หลังจากทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้วและเห็นว่ายังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น เธอจึงตั้งใจจะเดินสำรวจหมู่บ้านนาแสนแห่งนี้ไปเพลิน ๆ ก่อน
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ อากาศจึงเย็นตลอดปี และมีผู้คนอยู่อาศัยประมาณสามร้อยกว่าชีวิต ส่วนมากมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่เป็นหลัก บ้านที่ปลูกส่วนมากเป็นบ้านไม้สีหม่นหลังคามุงจาก มีบ้านฐานะดีที่หลังคามุงกระเบื้องและสังกะสีอยู่ไม่ถึงสิบหลัง ปิ่นแก้วเดินไปตามทางเดินซึ่งเป็นเส้นทางหลักภายในหมู่บ้าน
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเส้นทางหลัก แต่จริง ๆ ก็คือทางดินแดงเล็ก ๆ กว้างขนาดสองคนเดินสวนกัน พื้นผิวขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อเสียเยอะ บางจุดเละเป็นโคลนเนื่องจากฝนที่ตกมาตั้งแต่เช้า ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านไม่ได้รู้สึกแปลกหรือลำบากแต่อย่างใดเพราะคุ้นชินกับถนนแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว
จะมีก็เพียงปิ่นแก้วนี่แหละที่รู้สึกลำบาก เธอผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาทั้งชีวิต จึงไม่เคยรู้จักและไม่เคยสัมผัสฝุ่นสีแดงที่เกิดจากถนนดินแดงเลยสักครั้ง วันแรกที่ได้ย้อนเวลากลับมาเธอถึงกับสูดเอาฝุ่นแดงเข้าไปจนสำลักและแสบคออยู่หลายวัน
ลำพังแค่ทางเดินเล็ก ๆ ในหมู่บ้านนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะผู้คนพากันเดินเหยียบจนดินแน่นหมดแล้ว ฝุ่นผงสีแดงจึงไม่ค่อยฟุ้ง แต่ถนนเส้นหลักที่ใช้สัญจรจากหมู่บ้านไปตัวอำเภอก็ยังคงเป็นดินแดงด้วยนี่สิ เวลารถวิ่งผ่านแต่ละที ฝุ่นนี่ฟุ้งไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เรียกได้ว่าสูดหายใจเข้าทีไร จะได้เม็ดฝุ่นเข้าไปอยู่เต็มปอดแทนอากาศบริสุทธิ์ที่ควรจะเป็น
เท่านั้นไม่พอ หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงอีก เธอไม่เคยนึกมาก่อนว่าประเทศนี้จะมีพื้นที่ที่ความเจริญยังไม่เข้าถึงแบบนี้ได้ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อชะตากำหนดให้ต้องมาอยู่ในที่แห่งนี้ เธอก็ต้องหาวิธีปรับตัวให้ได้โดยเร็วที่สุด
ปิ่นแก้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเดินมาใกล้ร้านขายของชำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของสมาชิกภายในหมู่บ้านยามที่ว่างงานจากงานในสวนในไร่
วันนี้เองก็เช่นกัน หน้าร้านขายของชำยังเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยเหมือนปกติ แต่ที่ผิดปกติไปคือมีเสียงเกรี้ยวกราดตวาดดังลั่น ผสมกับเสียงร้องไห้และเสียงห้ามปรามดังมาเป็นระยะ ปิ่นแก้วยืนดูเหตุการณ์อยู่ชั่วครู่และคิดที่จะเดินย้อนกลับด้วยไม่อยากเข้าไปยุ่งหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
ฉับพลันนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของเด็กชายซึ่งกำลังยกมือปัดป้องและยืนบังเพื่อนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่บนพื้น เด็กชายคนที่ยืนคือคนที่เธอคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
“แดนไทย” ปิ่นแก้วตะโกนเรียกออกไป
“พี่แก้ว ช่วยด้วย” แดนไทยตะโกนออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นหญิงสาว
เมื่อปิ่นแก้วเดินเข้ามาใกล้ หญิงวัยกลางคนที่คล้ายกับเป็นคู่กรณีหลักของเด็กชายทั้งสองถึงกับเบะปาก และมองเมินไปทิศอื่นคล้ายไม่อยากมองให้เสียสายตา
ปิ่นแก้วมองหญิงคนนั้นอย่างแปลกใจ แล้วความทรงจำของเจ้าของเดิมก็ค่อย ๆ ไหลเข้ามาอย่างช้า ๆ และเธอก็เข้าใจในที่สุด
หญิงที่ยืนตรงหน้าปิ่นแก้วคือยุพิน แม่ของมานะและนารี ผู้หญิงที่ขัดขวางไม่ให้เจ้าของร่างเดิมคบหากับมานะ แต่ขวางความดื้อรั้นของลูกไม่ได้ จึงได้แต่ปิดหูปิดตาและกัดฟันมองทั้งคู่คบหากันอย่างไม่เต็มใจ
ต่อมาเมื่อได้รู้ว่ามานะเปลี่ยนใจไปชอบเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เพื่อนผู้หญิงคนนั้นถึงกับเป็นลูกผู้อำนวยการโรงเรียนประจำอำเภอ ยุพินก็เหมือนเห็นแสงสว่าง เธอดีใจและสนับสนุนลูกชายในการคบหาครั้งนี้อย่างเต็มที่ และวาดฝันถึงงานแต่งงานไว้แล้วเรียบร้อย
“ไทย เกิดอะไรขึ้น” ปิ่นแก้วถามเด็กชายเมื่อเดินเข้ามาถึงตัว
“น้ายุพินจะจับชัยส่งตำรวจ เพราะขโมยกินข้าวหมาของน้า”
ปิ่นแก้วนิ่วหน้า ขโมยข้าวหมา?
“ชัยไม่ได้ตั้งใจนะพี่แก้ว ชัยได้ยินน้ายุพินพูดว่าเป็นเศษอาหาร คนในบ้านไม่กินแล้ว เลยเทให้หมากิน ชัยเขาหิว ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน เลยหยิบเศษอาหารในจานมากิน น้ายุพินเห็นเข้าก็โวยวายใหญ่ว่าชัยเป็นขโมยจะจับส่งตำรวจให้ได้ ชัยพยายามขอโทษแล้วแต่น้าก็ไม่ยอมยกโทษให้”
ปิ่นแก้วเหลียวไปมองชิงชัยที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นด้วยแววตาเห็นใจ เด็กชายตัวเล็กและผอมจนกระดูกโปนออกมาอย่างเด่นชัด
ชีวิตชิงชัยในคราวแรกไม่ได้ลำบากขนาดนี้ จนกระทั่งพ่อหนีไปมีภรรยาใหม่ ชีวิตครอบครัวก็เปลี่ยนไป ไพจิตร แม่ของชิงชัยซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อฝีมือดีขึ้นชื่อของหมู่บ้านและละแวกข้างเคียงเอาแต่เสียใจฟูมฟาย ดื่มเหล้าเพื่อประชดชีวิตและประชดสามี จนงานที่เคยทำเสียหาย ลูกค้าค่อย ๆ ทยอยหนีหายจนไม่มีรายได้เข้ามาอีก แต่ไพจิตรยังคงไม่สำนึก เอาแต่นั่งจมขวดเหล้า เท่านั้นไม่พอ ยังติดหนี้คนเขาไปทั่วเพื่อนำเงินไปซื้อเหล้าดื่ม
ชิงชัยที่ตอนนี้อายุเกือบสิบเอ็ดปี จำต้องเป็นคนหาเลี้ยงปากท้องของทั้งสองแม่ลูกแทน อดมื้อกินมื้อจนร่างกายผ่ายผอม ที่คิดมาแย่งข้าวหมากินคงเพราะหิวจนทนไม่ไหว
