“แก้วเอ๊ย ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างมาอย่างเวทนา
“ยังอายุน้อยอยู่แท้ ๆ” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวเสริมขึ้นมา
“เฮ้อ...ไม่รู้บ้านนี้มีอาถรรพณ์อะไร มีงานขาวดำไม่หยุดหย่อน แล้วใครจะเป็นเจ้าภาพงานศพล่ะทีนี้ แก้วก็ไม่เหลือญาติพี่น้องที่ไหนแล้ว”
“แม่เดือน ฉันว่าเรามารับเป็นเจ้าภาพเพื่อทำบุญให้แก้วเป็นครั้งสุดท้ายกันเถอะ ค่างานศพคงไม่กี่บาทหรอก”
“ก็ดีเหมือนกันนะพี่ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก้วมัน ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเจอแต่ความทุกข์แบบนี้” วงเดือนเห็นด้วยกับสามี
“เฮือก!”
เสียงสูดหายใจเข้าลึกของหญิงสาวที่ตอนแรกนอนหมดลมหายใจไปแล้ว ทำเอาวงเดือน คำปัน และชายหนุ่มร่างสูงวัยยี่สิบเอ็ดปี รวมไปถึงชาวบ้านอีกสองสามคนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ต่างอยู่สะดุ้งโหยงไปตาม ๆกัน วงเดือนถึงกับตัวสั่นและขยับตัวเข้าไปชิดสามีและลูกชายด้วยความตกใจ
“ก..ก..แก้ว!” วงเดือนเอ่ยเรียกหญิงสาวปากคอสั่น
หลังจากสูดหายใจเข้าไปอีกเฮือกใหญ่ พิริยาจึงค่อย ๆ ฝืนลืมตาขึ้น ภาพที่ตกกระทบสายตาภาพแรกคือหลังคาใบจากและขื่อไม้สีน้ำตาลที่ดูเก่าและทรุดโทรม ตรงขื่อมีผ้าฝ้ายเส้นหนาสีหมองผูกเป็นรูปบ่วงเอาไว้
นี่เธออยู่ที่ไหนกัน จำได้ว่าเธอขาดสติเผลอขับรถไปขวางทางปืนให้ชายแก่ท่าทางดูดีคนหนึ่งนี่นะ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ หรือว่าได้รับบาดเจ็บแล้วมีคนพามารักษาตัวที่นี่?
“พ..พี่ปัน เข้าไปดูหน่อยสิ” วงเดือนที่ยังไม่หายจากอาการหวาดผวารีบผลักสามีเข้าไปใกล้ร่างหญิงสาว
คำปันเหงื่อแตกพลั่กแต่ไม่ลืมเหล่ค้อนภรรยา เขาค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างหญิงสาวแบบไม่เต็มใจ
“ก..แก้ว ต..ตายแล้วหรือยังเป็น?”
เมื่อได้ยินเสียงคนพูดอยู่ใกล้ ๆ พิริยาจึงค่อย ๆ เบือนหน้าของตัวเองไปยังทิศทางของเสียง และเธอก็ได้เห็นชายวัยเกือบห้าสิบ ผิวสีดำแดง รูปร่างสันทัด กำลังมองเธอด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ใคร? แล้วเป็นหรือตายคืออะไร? แล้วแก้วคือใคร? พิริยาส่งสายตาที่ว่างเปล่ามองไปยังชายสูงวัยคนนั้นด้วยความสับสนเป็นอย่างยิ่ง
-----
ได้อยู่คนเดียวแล้ว
พิริยาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะมองตามหลังผู้คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินลงจากเรือนไป หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ชวนอึกทึกและสับสนวุ่นวายมากว่าหนึ่งชั่วโมง เธอจึงเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทั้งหมด
เธอได้มาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาววัยสิบหกปีที่ชื่อปิ่นแก้ว ถึงเธอจะชอบอ่านนิยายแนวย้อนอดีตมากแค่ไหนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมีชีวิตเหมือนนางเอกในนิยายก็ได้นี่!
แล้วนี่ก็ไม่ใช่การย้อนอดีตแบบธรรมดา เป็นการย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2525!!
