพินพูดจบ ผู้คนที่ยืนรายล้อมต่างส่งเสียงออกมาหลายแนว บ้างก็เห็นด้วยกับยุพิน บ้างก็เห็นด้วยกับปิ่นแก้ว บ้างก็มองดูเหตุการณ์ด้วยความสะใจและสนุกกับคราวเคราะห์ของชัยในครั้งนี้ บ้างก็มีสีหน้าแสดงความเห็นใจเด็กชาย แต่ยุพินไม่สนใจ เธอยังคงตั้งมั่นในความคิดของตน“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน” คำแปง ผู้ใหญ่บ้านที่โดนเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังทั้งยุพินและปิ่นแก้วชี้แจงเรื่องราวในมุมมองของตน คำแปงก็ทำสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย เรื่องเหมือนจะดูเล็กน้อย แต่ถ้าคิดเป็นเรื่องใหญ่ ก็ดูใหญ่พอตัว โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ไม่เคยเกิดเหตุทำนองนี้มาก่อน“ยุพิน ปล่อยเด็กไปสักครั้งเถอะ อย
หลังจากทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้วและเห็นว่ายังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น เธอจึงตั้งใจจะเดินสำรวจหมู่บ้านนาแสนแห่งนี้ไปเพลิน ๆ ก่อนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ อากาศจึงเย็นตลอดปี และมีผู้คนอยู่อาศัยประมาณสามร้อยกว่าชีวิต ส่วนมากมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่เป็นหลัก บ้านที่ปลูกส่วนมากเป็นบ้านไม้สีหม่นหลังคามุงจาก มีบ้านฐานะดีที่หลังคามุงกระเบื้องและสังกะสีอยู่ไม่ถึงสิบหลัง ปิ่นแก้วเดินไปตามทางเดินซึ่งเป็นเส้นทางหลักภายในหมู่บ้านถึงจะขึ้นชื่อว่าเส้นทางหลัก แต่จริง ๆ ก็คือทางดินแดงเล็ก ๆ กว้างขนาดสองคนเดินสวนกัน พื้นผิวขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อเสียเยอะ บางจุดเละเป็นโคลนเนื่องจากฝนที่ตกมาตั้งแต่เช้า ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านไม่ได้รู้สึกแปลกหรือลำบากแต่อย่างใดเพราะคุ้นชินกับถนนแบบนี้มาหลายสิบปีแล้วจะมีก็เพียงปิ่นแก้วนี่แหละที่รู้สึกลำบาก เธอผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาทั้งชีวิต จึงไม่เคยรู้จักและไม่เคยสัมผัสฝุ่นสีแดงที่เกิดจากถนนดินแดงเลยสักครั้ง วันแรกที่ได้ย้อนเวลากลับมาเธอถึงกับสูดเอาฝุ่นแดงเข้าไปจนสำลักและแสบค