“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที
“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”
“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”
“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก
“หากคุณหนูกินขนมร้านเสี่ยวซือกวงทุกวัน บ่าวเลี้ยงคุณหนูไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ” สี่เสวี่ยหัวเราะคิกคัก คุณหนูซื้อขนมร้านเสี่ยวซือกวงกินทุกวัน นางก็พลอยได้กินไปด้วย แต่ตอนนี้นางกินจนเบื่อแล้วจริงๆ หากไปเล่าให้ใครฟังว่านางกินขนมกล่องละสองตำลึงจนเบื่อ คนอื่นต้องหาว่านางเพ้อเจ้อแน่ๆ
ฝั่งซูหนี่ย์ เมื่อเห็นว่าหลินเฮงฉวนรีบร้อนออกไปโดยไม่ทันได้บอกลานาง นางก็คิดว่าซูเจินจูต้องทำให้เขาไม่พอใจอย่างแน่นอน ด้วยรู้ว่าหลินเฮงฮวนจะต้องไปสอบก่งเซิน นางจึงเลิกสนใจซูเจินจู และใช้เวลาปักผ้าเช็ดหน้าอย่างปราณีตให้เขาแทน
ช่วงเวลาดีๆมันผ่านไปไว ครบสิบห้าวันที่ซูเจินจูต้องเข้าไปดูความคืบหน้าบ้านของนาง สิ่งที่ทำให้นางหงุดหงิดที่สุดในเช้าวันนี้คือนางลืมเตรียมเบาะรองนั่งออกมาด้วย
“คุณหนูอย่าหงุดหงิดไปเลยเจ้าค่ะ คราวหลังหากคุณหนูอยากได้อะไรก็บอกบ่าวเถอะเจ้าค่ะ คุณหนูจะได้ไม่ลืมอีก”
“ไอหย๋า คนลืมก็คือลืมสิ หากจำได้ว่าต้องบอกเจ้า ข้าก็ถือเบาะมาเองเสียดีไหมเล่า”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ งั้นคราวหน้าบ่าวจะเตรียมเบาะไว้ให้นะเจ้าคะ” ยิ่งนานวัน สี่เสวี่ยยิ่งรักคุณหนูมากขึ้น คุณหนูที่เหมือนจะเฉยชากับทุกๆอย่างกลับชอบหยอกล้อนางเล่น คุณหนูต้องรักนางมากแน่ๆ
ซูเจินจูสั่งรถม้าให้ขับไปยังบ้านติดเชิงเขาของนาง การก่อสร้างเต็มไปด้วยความรวดเร็วและเรียบร้อย ตอนนี้กำแพงกับลานบ้านเสร็จแล้ว เหลือเพียงตัวบ้านของนางเท่านั้น ซูเจินจูจึงขอให้หัวหน้าหมู่บ้านจ้างคนมากรุยดินด้านหลังลานหิน นางตั้งใจจะซื้อดอกไม้ที่ใช้สำหรับย้อมสีผ้ามาปลูก ที่ดินหลังลานหินเหลืออยู่สามสิบหมู่ นางไม่รู้ว่าจะหาดอกไม้มาได้มากแค่ไหน นางจึงสั่งกรุยดินทั้งหมด นางให้ค่าแรงวันละหกสิบอีแปะเท่าค่าแรงในตำบล หัวหน้าหมู่บ้านจึงให้ผู้ชายในหมู่บ้านจำนวนยี่สิบคนมาทำงานนี้ คาดว่าจะเสร็จพร้อมกับตัวบ้านพอดี เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีซูเจินจูขอตัวออกจากหมู่บ้านมา วันนี้ซูเจินจูตั้งใจพาสี่เสวี่ยไปชมดอกไม้ที่หมู่บ้านจั๋วมู่
หมู่บ้านจั๋วมู่ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มีกลิ่นหอมที่สุด พื้นที่ตีนเขาของที่นี่มีสวนดอกเหมย กลิ่นของดอกเหมยที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น แม้กระทั่งดอกเหมยร่วงหล่นจนหมดต้นก็ยังได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจนยากจะห้ามใจ หัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่จึงสร้างรั้วล้อมสวนดอกเหมยกันผู้คนเข้ามาขโมย