“น้าคะ ฉันรู้ว่าเด็กทำผิด แต่ชัยก็ขอโทษแล้วนี่ อีกอย่างเขาก็อายุแค่สิบเอ็ดปีเท่านั้น ว่ากล่าวตักเตือนก็น่าจะพอ ทำไมต้องไปถึงตำรวจด้วย” ปิ่นแก้วเหลียวไปพูดกับยุพิน
“หล่อนอย่ามาเข้าข้างเด็ก สันดานขโมยก็ยังเป็นขโมยวันยังค่ำ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ แค่ข้าวหมา ตอนนี้มันทำแค่นี้ อีกหน่อยถ้ามันย่ามใจมากขึ้น มันต้องหาเรื่องขโมยหนักกว่านี้แน่ หมู่บ้านนี้อยู่กันมาอย่างสงบหลายสิบปี ไม่เคยมีเรื่องลักขโมยแบบนี้มาก่อน มันต้องตัดไฟแต่ต้นลม” ยุพินพูดเสียงแข็ง
ระหว่างที่ยุ่งกับการขาย เธอก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นแหวงและแววมายืนมองด้วยความอิจฉาเป็นระยะ ทำให้เธอรู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง ก็ตามประสามนุษย์คนหนึ่งแหละนะส่วนความกลัวที่เคยมีต่อทั้งคู่ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้วในครั้งนี้ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ไปแย่งที่ของใครเขา อีกอย่างมีลุงสุขมานั่งคุมเชิงให้ที่หลังร้านยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นไปอีก“ปิ่นแก้ว! ใช่ปิ่นแก้วจริง ๆ ด้วย” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของหญิงสาววัยรุ่นดังขึ้นที่หน้าร้านเมื่อได้ยินเสียงไม่คุ้นหูเรียกชื่อตนเอง ปิ่นแก้วจึงเขม้นมองไป เธอยืนนึกอยู่ครู่ใหญ่จึงยิ้มออกมาอย่างดีใจวิภาวี สาวน้อยบนรถไฟคนนั้นนั่นเอง“พ่อคะ แม่คะ ใช่ปิ่นแก้วจริง ๆ ด้วย บอกแล้วว่าวิตาไม่ฝาด” วิภาวีหันไปพูดกับทั้งพ่อและแม่ที่เดินตามหลัง“ปิ่นแก้ว นี่พ่อของเรา ส่วนแม่ เธอก็เคยเจอแล้วเมื่อคราวก่อน”ชาตรีและญาดาต่างส่งยิ้มให้ปิ่นแก้วอย่างมีไมตรีจิต หลังจากที่ลูกสาวเล่าเหตุการณ์ในรถไฟให้ฟัง ทั้งคู่ต่างตกอกตกใจและรู้สึกขอบคุณปิ่นแก้วมาโดยตลอดที่ช่วยให้วิภาวี
หญิงสาวเดินเข้าร้านเพื่อเลือกซื้อขนมอบ ขนมเค้กไม่มีแบ่งขายเป็นชิ้น เธอจึงเลือกปอนด์เล็กสุด และหยิบคุกกี้กระปุกเล็ก เค้กโรล ขนมปังปอนด์มาอีกอย่างละหนึ่งเพื่อทดสอบรสชาติ“แอะ! แค็ก..” คาวไข่ขั้นสุดเมื่อกลับมาถึงหอพัก เธอได้รีบแกะขนมออกมาชิม ทันทีที่ตักขนมเค้กเข้าปาก ผลที่ได้คือเนื้อเค้กที่หวานจัดและคาวไข่เป็นอย่างมาก ไม่เท่านั้น เนื้อครีมที่ปาดหน้าเค้กค่อนข้างหนัก ทั้งหวานและเลี่ยน เมื่อกัดชิมคำแรกถึงกับคายทิ้งแทบไม่ทัน แล้วทำไมถึงยังขายดีได้ขนาดนี้เค้กโรลก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน สำหรับคุกกี้นั้นให้ความรู้สึกหวานเพียงอย่างเดียว ไม่มีความหอมหรือมันของเนยแม้แต่น้อย ส่วนขนมปังปอนด์นั้นสามารถพูดได้เลยว่าขนมปังให้ปลาในยุคที่เธอจากมายังนุ่มมากกว่า แล้วทำไมถึงยังขายดีขนาดนี้ได้อีกแต่ข้อด้อยพวกนี้แหละคือตัวช่วย หากทำขนมออกมาแบบไม่เหลือข้อด้อยพวกนี้ ธุรกิจจะต้องรุ่งโรจน์อย่างไม่ต้องสงสัย ปิ่นแก้วอยู่ในอารมณ์ที่คึกคักถึงขีดสุดเธอรีบหายเข้าไปในพื้นที่และเปิดคลิปวิดีโอเกี่ยวกับขนมยอดฮิตต่าง ๆ ดู ก่อนจะคัดเมนูที่ทำได้ไม