ชีวิตของพิริยาเกิดมาบนกองเงินกองทองเรียกว่าใช้ทั้งชาติไม่หมด เธอมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่รักและทุ่มเททุกอย่างให้เธอ เรียกว่าแค่ขยับปากเบา ๆ ทุกสิ่งที่เธอต้องการก็จะมาตั้งอยู่เบื้องหน้าทันที
แต่การมีชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองของเธอต้องแลกกับความสูญเสียญาติพี่น้องแบบไม่มีที่สิ้นสุด ญาติพี่น้องในครอบครัวเธอต่างอายุสั้นและทยอยจากไปทีละคน สุดท้ายก็ทิ้งเธอให้อยู่เดียวดายเพียงลำพังเท่านั้น
หลังจากนั้น พิริยาก็ได้กลายเป็นคนเก็บตัว เธอไม่ยอมคบหากับใครและไม่ยอมสร้างครอบครัวกับใคร เพราะเธอกลัวความสูญเสีย เธอไม่ชอบความรู้สึกเสียใจที่เกิดจากการสูญเสียคนที่รัก
พิริยามีแต่ความเศร้าผสมกับความเบื่อหน่าย เธอจึงวนเวียน นอน กิน นอน กิน อยู่แบบนั้น จนน้ำหนักตัวร่วมร้อยในที่สุด แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะการกินของอร่อยช่วยให้เธอคลายเศร้าได้ หากเธอต้องตายเพราะกินอาหารเกินขนาดก็ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว
แต่แล้วความปรารถนาก็ไม่เป็นผล เนื่องจากอาหารในบ้านเริ่มร่อยหรอ เธอจึงขับรถออกจากบ้านเพื่อไปที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ระหว่างจอดรถรอออกจากซอย เธอก็เห็นภาพการไล่ล่าของรถยนต์สองคัน คันที่โดนไล่ล่าขับโดยชายสูงอายุท่าทางภูมิฐาน ส่วนคันที่ไล่ตามหลังขับโดยชายหนุ่มหน้าเหี้ยมสวมแว่นตาดำ และมีผู้ชายอีกคนที่นั่งคู่กันกำลังถือปืนเตรียมยิงไปที่คันข้างหน้า
ภาพนี้เหมือนกับซีรีส์ที่เธอเพิ่งดูเมื่อคืนตอนมือปืนกำลังไล่ล่าตามฆ่าบุคคลสำคัญอยู่ พิริยาตกตะลึงกับภาพที่อยู่เบื้องหน้า เหมือนผีจับยัด ความอยากเป็นพลเมืองดีได้จู่โจมเข้ามาในความคิดของเธอแบบกะทันหัน เธออยากช่วยชายสูงอายุคนนั้นให้รอดตาย แต่จะช่วยอย่างไรดี?
เมื่อรถทั้งสองคันขับผ่านเธอไป ชายสูงอายุที่โดนไล่ล่าก็ตัดสินใจยูเทิร์นรถตรงแยกข้างหน้า แล้วย้อนกลับมาทางปากซอยที่พิริยาจอดรถอยู่ เธอจึงเห็นโอกาสและตัดสินใจเหยียบคันเร่งพุ่งออกจากซอย แล้ววิ่งรถตัดขวางถนนตรงไปยังอีกฝั่ง เพื่อนำรถของตัวเองเข้าขวางทางระหว่างรถสองคัน แล้วก็สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ หลังจากนั้นเธอก็ตาย!
พิริยาเคาะหัวและด่าในความโง่เง่าของตนเอง อยู่ดีไม่ว่าดี แทนที่จะไปได้ซื้อของอร่อย ๆ ที่ห้างสรรพสินค้า กลับเลือกที่จะขับรถไปขวางทางรถอีกคันจนตัวเองตายไปแบบนี้ เจ็บใจตัวเองนัก!
พิริยาถอนหายใจดังเฮือกระหว่างเงยหน้ามองไปรอบบ้านหลังใหม่ของเธออย่างอดสูใจ ไม่รู้บุญหรือบาปที่ต้องมาอยู่ในร่างของนางสาวปิ่นแก้วคนนี้
ชีวิตของนางสาวปิ่นแก้วเจ้าของร่างนี้น่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง ครอบครัวมีหนี้สินล้นเนื่องจากปู่และย่าสร้างหนี้ไว้แล้วก็ตายจาก พ่อและแม่ของปิ่นแก้วจำต้องทำงานงก ๆ หาเงินใช้หนี้ในทุกเดือน
พ่อและแม่ของปิ่นแก้วมีอาชีพทำนา ทำสวน ปลูกผัก ปลูกข้าวเลี้ยงชีพ รายได้จากการขายข้าวจะได้รับแค่ปีละสองครั้ง ระหว่างรอเงินก้อนจากการขายข้าว พ่อและแม่ก็ปลูกผักสวนครัวไปขายที่ตลาดเพื่อหารายได้ไว้ใช้จ่ายประจำวันและจ่ายหนี้รายเดือนของครอบครัว พวกเขาจึงไม่เหลือเงินเก็บ เรียกว่าจนแบบไม่ได้ผุดได้เกิด พิริยาไม่ถูกใจสิ่งนี้!
