LOGINพิริยาเป่าปากอย่างไม่สบอารมณ์ โจทย์ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมถือว่ายากมาก ถ้าเปรียบเป็นระดับการศึกษา ถือเป็นระดับโพสต์ดอกเตอร์ได้เลย
“น่าผิดหวังอย่างแรง มันเกินไปแล้วจริง ๆ” พิริยาเงยหน้าขึ้นพูดพร้อมกับชูนิ้วกลางขึ้นไปบนฟ้า
‘อะแฮ่ม!!’
หญิงสาวสะดุ้งโหยง กลอกตาเลิ่กลั่กก่อนจะค่อย ๆ หุบนิ้วกลางลง แล้วนำมือข้างนั้นไปเกาที่ศีรษะและหัวเราะเบา ๆ ให้คนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาเพื่อแก้เขิน
“แก้ว เป็นอะไรรึเปล่า”
ทำไมถึงยืนชูนิ้วกลางขึ้นไปบนฟ้าแบบนั้น แดนดินมองท่าทางประหลาดของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ
“ไอ้ท่านั้นหมายถึงอะไร” และอดไม่ได้ที่จะถาม
พิริยายิ้มเจื่อน “อ่า..ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายน่ะพี่” จะบอกความหมายของมันได้อย่างไรเล่า
“พี่ดินมีอะไรเหรอ”
“แม่ให้เอากับข้าวมาให้ คิดว่าแก้วน่าจะหิวแล้ว”
“ฝากขอบคุณป้าเดือนด้วยนะคะ” หญิงสาวมองกับข้าวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ อย่างน้อยการย้อนกลับมาครั้งนี้ของเธอก็ดูเหมือนไม่ขาดมิตรนัก
แดนดินพยักหน้ารับและเตรียมเดินลงจากเรือนไปโดยไม่พูดอะไรต่ออีก
“เดี๋ยวค่ะ พี่ดิน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเชิงถามเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“พี่ทำให้แสงตะเกียงสว่างขึ้นได้ไหมคะ แก้วทำไม่เป็น”
เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง พิริยาจึงรีบอ้างต่อ “ตอนนี้เหมือนแก้วจะจำอะไรไม่ได้จึงทำอะไรไม่เป็นเลย แต่คิดว่าไม่กี่วันคงดีขึ้น”
แดนดินพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเดินไปเปิดจุกตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ทำจากกระป๋องนม แล้วใช้มือก็ดันไส้ตะเกียงให้สูงขึ้น ส่งผลให้แสงตะเกียงสว่างขึ้นทันตา “ถ้าอยากหรี่แสงไฟลงก็เปิดจุกแบบนี้แล้วดึงไส้ตะเกียงลง” พร้อมกับแนะนำต่อ
“ขอบคุณมากค่ะ”
แดนดินกระตุกปากยิ้มอย่างไม่คุ้นชินเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่สุภาพแบบนี้ เขามองไปรอบ ๆ บ้านไม้หลังเล็กที่เงียบเชียบแห่งนี้ก่อนเอ่ยถาม “แน่ใจนะว่าวันนี้อยู่คนเดียวได้จริง ๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แก้วรับรองจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบเมื่อหัวค่ำอีก” พิริยารับประกัน
“อย่าลืมปิดประตูบ้านแล้วลงกลอนด้วยนะ มีอะไรก็ตะโกนเรียกดัง ๆ ห้องพี่อยู่ใกล้บ้านแก้วมากที่สุด รับรองได้ยินแน่นอน” แดนดินกำชับส่งท้ายก่อนจะเดินลงบันไดไป
พิริยามองตามหลังร่างสูงของชายหนุ่มไปด้วยแววตาชื่นชม หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ลำดับความทรงจำของเจ้าของเดิมที่ค่อย ๆ ไหลเข้ามาอีกรอบ
ลุงคำปันและป้าวงเดือนเป็นเพื่อนบ้านที่ใจดีของครอบครัวปิ่นแก้ว แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะเหลือกินเหลือใช้ แต่พวกเขาก็ไม่เคยลืมที่จะเอื้อเฟื้อและให้ความช่วยเหลือครอบครัวของปิ่นแก้วอย่างดีเสมอมา