เมื่อเข้าไปใกล้สวนดอกเหมย ก็จะเห็นเพิงน้ำชาเล็กๆ เพิงขายของป่า ผักป่า และยังขายกลีบดอกเหมยอีกด้วย
สี่เสวี่ยทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ นางได้ยินอิงเถากับอิงชุ่ยพูดถึงสวนดอกไม้หมู่บ้านจั๋วมู่มานานแล้ว วันนี้ได้มาเห็นเองกับตา สูดดมกลิ่นหอมนี้ด้วยตนเอง ต่อให้ตายก็ตายตาหลับ
ซูเจินจูสูดกลิ่นหอมแล้วยิ้มกับตนเอง หากเป็นเล่าปี่คงต้องพูดว่า ข้าได้ขงเบ้ง ดุจน้ำได้ปลาจริงๆ กลิ่นพวกนี้ไม่ใช่กลิ่นดอกเหมย แต่เป็นกลิ่นของดอกตันกุ้ย หนึ่งในสามสายพันธ์ของดอกหอมหมื่นลี้ กลิ่นอยู่ใกล้ๆแต่กลับไม่เห็นต้น เห็นที่ว่าต้นตันกุ้ยคงอยู่บนภูเขาเป็นแน่
ซูเจินจูทิ้งให้สี่เสวี่ยเดินชมดอกเหมย สี่เสวี่ยเองก็กังวลใจแต่ก็ไม่กล้าขึ้นเขามาเป็นภาระของคุณหนูได้แต่บอกให้คุณหนูอย่าเข้าไปลึกจนเกินไป หากคุณหนูออกมาช้า นางจะไปตามคนมาช่วย
ซูเจินจูอ้อมสวนดอกเหมยขึ้นไปบนภูเขา สภาพโดยรอบเป็นป่าเป็นเขาที่ค่อนข้างซับซ้อน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็แทบจะไม่มีทางให้เดินเท่านั้น อาจเป็นเพราะพื้นที่ตรงนี้เชื่อมต่อกับสวนดอกเหมย ผู้คนพลุกพล่าน สัตว์ป่าจึงไม่ลงมาหาอาหารมากนัก นานไปคนก็เลิกมาจับสัตว์แถวนี้ ทำให้พื้นที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ซูเจินจูใช้เวลาเดินตามกลิ่นเข้าไปสองเค่อก็ได้เจอกับต้นตันกุ้ย นอกจากนี้ยังมีจินกุ้ยและอิ๋นกุ้ยอีกด้วย ตันกุ้ย หรือกุ้ยฮวาสีแดงมีกลิ่นหอมขจรขจายไปไกลที่สุดในบรรดากุ้ยฮวาทั้ง 3 จิ้นกุ้ยหรือกุ้ยฮวาสีทอง มีดอกใหญ่สีเหลือง กลิ่นหอมแรง อิ๋นกุ้ยหรือกุ้ยฮวาสีเงินสีดอกสีขาวมีดอกเล็กและกลิ่นหอมอ่อนๆ
กุ้ยฮวาทั้งสามคือสายพันธ์ของดอกหอมหมื่นลี้ เมื่อจดจำทางได้แล้วซูเจินจูก็ลงจากเขามาสมทบกับสี่เสวี่ยที่สวนดอกเหมย
“เจอของที่คุณหนูต้องการหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อสี่เสวี่ยเห็นคุณหนูกลับมาอย่างปลอดภัยนางถึงกับถอยใจอย่างโล่งอก
“เจอ มีเยอะกว่าที่คิดเสียอีก ครั้งหน้าคงต้องรบกวนลุงหวังให้ออกหน้าคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่เสียหน่อยแล้ว”
มาจั๋วมู่รอบนี้ซูเจินจูได้กำไรอย่างคาดไม่ถึง ตอนแรกนางยังคิดว่าการวาดลายผ้าคงทำให้นางพอกินพอใช้หากต้องหนีออกจากตระกูล แต่ถ้าได้ดอกหอมหมื่นลี้ไปคั้นสีใช้วาดลงบนผ้า ผ้าของนางก็คงทำให้นางเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียว
เย็นวันนั้นเมื่อซุเจินจูกลับถึงบ้านในอำเภอเหอ ก็พบว่าบ้านต็มไปด้วยเสียงโวยวายของฮูหยิน ในหนึ่งเดือนนายท่านซูจะออกไปทำการค้าอย่างน้อยยี่สิบวัน ทั้งเดินทางไปยังอำเภอกุ้ยที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อซื้อผ้าไหมชั้นดี เข้าเมืองหลวงเพื่อซื้อผ้าไหมหยกของคุณหนูจิวอิง ส่งเสื้อคลุมขนสัตว์ไปยังร้านค้าในเมืองชั้นใน พูดคุยสังสรรค์กับเหล่าเถ้าแก่ร้านต่างๆ ไม่มีครั้งไหนที่นายท่านซูกลับบ้านแล้วฮูหยินซูจะทำให้ไม่สบายใจ ยกเว้นครั้งนี้ ที่นายท่านซูพาอนุภรรยาพร้อมลูกชายวัยสองขวบกลับมาด้วย