แม้จะกระเบียดกระเสียรกันแค่ไหน แต่ทั้งพ่อและแม่ก็ยังคำนึงถึงอนาคตของลูกสาวคนเดียว จึงกัดฟันส่งลูกเรียนเพื่อให้มีความรู้ติดตัว ตอนนี้ ปิ่นแก้วกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ทั้งคู่ตั้งใจจะส่งลูกให้เรียนอย่างน้อยที่สุดคือจบมัธยมศึกษาปีที่หกเพื่อที่เธอจะได้สามารถประกอบอาชีพที่ดี ๆ และสุขสบายในอนาคต
แต่แล้วความตั้งใจของทั้งคู่ก็ไม่ถึงฝั่งฝัน พ่อและแม่ของปิ่นแก้วมีอันต้องจบชีวิตไปพร้อมกันเพราะโดนฟ้าผ่าระหว่างที่กำลังไถนาอยู่กลางทุ่ง
เนื่องจากขาดเสาหลักของครอบครัวไป เจ้าของร่างเดิมถึงกับหัวใจสลาย หลังงานศพของพ่อและแม่ เธอก็จำต้องขายที่นาและที่สวนทั้งหมดเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ให้พ่อกับแม่ ตอนนี้มีเพียงบ้านหลังเล็ก ๆ บนเนื้อที่ไม่ถึงหนึ่งงานหลังนี้เท่านั้นที่เป็นสมบัติติดตัวของเธอ
และเหมือนสวรรค์ยังเห็นว่าเธอใจสลายไม่พอ ยังยัดเยียดอาการอกหักให้เธออีก ปิ่นแก้ววัยสิบหกปีมีคนรักอยู่แล้วชื่อมานะ มานะเป็นหนุ่มรุ่นพี่วัยยี่สิบเอ็ดปี อาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน ครอบครัวของมานะถือว่าฐานะดีที่สุดในหมู่บ้าน และตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังเรียนต่อที่วิทยาลัยครูประจำจังหวัด m จังหวัดใหญ่ที่อยู่ติดกัน เรียกได้ว่าถ้าเรียนจบ อนาคตของมานะก็จะมีแต่คำว่าเฟื่องฟูอย่างแน่นอน
เมื่อเล็งเห็นถึงอนาคตอันสดใสของลูก พ่อและแม่ของมานะจึงไม่ชอบปิ่นแก้วแม้แต่น้อย เพราะเธออาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางหนทางของลูก ทั้งคู่จึงคัดค้านการคบหานี้มาโดยตลอด ในช่วงที่ผ่านมา มานะไม่เคยสนใจคำคัดค้านของพ่อกับแม่เลย จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันและที่สำคัญเพื่อนคนนี้เป็นลูกสาวของครูใหญ่โรงเรียนประจำอำเภอแห่งนี้อีกด้วย มานะจึงเปลี่ยนใจหันไปรักใคร่ชอบพอผู้หญิงคนนี้อย่างง่ายดาย
การสะบั้นรักจากมานะถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของปิ่นแก้ว เธอไม่ต้องการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปจึงตัดสินแขวนคอตายในวันนี้ ต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น พิริยาได้มาสวมร่างและต้องใช้ชีวิตอยู่ในนามของผู้หญิงชื่อปิ่นแก้วตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป
พิริยาเป่าปากอย่างไม่สบอารมณ์ โจทย์ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมถือว่ายากมาก ถ้าเปรียบเป็นระดับการศึกษา ถือเป็นระดับโพสต์ดอกเตอร์ได้เลย
“แม่ว่ามันแปลก ๆ แล้วนะดิน พังประตูเลยดีกว่า” วงเดือนพูดอย่างใจคอไม่ดี เมื่อวานหัวค่ำก็เงียบแบบนี้ แต่ดีที่ปิ่นแก้วไม่ได้ลงกลอนด้านใน เธอจึงได้รับการช่วยเหลือได้ทันจนรอดชีวิตออกมาได้ แต่เช้านี้นี่สิ นอกจากบ้านจะเงียบฉี่ผิดปกติแล้ว ด้านในยังลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาอีกหลังจากวงเดือนตื่นขึ้นมาในยามเช้าของวันนี้ เธอก็ลุกขึ้นหุงหาอาหารให้กับสมาชิกของครอบครัวตามปกติของทุกวัน จนล่วงเข้ายามสายก็รู้สึกถึงความผิดปกติของบ้านที่อยู่ติดกันแต่ละหมู่บ้านตามชนบทนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่หนาแน่นนัก