แดนดินเป็นลูกชายของลุงคำปันกับป้าวงเดือน ลุงและป้ามีลูกสองคน เป็นผู้ชายทั้งคู่ แดนดินเป็นลูกชายคนโตอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรีชั้นปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยประจำจังหวัด m ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศมหาวิทยาลัยหนึ่ง และแดนดินเป็นคนแรกในหมู่บ้านที่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้
ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อแดนไทย เป็นลูกหลงของลุงกับป้า ตอนนี้อายุย่างสิบเอ็ดปี เป็นเด็กซุกซนร่าเริง ชอบหนีไปยิงนก ตกปลา กับบรรดาเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านไม่เว้นวัน
พิริยาเหลียวมองไปรอบบ้านที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่นับตั้งแต่บัดนี้อีกครั้ง แต่ก็เห็นสภาพแวดล้อมได้ไม่ชัดนักเนื่องจากแสงสว่างจากตะเกียงมีค่อนข้างน้อย ที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ผู้คนในหมู่บ้านจึงอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงและเทียนในการดำรงชีวิตยามค่ำคืน เธอจึงยอมแพ้ ค่อยสำรวจอีกทีพรุ่งนี้เช้า
ตอนนี้เธอจึงหันมาสนใจอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าแทนเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะร้องเตือนอย่างหนัก หญิงสาวอมยิ้มอย่างมีความสุขระหว่างเคี้ยวอาหารไปด้วย ถึงแม้จะเป็นแค่แกงผักพื้นบ้านธรรมดา แต่ฝีมือป้าวงเดือนนั้นดีมาก นี่นับเป็นอาหารมื้อแรกที่เธอได้กินตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่
บรู๊ววววว.......
พิริยาสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินการหอนประสานเสียงของสุนัขที่ดังอยู่รอบ ๆ บ้าน เธอเงยหน้าขึ้นก่อนสอดส่ายสายตามองไปรอบตัวอย่างหวาด ๆ ความอยากอาหารหายเป็นปลิดทิ้ง บรรยากาศทึม ๆ สลัว ๆรอบบ้านให้ความรู้สึกเหมือนบ้างผีสิงอย่างยากจะบรรยาย หญิงสาวนั่งตัวสั่นและเหงื่อแตกไปทั้งตัวพร้อมกับปรายตาแลไปยังบ้านข้าง ๆ ที่อยู่ติดกัน ตอนนี้อยากจะตะโกนเรียกใครก็ได้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนใจจะขาด
แต่ไม่ได้สิ ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอตกใจกลัวเพราะเสียงหอนของสุนัขอาจก่อให้เกิดเสียงร่ำลือและนินทากันอย่างสนุกปากในอนาคต เธอจำต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปอีกนานจึงไม่อยากให้เกิดเสียงนินทาที่อื้ออึงมากเกินไป แต่ตอนนี้เธอกลัวมากจริง ๆ ควรทำอย่างไรดี?
ถ้าเป็นนิยายแนวข้ามเวลานับร้อยเรื่องที่เธอได้อ่านผ่านตาในชาติก่อน เวลาเจออันตรายบรรดานางเอกมักจะหลบไปซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ว่างที่ติดตัวมาด้วย แต่นางสาวพิริยาคนนี้กลับไม่ได้รับสิทธิ์เหมือนกับนางเอกคนอื่น!
เอ๊ะ! หรือว่ามีมาด้วยแต่เราไม่รู้?
พิริยาเริ่มสำรวจจุดผิดสังเกตของร่างกายนี้อย่างละเอียด
ลองเอานิ้วจิ้มไฝที่อุ้งมือ สรุปคือไร้ผล
ลองกระตุกนิ้วมือแรง ๆ ทั้งสิบนิ้วก็ยังเงียบ
ลองดึงติ่งหูสักหน่อย ยังคงเงียบฉี่
หรือต้องถอนผมตัวเอง จัดไปอย่าให้เสีย นอกจากเสียงซี้ดปากด้วยความเจ็บแล้วที่เหลือเงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า
อืม..นอกจากเกิดใหม่มาแบบจนจ้นจนแล้วก็ไม่มีดีอะไรอีกในชีวิต สรุปโชคชะตาตอบแทนการทำดีจนตัวตายของเธอแบบนี้จริง ๆ เหรอ?
พิริยาหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงชีวิตที่ต้องดำเนินในวันข้างหน้า ตายหยังเขียดแน่นอนสำหรับคนที่เอาแต่นอนอ้วนและทำอะไรไม่เป็นสักอย่างอย่างเธอ!
หญิงสาวชูนิ้วกลางขึ้นไปบนฟ้าอีกรอบ
โบ๊ะ..โบ๊ะ...บรู๊ววววว.......
แล้วก็หน้าซีดเผือดยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหอนที่ยาวของสุนัข
ยุพินและมานพกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างชอบใจเมื่อเห็นเงินห้าหมื่นบาทในมือ ไม่นึกเลยว่าแค่รอบแรกก็ได้มากถึงเพียงนี้ แล้วรอบต่อไปนั้นเป็นกาแฟซึ่งร่ำลือกันว่ารายได้ดีกว่าดอกไม้แห้ง คงได้จับเงินแสนกันก็คราวนี้“แม่ยุพินที่หลักแหลมจริง ๆ” มานพเอ่ยชมภรรยาไม่หยุด“เอาเชียว ที่แรกทำท่าเหมือนไม่เต็มใจ”“ฉันขอโทษ ต่อไปไม่ค้านแล้ว ไม่คิดเลยว่ารายได้จะมากขนาดนี้ แล้วรวมทั้งปีที่เจ้าดินได้มันไม่เหยียบล้านไปแล้วเหรอ”“ก็คงประมาณนั้นแหละพี่ คราวหน้าฉันว่าจะไม่ขายอย่างเดียวแล้ว ฉันจะเอาเมล็ดพันธุ์มาปลูกเองด้วย นี่ก็ไปมอง ๆ ที่เปล่าในหมู่บ้านของพ่อฉันเอาไว้แล้ว ฉันตั้งใจจะเอาไปปลูกตรงโน้น จะได้ไกลหูไกลตาไอ้ดินมันหน่อย”“ดี อีกหน่อยบ้านเราก็จะมีเงินมากมายเหมือนกับมันแล้ว”“ว่าแต่เราเอาเงินก้อนนี้ไปใช้หนี้ที่ยืมมาก่อนเถอะ ที่เหลือก็พอส่งให้นารีได้อีกสามสี่เดือน รอขายงวดหน้าเราก็สบายกันแล้ว”“เจ้านะตั้งแต่ย้ายไปทำงานในเมืองนี่หายเงียบไม่ยอมกลับมาบ้านเลย” มานพเอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่พอใจ“ลูกสอนพิเศษหลายที่ กำลังช่วยกันเก็บเงินซื้อที่ดินเพื่
“นี่บ้านเก่า ๆ โทรม ๆ ที่เธอเคยเล่าจริง ๆ เหรอ” นิสารัตน์หันมาถาม“เมื่อก่อนเคยเก่าและโทรมมาก” ปิ่นแก้วยืนยัน “เพิ่งได้ปรับปรุงใหม่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง”“ไม่พ้นพี่ดินอีกแล้วแน่เลย” อรรณพหรี่ตามองอย่างรู้ทัน ขณะที่แดนดินยืนยิ้มกว้างอยู่ข้าง ๆ“เฮ้อ..พี่ดินไม่ควรมีคนเดียวในโลก” อรรณพยังคงรำพึงรำพันต่อไปคราวนี้พาเอาทุกคนหัวเราะครืนด้วยความชอบใจเพื่อไม่ให้เสียเวลา หลังจากจัดเก็บข้าวของกันแล้วปิ่นแก้วจึงพาทุกคนไปที่สวนผลไม้ของแดนดินที่ตอนนี้ทุเรียนและมังคุดออกลูกแก่จัดรอเก็บเกี่ยวในอีกสองสามวันข้างหน้านี้แล้ว“พวกเรากินได้จริง ๆ หรือคะพี่ดิน” มาลินีหันมาถามชายหนุ่มอีกทีเพื่อความแน่ใจ“กินได้เลย ไม่ใช่แค่ทุเรียนและมังคุดนะ สตรอว์เบอร์รีและเชอร์รีที่ปลูกในสวนข้าง ๆ ก็เข้าไปเด็ดกินได้เหมือนกัน ห้ามเกรงใจพี่เด็ดขาด คิดเสียว่าเป็นสวนบ้านตัวเอง” แดนดินอนุญาตอย่างใจดี“หน้าร้อนแบบนี้สตรอว์เบอร์รีและเชอร์รียังออกผลได้อีกเหรอคะ” นิสารัตน์อดทึ่งไม่ได้“เมล็ดพันธุ์ของเราค่อนข้างพิเศษน่ะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหันมา
แดนดินขมวดคิ้วเมื่อเห็นปริมาณดอกไม้แห้งที่เก็บเกี่ยวได้จากไร่ของผาด หนึ่งในคนที่เซ็นสัญญาปลูกดอกไม้และกาแฟเมื่อคราวก่อน“ที่ดินตั้งสิบไร่ ทำไมได้ดอกไม้แห้งพอ ๆ กับไร่น้าทาที่มีเพียงห้าไร่”“ม..แหม ความชำนาญมันต่างกันนะดิน น้าทานั่นชาวไร่ดีเด่นประจำหมู่บ้าน แกมีฝีมือในการดูแลต้นไม้อยู่แล้ว ปลูกดอกไม้ได้เยอะก็ไม่แปลก ไอ้ฉันมันมือใหม่ ถึงพื้นที่จะเยอะกว่าแต่ดันไม่มีฝีมืออย่างใครเขา เลยได้มาเท่านี้” ผาดละล่ำละลักอธิบายแดนดินกวาดตามองไปทั่วไร่อย่างสงสัย ในใจไม่คิดเชื่อคำพูดของผาดแม้แต่น้อย เขารู้ดีถึงคุณภาพของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ขนาดคนที่ปลูกอะไรไม่เป็นเลยอย่างปิ่นแก้วยังสามารถปลูกจนออกดอกออกผลได้งดงาม แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ทำไร่ทำนาอยู่ทุกวันแบบนี้ล่ะถึงจะไม่เชื่อแต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมาเรื่องนี้ผิดปกติเกินกว่าจะละเลยได้ เมื่อกลับถึงบ้านเขาเล่าความผิดปกตินี้ให้กับทั้งคำปันและวงเดือนได้รับทราบ ผู้สูงอายุทั้งสองคนต่างมีสีหน้าเครียดลงถนัดตา“ดินคิดว่ามีเรื่องคดโกงเกิดขึ้นแน่ใช่ไหม” คำปันถามเสียงเครียด
“จินตนานั่งรถประจำทางไปหาน้าที่ต่างอำเภอ แล้วรถเกิดคว่ำทับจินตนาจนแขนขาด”ปิ่นแก้วใจหายวาบเมื่อได้ยิน นึกถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มและบุคลิกที่ไม่คิดอะไรมากของจินตนา ปิ่นแก้วก็ยิ่งใจหาย ถึงแม้จะไม่ค่อยสนิทสนมกันนักแต่ก็มีโอกาสได้ทำงานด้วยกันหลายครั้ง จินตนานับว่าเป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายคนหนึ่งแล้วคนที่เคยมีครบทั้งสามสิบสอง จู่ ๆ กลายเป็นคนพิการแบบนี้ ที่สำคัญยังอายุน้อยแค่นี้ จินตนาจะทำใจได้อย่างไรปิ่นแก้วเหลียวมองไปรอบห้อง “แล้วนิสารัตน์?”“เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืน คอยอยู่เป็นเพื่อนรอพ่อกับแม่จินตนาที่กำลังนั่งรถมาหา”“แก้วใจไม่ดีเลย สงสารจินตนา แล้วนี่เราจะไปเยี่ยมกันดีไหม”คราวนี้มาลินีเป็นฝ่ายเล่า “ฉันกับอันนาไปเมื่อเย็นวานแต่ไม่ได้เจอ นิสารัตน์ให้กลับมาก่อนเพราะสภาพจิตใจของจินตนายังไม่สู้ดีนัก ให้รอพ่อกับแม่เค้ามาก่อนสักสองสามวัน ให้สงบลงอีกนิดแล้วค่อยไปเยี่ยมกันตอนนั้น”-----“อย่าตัดอนาคตตัวเองแบบนี้สิจิน”“นั่นสิลูก แค่เสียแขนซ้ายไปเอง แขนขวาก็ยัง
