LOGIN“ที่น้าพูดมันก็ถูก แต่ควรดูเจตนาเด็กก่อนที่จะกล่าวหา ชัยไม่ได้ตั้งใจขโมยแต่แรกนี่ เขาได้ยินว่าน้าไม่กินแล้ว และกำลังจะเทให้หมา ชัยเขาหิว เขาเลยตัดสินใจไปแบบนั้น”
“หล่อนไม่ต้องมาทำหัวหมอ ฉันไม่สนใจ ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการกินแกงนี่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นของฉัน ฉันจะให้ใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน ในเมื่อฉันตั้งใจจะยกให้หมาแล้ว ไอ้เด็กหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แย่งไปได้ ฉันจะเอาเรื่องไอ้เด็กเหลือขอนี่ให้ถึงที่สุด”
เมื่อยุพินพูดจบ ผู้คนที่ยืนรายล้อมต่างส่งเสียงออกมาหลายแนว บ้างก็เห็นด้วยกับยุพิน บ้างก็เห็นด้วยกับปิ่นแก้ว บ้างก็มองดูเหตุการณ์ด้วยความสะใจและสนุกกับคราวเคราะห์ของชัยในครั้งนี้ บ้างก็มีสีหน้าแสดงความเห็นใจเด็กชาย แต่ยุพินไม่สนใจ เธอยังคงตั้งมั่นในความคิดของตน
“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน” คำแปง ผู้ใหญ่บ้านที่โดนเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อได้ฟังทั้งยุพินและปิ่นแก้วชี้แจงเรื่องราวในมุมมองของตน คำแปงก็ทำสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย เรื่องเหมือนจะดูเล็กน้อย แต่ถ้าคิดเป็นเรื่องใหญ่ ก็ดูใหญ่พอตัว โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ไม่เคยเกิดเหตุทำนองนี้มาก่อน
“ยุพิน ปล่อยเด็กไปสักครั้งเถอะ อย่าเพิ่งให้ถึงตำรวจเลย เห็นแก่อนาคตมัน ฉันจะให้เด็กพูดสาบานตรงนี้ว่าจะไม่ทำอีก” คำแปงอดเอนเอียงไปทางชิงชัยไม่ได้ ด้วยเพราะอายุยังน้อยนัก
“ไม่ได้นะผู้ใหญ่ อย่าลำเอียง เรื่องเล็กน้อยในตอนนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคตได้ นี่ฉันปกป้องหมู่บ้านเราหรอกนะ ไม่อยากให้มีเหตุลักเล็กขโมยน้อยขึ้นในอนาคต” ยุพินพูดด้วยเสียงไม่พอใจ โดยมีชาวบ้านที่เห็นด้วยกับยุพินเริ่มส่งเสียงเชียร์
ครอบครัวยุพินมีฐานะดีที่สุดในหมู่บ้าน จึงค่อนข้างมีอิทธิพลพอตัว เธอจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวหรือเกรงใจผู้ใหญ่บ้านอย่างที่ควรจะเป็นมากนัก คำแปงเองก็จำต้องให้ความเกรงใจครอบครัวนี้อยู่ส่วนหนึ่งเสมอมา ด้วยไม่อยากให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันภายหลัง
“มีทางอื่นให้เลือกนอกเหนือจากจับส่งตำรวจอีกไหม” คำแปงอดไม่ได้ที่จะต่อรองให้เด็ก
“หาคนมาลงลายมือค้ำประกันว่าถ้าคราวหน้าไอ้เด็กนี่มันยังทำอีก ให้ครอบครัวมันและคนค้ำออกจากหมู่บ้านไป ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก”
“ว่าไง? จะมีใครกล้าค้ำประกันให้มันไหม ถ้ามีคนค้ำ ฉันจะยอมปล่อยมันไป”
คราวนี้ บรรดาชาวบ้านทั้งที่สนับสนุนยุพินและพวกที่เห็นใจชิงชัยต่างพากันส่ายหน้า เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง แล้วทำไมต้องพาตัวเข้าไปยุ่งด้วย
“ฉันค้ำประกันให้เอง” ปิ่นแก้วพูดโพล่งออกมาท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของผู้คนที่อยู่รายล้อม นี่ยังใช่ปิ่นแก้วที่ขี้ขลาดและชอบทำหน้าเศร้าอยู่เป็นนิจอยู่หรือเปล่า?