อย่างมากไม่เกินสามร้อยคนในแต่ละชุมชน และบ้านเรือนที่ปลูกอาศัยก็จะอยู่ละแวกเดียวกันเป็นหลัก เพื่อที่จะสามารถดูแลช่วยเหลือกันได้ และที่สำคัญรั้วบ้านที่แบ่งเขตของแต่ละบ้านก็แทบจะไม่มี เว้นแต่บ้านที่มีฐานะดีเท่านั้นที่จะสร้างรั้วกั้นอาณาเขตของตนได้บ้านของคำปันปลูกติดกับบ้านของปิ่นแก้ว มีเพียงต้นมะม่วงและต้นมะขามกั้นอาณาเขตระหว่างสองบ้านเท่านั้น หากบ้านหนึ่งมีการเคลื่อนไหวอะไร อีกบ้านมักจะรับรู้ได้อยู่เสมอหลังจากทำงานบ้านเสร็จในช่วงสาย วงเดือนก็จับสังเกตได้ว่าบ้านของปิ่นแก้วไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลยตั้งแต่หัวรุ่ง
ระหว่างวิ่งวนรถจักรยานเพื่อสำรวจข้าวของ ก็พลันได้เจอประตูหนึ่งบานตั้งอยู่ฝั่งขวามือของทางเข้าพื้นที่ว่าง ตอนเข้ามามัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับข้าวของที่อยู่ตามชั้นต่าง ๆ จนไม่ได้สังเกตประตูบานนี้เธอเอื้อมมือไปเปิดประตูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และภาพที่เห็นอยู่ข้างในก็ทำให้หญิงสาวเผยอรอยยิ้มเจิดจ้าออกมาพื้นที่ด้านหลังประตูเหมือนห้องในคอนโดห้องหนึ่ง มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และมีเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่งอย่างครบครัน แม้แต่เรื่องปรับอากาศก็ยังมีให้ เรียกได้ว่าคนคนหนึ่งสามารถดำรงชีวิตอยู่ในห้องนี้ได้อย่างสบาย เธอมองเครื่องปรับอากาศอย่างชั่งใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทและกดเปิดเครื่องติ๊ด!สิ้นเสียงสัญญาณเปิดของเครื่องปรับอากาศ เธอก็รู้สึกถึงความแรงของลมที่กำลังพุ่งใส่หน้าเธอ“ในพื้นที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้”เธอรอดตายแล้ว! เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ไปจนตายได้ พระเจ้ายังไม่โหดร้ายกับเธอนักเมื่อเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบคอนโดส่วนตัว พิริยาก็ได้พบเคาน์เตอร์สี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาวกว้างยาวประมาณหนึ่งเมตรตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น เคาน์เตอร์นี้ประหลาดตรงที่มีประกายแสงเรืองรองสีขาวโผล่ออกมาเป็นระยะ บนเคาน์เตอร์ไม
เธอหันรีหันขวางเพื่อหาที่หลบที่ปลอดภัย ระหว่างนี้ก็ได้ใช้นิ้วสะกิดเกากลางฝ่ามือซ้ายที่บังเอิญคันยิบขึ้นมาอย่างกะทันหันไปด้วย ทันใดนั้นเองก็รู้สึกถึงแรงดูดที่ดูดร่างกายเธอเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว หญิงสาวรีบหลับตาปี๋อย่างตกใจ หลังจากนั้นคล้ายกับมีแสงจ้ากำลังตกกระทบที่ผิวเปลือกตา พิริยาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆเธอยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง“พื้นที่!” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น ในที่สุดเธอก็มีพื้นที่ว่างเหมือนนางเอกนิยายคนอื่น ๆ!โชคชะตายังคงไม่ใจร้ายกับเธอนัก! พิริยาน้ำตาไหลอย่างปลาบปลื้มพร้อมกับใช้มืออีกข้างตีลงโทษนิ้วกลางที่นิสัยไม่ดีไปด้วยภาพพื้นที่ที่อยู่เบื้องหน้าสร้างความตื่นตะลึงให้เธอเป็นอันมาก ลักษณะของมันคล้ายกับห้างค้าส่งแอคโคร่ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไม่มีผิด แต่พื้นที่พกพาของเธอใหญ่โตกว่าเยอะ เหมือนเอาห้างแอคโคร่มาเรียงต่อกันสิบห้าง!หญิงสาวค่อย ๆ ไล่สายตาดูสิ่งของในพื้นที่ไปทีละแถวโซนแรกเป็นโซนของแห้งและของใช้ซึ่งจัดเรียงอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ มีทั้งขนม เครื่องปรุง เครื่องครัว เครื่องสำอาง สบู่ ผงซักฟอก อุปกรณ์ทำความสะอาด มีให้อย่างครบครันแล