“แก้วรู้ค่ะว่าป้าเป็นห่วงแก้วและหวังดีกับแก้วที่สุด แก้วขอบคุณป้ามาก ๆ นะคะ”“ถ้าจะให้พูดตามจริง ตอนนี้แก้วมีเงินพอที่จะส่งทั้งตัวเองและชัยเรียนได้อย่างสบาย แต่ใจแก้วยังไม่อยากเรียนเอง เพราะถ้าเรียนต่อ ม.4 แล้วพอจบ ม.6 ก็ต้องอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยอีก ค่าใช้จ่ายเรียนมหาวิทยาลัยค่อนข้างสูงป้าเองก็รู้นี่คะ แล้วแก้วจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนต่อ”“สู้ตอนนี้ หยุดเรียนก่อนสักครึ่งปี สร้างฐานะให้มั่นคง เก็บเกี่ยวเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วค่อยไปเรียน กศน. แก้วว่าน่าจะสบายกว่า”วงเดือนถอนหายใจแรง “แต่เรียน กศน. แล้วเหมือนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากเต็มทีนะแก้ว ป้าเสียดายอนาคต”“ไม่หรอกค่ะป้า ลองเราตั้งใจจริง ไม่ว่าเรียนจบจากไหนก็สามารถสอบเข้าได้ แต่ที่เห็นกันจนชินตาว่าเรียน กศน.แล้วความรู้ไม่พอจะไปต่อมหาวิทยาลัย นั่นเพราะคนเรียน กศน.มีภาระผูกพันค่อนข้างมาก บางคนก็มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้คิดไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยกันน้อย แต่แก้วไม่มีภาระตรงนี้นี่คะ ภาระอย่างเดียวของแก้วคือต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองให้ได้เยอะ ๆ ถ้า
วงเดือนใช้มือตบพื้นเรือนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “ยุพินนี่มันเกินไปจริง ๆ รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก”“ป้า อย่าโมโหไปเลย เรื่องมันสบช่องให้เขาได้เปรียบก็ต้องปล่อยไป” ปิ่นแก้วพูดปลอบ“ชัย พี่แก้วเค้าไปลงชื่อค้ำประกันเราไว้แบบนี้แล้ว ต่อไปเราต้องระมัดระวังตัว อย่าไปทำเรื่องทำนองนี้จนทำให้พี่เค้าเดือดร้อนอีกนะ ถ้าหิวหรือขาดอะไร ให้มาหาป้ากับลุงก่อน ป้ากับลุงจะช่วยเอง”“ผมขอบคุณพี่แก้วอีกครั้งนะครับที่ช่วย ต่อไปผมไม่กล้าแล้วจริง ๆ” ชิงชัยพูดพร้อมกับมีน้ำตารื้นอยู่เต็ม มันเป็นความรู้สึกทั้งเสียใจบวกกับความอับอายที่โดนประณามในเรื่องนี้“แม่กับพี่แก้วไม่ต้องห่วง ชัยเป็นคนดีจริง ๆ ไม่เคยมีนิสัยชอบขโมย” แดนไทยช่วยรับประกันให้เพื่อนรัก “ต่อไปหลังเลิกเรียนผมจะไปช่วยชัยหาผักป่าไปขายอีกแรง จะได้เอาเงินไปใช้หนี้ที่ติดอยู่ไว ๆ”“นี่แม่ชัยยังสร้างหนี้เพิ่มอีกเหรอ” วงเดือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “อาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้วด้วย จะมีเวลาไปหาของป่าขายได้ที่ไหน เลิกเรียนก็ใกล้ค่ำแล้ว คงไม่พอหาหรอก”“ชัยไม่เรียนต่อแล้วนะแม่ ไม่มีค่าเทอม”“แล้วแม่ชัยรู้ไหมว่าลูกตัวเองจะไม่เรียนต่อแล้ว” วงเดือนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พ