ยุพินเองก็อดทำสีหน้าประหลาดใจไปด้วยไม่ได้ ที่จริงเธอรู้สึกแปลกที่ปิ่นแก้วเอาตัวเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะโดยปกติ ปิ่นแก้วที่เคยพบเจอมักจะชอบก้มหน้า พูดน้อย แลดูขี้ขลาด ยิ่งตอนเมื่อเผชิญหน้ากับยุพินด้วยแล้ว ปิ่นแก้วมักจะหลุบตาก้มต่ำ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเธออยู่เสมอ
“ตั้งแต่แขวนคอตายดูเหมือนจะกล้าขึ้นเยอะ” ยุพินเอ่ยเยาะ “แต่เธอไม่น่าเชื่อถือพอที่จะค้ำประกัน คนฐานะต่ำเตี้ยแถมไม่มีที่ไปแบบเธอมีหน้าอะไรมาเอ่ยปากค้ำประกันให้คนอื่นได้ ไม่รู้จักอายตัวเองบ้าง”
“แล้วทำไมไม่คิดอีกด้านล่ะว่าคนไม่มีที่ไปแบบฉันนี่แหละเหมาะที่สุด น้าก็อยากให้ฉันไปพ้นหน้าจากลูกชายน้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเกิดชัยมีนิสัยลักขโมยในภายหลัง ฉันก็จะอยู่หมู่บ้านนี้อีกไม่ได้เลยนะ” ปิ่นแก้วเอ่ยท้วงเสียงหยัน
ยุพินตาสว่างวาบ แม้จะหงุดหงิดที่ถูกหญิงวัยคราวลูกรู้ทันความคิด แต่แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน หากเด็กชิงชัยนั่นทำผิดอีกครั้ง เธอก็สามารถกำจัดปิ่นแก้วให้พ้นจากลูกชายสุดหวงไปตลอดชีวิตได้
“ว่าไงล่ะน้า” ปิ่นแก้วทวงถาม
“แก้ว ตัดสินใจให้ดีอีกรอบก่อนนะ” คำแปงเอ่ยท้วงด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะลุง”
เธอหันไปเอ่ยถามชิงชัยที่กำลังนั่งนิ่งมองมาด้วยแววตาขอบคุณ “พี่เชื่อใจชัยได้ใช่ไหม”
“ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ ผมสัญญา” ชิงชัยพูดเสียงเครือพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณปิ่นแก้วไปด้วย
“แล้วตกลงน้าว่าไง” เธอหันไปถามยุพินอีกรอบ
“เอาแบบนี้ก็ได้ ฉันเห็นแก่อนาคตของเด็กหรอกนะถึงได้ยอมให้คนแบบเธอมาค้ำประกัน ผู้ใหญ่มาเขียนสัญญากันตรงนี้เลย นั่งทำต่อหน้าพยานเยอะ ๆ นี่แหละดี จะได้รู้กันทั่ว”
ปิ่นแก้วอ่านทบทวนข้อความในสัญญาอยู่หลายรอบก่อนลงลายมือชื่อ โดยมีผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านร่วมเป็นพยานอีกสามคน หลังจากรับสำเนามาเก็บไว้กับตัวแล้ว เธอก็จูงมือแดนไทยและชิงชัยเดินออกไปเพื่อกลับบ้าน
“เดี๋ยว! จ่ายค่าอาหารมาสิบบาทด้วย” ยุพินเรียกขึ้นมาก่อน
ปิ่นแก้วขมวดคิ้วมุ่น “ค่าอาหารอะไร ชัยไม่ได้ซื้ออะไรจากร้านน้านี่”
“ก็ค่าข้าวหมาที่มันกินนั่นไง ฉันคิดสิบบาท คราวนี้จะได้ถือว่าเจ้าชัยมันซื้อข้าวหมากิน ไม่ใช่ขโมยกิน”
“มันเกินไปรึเปล่ายุพิน กับข้าวนี่ก็เหลือทิ้งอยู่แล้วเลยโยนให้หมากินแบบนั้น ทำไมถึงคิดเงินเด็กมันอีก” คำแปงท้วงออกมาด้วยความไม่พอใจ “หยวน ๆ ไปเถอะน่า ถือว่าเลิกแล้วต่อกันไป สัญญาค้ำประกันแก้วมันก็ลงชื่อไว้ให้แล้ว”