พิริยาเป่าปากอย่างไม่สบอารมณ์ โจทย์ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมถือว่ายากมาก ถ้าเปรียบเป็นระดับการศึกษา ถือเป็นระดับโพสต์ดอกเตอร์ได้เลย“น่าผิดหวังอย่างแรง มันเกินไปแล้วจริง ๆ” พิริยาเงยหน้าขึ้นพูดพร้อมกับชูนิ้วกลางขึ้นไปบนฟ้า‘อะแฮ่ม!!’หญิงสาวสะดุ้งโหยง กลอกตาเลิ่กลั่กก่อนจะค่อย ๆ หุบนิ้วกลางลง แล้วนำมือข้างนั้นไปเกาที่ศีรษะและหัวเราะเบา ๆ ให้คนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาเพื่อแก้เขิน“แก้ว เป็นอะไรรึเปล่า”ทำไมถึงยืนชูนิ้วกลางขึ้นไปบนฟ้าแบบนั้น แดนดินมองท่าทางประหลาดของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ“ไอ้ท่านั้นหมายถึงอะไร” และอดไม่ได้ที่จะถามพิริยายิ้มเจื่อน “อ่า..ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายน่ะพี่” จะบอกความหมายของมันได้อย่างไรเล่า“พี่ดินมีอะไรเหรอ”“แม่ให้เอากับข้าวมาให้ คิดว่าแก้วน่าจะหิวแล้ว”“ฝากขอบคุณป้าเดือนด้วยนะคะ” หญิงสาวมองกับข้าวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ อย่างน้อยการย้อนกลับมาครั้งนี้ของเธอก็ดูเหมือนไม่ขาดมิตรนักแดนดินพยักหน้ารับและเตรียมเดินลงจากเรือนไปโดยไม่พูดอะไรต่ออีก“เดี๋ยวค่ะ พี่ดิน”ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเชิงถามเมื่อได้ยินเสียงเรียก“พี่ทำให้แสงตะเกียงสว่างข
“แก้วเอ๊ย ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างมาอย่างเวทนา“ยังอายุน้อยอยู่แท้ ๆ” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวเสริมขึ้นมา“เฮ้อ...ไม่รู้บ้านนี้มีอาถรรพณ์อะไร มีงานขาวดำไม่หยุดหย่อน แล้วใครจะเป็นเจ้าภาพงานศพล่ะทีนี้ แก้วก็ไม่เหลือญาติพี่น้องที่ไหนแล้ว”“แม่เดือน ฉันว่าเรามารับเป็นเจ้าภาพเพื่อทำบุญให้แก้วเป็นครั้งสุดท้ายกันเถอะ ค่างานศพคงไม่กี่บาทหรอก”“ก็ดีเหมือนกันนะพี่ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก้วมัน ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเจอแต่ความทุกข์แบบนี้” วงเดือนเห็นด้วยกับสามี“เฮือก!”เสียงสูดหายใจเข้าลึกของหญิงสาวที่ตอนแรกนอนหมดลมหายใจไปแล้ว ทำเอาวงเดือน คำปัน และชายหนุ่มร่างสูงวัยยี่สิบเอ็ดปี รวมไปถึงชาวบ้านอีกสองสามคนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ต่างอยู่สะดุ้งโหยงไปตาม ๆกัน วงเดือนถึงกับตัวสั่นและขยับตัวเข้าไปชิดสามีและลูกชายด้วยความตกใจ“ก..ก..แก้ว!” วงเดือนเอ่ยเรียกหญิงสาวปากคอสั่นหลังจากสูดหายใจเข้าไปอีกเฮือกใหญ่ พิริยาจึงค่อย ๆ ฝืนลืมตาขึ้น ภาพที่ตกกระทบสายตาภาพแรกคือหลังคาใบจากและขื่อไม้สีน้ำตาลที่ดูเก่าและทรุดโทรม ตรงขื่อมีผ้าฝ้ายเส้นหนาสีหมองผูกเป็นรูปบ่วงเอาไว้นี่เธออยู่ที่ไหนก