“ที่น้าพูดมันก็ถูก แต่ควรดูเจตนาเด็กก่อนที่จะกล่าวหา ชัยไม่ได้ตั้งใจขโมยแต่แรกนี่ เขาได้ยินว่าน้าไม่กินแล้ว และกำลังจะเทให้หมา ชัยเขาหิว เขาเลยตัดสินใจไปแบบนั้น”“หล่อนไม่ต้องมาทำหัวหมอ ฉันไม่สนใจ ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการกินแกงนี่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นของฉัน ฉันจะให้ใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน ในเมื่อฉันตั้งใจจะยกให้หมาแล้ว ไอ้เด็กหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แย่งไปได้ ฉันจะเอาเรื่องไอ้เด็กเหลือขอนี่ให้ถึงที่สุด”เมื่อยุพินพูดจบ ผู้คนที่ยืนรายล้อมต่างส่งเสียงออกมาหลายแนว บ้างก็เห็นด้วยกับยุพิน บ้างก็เห็นด้วยกับปิ่นแก้ว บ้างก็มองดูเหตุการณ์ด้วยความสะใจและสนุกกับคราวเคราะห์ของชัยในครั้งนี้ บ้างก็มีสีหน้าแสดงความเห็นใจเด็กชาย แต่ยุพินไม่สนใจ เธอยังคงตั้งมั่นในความคิดของตน“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน” คำแปง ผู้ใหญ่บ้านที่โดนเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังทั้งยุพินและปิ่นแก้วชี้แจงเรื่องราวในมุมมองของตน คำแปงก็ทำสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย เรื่องเหมือนจะดูเล็กน้อย แต่ถ้าคิดเป็นเรื่องใหญ่ ก็ดูใหญ่พอตัว โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ไม่เคยเกิดเหตุทำนองนี้มาก่อน“ยุพิน ปล่อยเด็กไปสักครั้งเถอะ อย
หลังจากทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้วและเห็นว่ายังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น เธอจึงตั้งใจจะเดินสำรวจหมู่บ้านนาแสนแห่งนี้ไปเพลิน ๆ ก่อนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ อากาศจึงเย็นตลอดปี และมีผู้คนอยู่อาศัยประมาณสามร้อยกว่าชีวิต ส่วนมากมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่เป็นหลัก บ้านที่ปลูกส่วนมากเป็นบ้านไม้สีหม่นหลังคามุงจาก มีบ้านฐานะดีที่หลังคามุงกระเบื้องและสังกะสีอยู่ไม่ถึงสิบหลัง ปิ่นแก้วเดินไปตามทางเดินซึ่งเป็นเส้นทางหลักภายในหมู่บ้านถึงจะขึ้นชื่อว่าเส้นทางหลัก แต่จริง ๆ ก็คือทางดินแดงเล็ก ๆ กว้างขนาดสองคนเดินสวนกัน พื้นผิวขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อเสียเยอะ บางจุดเละเป็นโคลนเนื่องจากฝนที่ตกมาตั้งแต่เช้า ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านไม่ได้รู้สึกแปลกหรือลำบากแต่อย่างใดเพราะคุ้นชินกับถนนแบบนี้มาหลายสิบปีแล้วจะมีก็เพียงปิ่นแก้วนี่แหละที่รู้สึกลำบาก เธอผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาทั้งชีวิต จึงไม่เคยรู้จักและไม่เคยสัมผัสฝุ่นสีแดงที่เกิดจากถนนดินแดงเลยสักครั้ง วันแรกที่ได้ย้อนเวลากลับมาเธอถึงกับสูดเอาฝุ่นแดงเข้าไปจนสำลักและแสบค