“ไม่ได้หรอกผู้ใหญ่ เจ้าชัยมันแย่งหมากินไปหมดแบบนี้ ลำบากฉันก็ต้องหาข้าวให้หมามันใหม่อีกรอบ มันมีค่าใช้จ่ายนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลุงผู้ใหญ่” ปิ่นแก้วข่มความรู้สึกไม่พอใจ “ฉันจ่ายได้” เธอควักธนบัตรใบละสิบบาทส่งให้ยุพินและจูงมือเด็กชายทั้งสองเดินจากไป
ยุพินและมานพกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างชอบใจเมื่อเห็นเงินห้าหมื่นบาทในมือ ไม่นึกเลยว่าแค่รอบแรกก็ได้มากถึงเพียงนี้ แล้วรอบต่อไปนั้นเป็นกาแฟซึ่งร่ำลือกันว่ารายได้ดีกว่าดอกไม้แห้ง คงได้จับเงินแสนกันก็คราวนี้“แม่ยุพินที่หลักแหลมจริง ๆ” มานพเอ่ยชมภรรยาไม่หยุด“เอาเชียว ที่แรกทำท่าเหมือนไม่เต็มใจ”“ฉันขอโทษ ต่อไปไม่ค้านแล้ว ไม่คิดเลยว่ารายได้จะมากขนาดนี้ แล้วรวมทั้งปีที่เจ้าดินได้มันไม่เหยียบล้านไปแล้วเหรอ”“ก็คงประมาณนั้นแหละพี่ คราวหน้าฉันว่าจะไม่ขายอย่างเดียวแล้ว ฉันจะเอาเมล็ดพันธุ์มาปลูกเองด้วย นี่ก็ไปมอง ๆ ที่เปล่าในหมู่บ้านของพ่อฉันเอาไว้แล้ว ฉันตั้งใจจะเอาไปปลูกตรงโน้น จะได้ไกลหูไกลตาไอ้ดินมันหน่อย”“ดี อีกหน่อยบ้านเราก็จะมีเงินมากมายเหมือนกับมันแล้ว”“ว่าแต่เราเอาเงินก้อนนี้ไปใช้หนี้ที่ยืมมาก่อนเถอะ ที่เหลือก็พอส่งให้นารีได้อีกสามสี่เดือน รอขายงวดหน้าเราก็สบายกันแล้ว”“เจ้านะตั้งแต่ย้ายไปทำงานในเมืองนี่หายเงียบไม่ยอมกลับมาบ้านเลย” มานพเอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่พอใจ“ลูกสอนพิเศษหลายที่ กำลังช่วยกันเก็บเงินซื้อที่ดินเพื่
“นี่บ้านเก่า ๆ โทรม ๆ ที่เธอเคยเล่าจริง ๆ เหรอ” นิสารัตน์หันมาถาม“เมื่อก่อนเคยเก่าและโทรมมาก” ปิ่นแก้วยืนยัน “เพิ่งได้ปรับปรุงใหม่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง”“ไม่พ้นพี่ดินอีกแล้วแน่เลย” อรรณพหรี่ตามองอย่างรู้ทัน ขณะที่แดนดินยืนยิ้มกว้างอยู่ข้าง ๆ“เฮ้อ..พี่ดินไม่ควรมีคนเดียวในโลก” อรรณพยังคงรำพึงรำพันต่อไปคราวนี้พาเอาทุกคนหัวเราะครืนด้วยความชอบใจเพื่อไม่ให้เสียเวลา หลังจากจัดเก็บข้าวของกันแล้วปิ่นแก้วจึงพาทุกคนไปที่สวนผลไม้ของแดนดินที่ตอนนี้ทุเรียนและมังคุดออกลูกแก่จัดรอเก็บเกี่ยวในอีกสองสามวันข้างหน้านี้แล้ว“พวกเรากินได้จริง ๆ หรือคะพี่ดิน” มาลินีหันมาถามชายหนุ่มอีกทีเพื่อความแน่ใจ“กินได้เลย ไม่ใช่แค่ทุเรียนและมังคุดนะ สตรอว์เบอร์รีและเชอร์รีที่ปลูกในสวนข้าง ๆ ก็เข้าไปเด็ดกินได้เหมือนกัน ห้ามเกรงใจพี่เด็ดขาด คิดเสียว่าเป็นสวนบ้านตัวเอง” แดนดินอนุญาตอย่างใจดี“หน้าร้อนแบบนี้สตรอว์เบอร์รีและเชอร์รียังออกผลได้อีกเหรอคะ” นิสารัตน์อดทึ่งไม่ได้“เมล็ดพันธุ์ของเราค่อนข้างพิเศษน่ะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหันมา
แดนดินขมวดคิ้วเมื่อเห็นปริมาณดอกไม้แห้งที่เก็บเกี่ยวได้จากไร่ของผาด หนึ่งในคนที่เซ็นสัญญาปลูกดอกไม้และกาแฟเมื่อคราวก่อน“ที่ดินตั้งสิบไร่ ทำไมได้ดอกไม้แห้งพอ ๆ กับไร่น้าทาที่มีเพียงห้าไร่”“ม..แหม ความชำนาญมันต่างกันนะดิน น้าทานั่นชาวไร่ดีเด่นประจำหมู่บ้าน แกมีฝีมือในการดูแลต้นไม้อยู่แล้ว ปลูกดอกไม้ได้เยอะก็ไม่แปลก ไอ้ฉันมันมือใหม่ ถึงพื้นที่จะเยอะกว่าแต่ดันไม่มีฝีมืออย่างใครเขา เลยได้มาเท่านี้” ผาดละล่ำละลักอธิบายแดนดินกวาดตามองไปทั่วไร่อย่างสงสัย ในใจไม่คิดเชื่อคำพูดของผาดแม้แต่น้อย เขารู้ดีถึงคุณภาพของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ขนาดคนที่ปลูกอะไรไม่เป็นเลยอย่างปิ่นแก้วยังสามารถปลูกจนออกดอกออกผลได้งดงาม แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ทำไร่ทำนาอยู่ทุกวันแบบนี้ล่ะถึงจะไม่เชื่อแต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมาเรื่องนี้ผิดปกติเกินกว่าจะละเลยได้ เมื่อกลับถึงบ้านเขาเล่าความผิดปกตินี้ให้กับทั้งคำปันและวงเดือนได้รับทราบ ผู้สูงอายุทั้งสองคนต่างมีสีหน้าเครียดลงถนัดตา“ดินคิดว่ามีเรื่องคดโกงเกิดขึ้นแน่ใช่ไหม” คำปันถามเสียงเครียด
“จินตนานั่งรถประจำทางไปหาน้าที่ต่างอำเภอ แล้วรถเกิดคว่ำทับจินตนาจนแขนขาด”ปิ่นแก้วใจหายวาบเมื่อได้ยิน นึกถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มและบุคลิกที่ไม่คิดอะไรมากของจินตนา ปิ่นแก้วก็ยิ่งใจหาย ถึงแม้จะไม่ค่อยสนิทสนมกันนักแต่ก็มีโอกาสได้ทำงานด้วยกันหลายครั้ง จินตนานับว่าเป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายคนหนึ่งแล้วคนที่เคยมีครบทั้งสามสิบสอง จู่ ๆ กลายเป็นคนพิการแบบนี้ ที่สำคัญยังอายุน้อยแค่นี้ จินตนาจะทำใจได้อย่างไรปิ่นแก้วเหลียวมองไปรอบห้อง “แล้วนิสารัตน์?”“เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืน คอยอยู่เป็นเพื่อนรอพ่อกับแม่จินตนาที่กำลังนั่งรถมาหา”“แก้วใจไม่ดีเลย สงสารจินตนา แล้วนี่เราจะไปเยี่ยมกันดีไหม”คราวนี้มาลินีเป็นฝ่ายเล่า “ฉันกับอันนาไปเมื่อเย็นวานแต่ไม่ได้เจอ นิสารัตน์ให้กลับมาก่อนเพราะสภาพจิตใจของจินตนายังไม่สู้ดีนัก ให้รอพ่อกับแม่เค้ามาก่อนสักสองสามวัน ให้สงบลงอีกนิดแล้วค่อยไปเยี่ยมกันตอนนั้น”-----“อย่าตัดอนาคตตัวเองแบบนี้สิจิน”“นั่นสิลูก แค่เสียแขนซ้ายไปเอง แขนขวาก็ยัง