ถ้าพวกเขาได้มีโอกาสมาเห็นปิ่นแก้วในตอนนี้รับรองเลยว่าคงพูดไม่ออกเลยสักคนเดียว ปิ่นแก้วที่นวดแป้ง ปั่นส่วนผสมของขนมอย่างคล่องแคล่ว ปิ่นแก้วที่สามารถสั่งการได้อย่างเฉียบขาดและทุกคนที่อยู่รายรอบพร้อมจะทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะปิ่นแก้วคนนี้คือเจ้าของร้านขนมรสชาติอร่อยที่สร้างความประทับใจให้กับประธานหอการค้าของจังหวัด m จนได้มาทำขนมจัดเลี้ยงผู้เข้าร่วมสัมมนากว่าสามร้อยคนในครั้งนี้“พวกเธอรู้ไหม รายได้ต่อวันของร้านแก้วสามารถจ่ายค่าเทอมทั้งปีได้อย่างสบาย” อรรณพเล่าด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มคล้ายกับว่าทั้งสองร้านนี้เป็นของเขาก็ไม่ปาน“ทำไมปิ่นแก้วถึงไม่คิดพูดแก้ต่างเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ ในคณะล่ะ ปล่อยให้พวกเรามองเขาเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ได้ตั้งนาน” จินตนาบ่นงึมงำ“เค้ามองว่าเสียเวลาไง ถ้าเค้าพูดแก้ต่างพวกเธอคิดว่าจะมีใครยอมเชื่อไหม คนเราลองมีอคติต่อกันแล้ว ถึงจะแก้ตัวหรือทำดีให้ตายยังไงก็ไม่มีใครเปลี่ยนมุมมองหรอก พวกเขาเลือกที่จะเชื่อมุมที่พวกเขาคิดเสมอ สู้เอาเวลาที่เสียไปตรงนี้มาหาความสุขให้ตัวเองและมาใส่ใจคนที่รักและเข้าใจตัวเองดีกว่
“ก็ไปพูดไม่ไว้หน้าเขาแบบนั้น ใครเขาจะไปทนไหว มานี่ฉันช่วยเอง” นิสารัตน์นั่งลงยอง ๆ อยู่ด้านข้างและคว้ากรรไกรมาช่วยตัด ขณะที่จินตนาลูกคู่ของเธอก็มานั่งช่วยพับกระดาษเป็นรูปดอกไม้ให้ด้วย“ขอบใจนะ” ปิ่นแก้วหันไปยิ้มให้“ไม่เป็นไร งานจะได้เสร็จไว ๆ”นิสารัตน์เงยหน้ามองปิ่นแก้วก่อนพูดออกมา “อันที่จริงการุณเขาก็พูดถูกนะ คนที่มีแววอนาคตจะสดใสแบบเธอน่าจะหันกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแบบเพื่อน ๆ ได้แล้ว”หลังจากเหตุการณ์เย็นวันนั้น บรรดานักศึกษาและผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันอย่างสนุกปาก การุณรู้สึกอับอายอย่างที่สุด และมักจะทำหน้าบูดบึ้ง ส่งตาขวางให้ทุกครั้งที่เห็นปิ่นแก้ว ซึ่งปิ่นแก้วทำเพียงแค่ยักไหล่และใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองไปวัน ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและใบหน้าการุณยิ่งบูดบึ้งมากขึ้นเมื่อได้ยินข่าวว่าปิ่นแก้วย้ายออกจากหอในไปอยู่กับผู้ชาย และยิ่งใบหน้าการุณบูดบึ้งเท่าไหร่ ใบหน้าของสกุณาก็ยิ่งสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น-----“แก้ว ร้าน Best Bake ปิดกิจการไปแล้วนะ”