ถ้าพวกเขาได้มีโอกาสมาเห็นปิ่นแก้วในตอนนี้รับรองเลยว่าคงพูดไม่ออกเลยสักคนเดียว ปิ่นแก้วที่นวดแป้ง ปั่นส่วนผสมของขนมอย่างคล่องแคล่ว ปิ่นแก้วที่สามารถสั่งการได้อย่างเฉียบขาดและทุกคนที่อยู่รายรอบพร้อมจะทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะปิ่นแก้วคนนี้คือเจ้าของร้านขนมรสชาติอร่อยที่สร้างความประทับใจให้กับประธานหอการค้าของจังหวัด m จนได้มาทำขนมจัดเลี้ยงผู้เข้าร่วมสัมมนากว่าสามร้อยคนในครั้งนี้“พวกเธอรู้ไหม รายได้ต่อวันของร้านแก้วสามารถจ่ายค่าเทอมทั้งปีได้อย่างสบาย” อรรณพเล่าด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มคล้ายกับว่าทั้งสองร้านนี้เป็นของเขาก็ไม่ปาน“ทำไมปิ่นแก้วถึงไม่คิดพูดแก้ต่างเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ ในคณะล่ะ ปล่อยให้พวกเรามองเขาเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ได้ตั้งนาน” จินตนาบ่นงึมงำ“เค้ามองว่าเสียเวลาไง ถ้าเค้าพูดแก้ต่างพวกเธอคิดว่าจะมีใครยอมเชื่อไหม คนเราลองมีอคติต่อกันแล้ว ถึงจะแก้ตัวหรือทำดีให้ตายยังไงก็ไม่มีใครเปลี่ยนมุมมองหรอก พวกเขาเลือกที่จะเชื่อมุมที่พวกเขาคิดเสมอ สู้เอาเวลาที่เสียไปตรงนี้มาหาความสุขให้ตัวเองและมาใส่ใจคนที่รักและเข้าใจตัวเองดีกว่
“ก็ไปพูดไม่ไว้หน้าเขาแบบนั้น ใครเขาจะไปทนไหว มานี่ฉันช่วยเอง” นิสารัตน์นั่งลงยอง ๆ อยู่ด้านข้างและคว้ากรรไกรมาช่วยตัด ขณะที่จินตนาลูกคู่ของเธอก็มานั่งช่วยพับกระดาษเป็นรูปดอกไม้ให้ด้วย“ขอบใจนะ” ปิ่นแก้วหันไปยิ้มให้“ไม่เป็นไร งานจะได้เสร็จไว ๆ”นิสารัตน์เงยหน้ามองปิ่นแก้วก่อนพูดออกมา “อันที่จริงการุณเขาก็พูดถูกนะ คนที่มีแววอนาคตจะสดใสแบบเธอน่าจะหันกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแบบเพื่อน ๆ ได้แล้ว”หลังจากเหตุการณ์เย็นวันนั้น บรรดานักศึกษาและผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันอย่างสนุกปาก การุณรู้สึกอับอายอย่างที่สุด และมักจะทำหน้าบูดบึ้ง ส่งตาขวางให้ทุกครั้งที่เห็นปิ่นแก้ว ซึ่งปิ่นแก้วทำเพียงแค่ยักไหล่และใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองไปวัน ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและใบหน้าการุณยิ่งบูดบึ้งมากขึ้นเมื่อได้ยินข่าวว่าปิ่นแก้วย้ายออกจากหอในไปอยู่กับผู้ชาย และยิ่งใบหน้าการุณบูดบึ้งเท่าไหร่ ใบหน้าของสกุณาก็ยิ่งสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น-----“แก้ว ร้าน Best Bake ปิดกิจการไปแล้วนะ”