แต่เดิมนายท่านซูเลี้ยงดูอนุภรรยาไว้ที่อำเภออู๋ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่ขณะนี้แคว้นจิ้นได้ยกทัพเข้าตีแคว้นหนานจากทางใต้ ทำให้นายท่านซูเกรงว่าอำเภออู๋จะได้รับผลกระทบไปด้วย จึงย้ายเมียรักเข้ามาที่บ้านใหญ่ทางฝั่งตะวันออกแทน
แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับซูเจินจู นางจึงเดินเลี่ยงกลับไปยังเรือนของตนอย่างเงียบๆ คนในบ้านจะมากขึ้นหรือน้อยลงล้วนไม่เกี่ยวกับนางที่พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะพูดคุยกับทุกคนอยู่แล้ว
หลังจากนั้นทุกวัน ฮูหยินรองมี่ซิ่นจะต้องเข้ามาร้องไห้กับซูเจินจูเสมอ เรื่องที่นางยอมไม่ได้ที่สุดคืออนุภรรยาคนใหม่ที่ชื่อลั่วเยียนได้เงินเดือนโดยตรงจากนายท่านซูถึงยี่สิบตำลึง แต่นางก็ไม่กล้าพอที่จะไปเรียกร้องขอเงินเพิ่มจากฮูหยินใหญ่
ฮูหยินใหญ่เหมยหลินกร่นด่าลั่วเยียนทุกครั้งเมื่ออยู่ลับหลังนายท่านซู แต่นางไม่กล้าโวยวายใหญ่โต หรือไล่ลั่วเยียนออกจากบ้านอีกแล้ว เพราะนายท่านซูขู่ว่าจะหย่านาง สมบัติของนางทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นของตระกูลซู หากนางถูกหย่านางจะไม่เหลืออะไรเลย
หลังจากที่นายท่านซูนำลั่วเยี่ยนและบุตรชาย ซูหนานซีกลับมา สั่งให้ฮูหยินใหญ่จัดเรือน ซื้อบ่าวไพร่ให้ใหม่สองคนก็ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง
หลังจากที่นายท่านซูจากไป ลั่นเยียนก็เก็บเนื้อเก็บตัว
เพราะเป็นเพียงตระกูลพ่อค้า กฎ ระเบียบ การคารวะต่างๆจึงไม่มีเหมือนจวนขุนนาง ลั่วเยี่ยนไม่ได้พบปะฮูหยินใหญ่มากนัก จึงลดความรุนแรงภายในบ้านลงไปได้มาก
ซูหนี่ย์ ปักผ้าเช็ดหน้าเสร็จแล้ว เป็นลายดอกกล้วยไม้สีเหลืองตัดกับก้านสีเขียวอ่อนฝีเข็มละเอียดลออ ที่มุมผ้าข้างนึงปักอักษร หนี่ย์ด้วยสีขาว ตอนนี้นางกำลังปักรองเท้าให้หลินเฮงฉวน นางไม่แน่ใจว่านางจะทำเสร็จทันหรือไม่ หากทำรองเท้าไม่ทัน แค่เพียงผ้าเช็ดหน้าก็พอที่จะสื่อความในใจของนางออกไปได้แล้ว
ซูเม่ย กับเหลียนฮัวสาวใช้คนสนิทออกจากบ้านทุกวัน แต่ฮูหยินซูไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาสนใจนาง จึงไม่ได้ถามว่านางไปที่ใด เพียงแค่นางกลับมาตรงเวลาก็พอแล้ว
ซูเหวินอยู่ที่สถานศึกษา ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ตนมีน้องชายคนใหม่แล้ว
ซูเจินจู กินขนมกล่องละสองตำลึงของร้านเสี่ยวซือกวงทุกวันอย่างมีความสุข
เมื่อครบกำหนดสิบห้าวัน ซูเจินจูและสี่เสวี่ยก็ได้เช่ารถม้าออกจากเมือง บ้านของนางเสร็จแล้ว เหล่าคนงานต่างยืนรอนางอย่างใจจดใจจ่อ ยามที่เห็นว่าเจ้าของบ้านเป็นเพียงเด็กหญิง พวกเขาต่างกังวลว่าจะไม่ได้รับเงินค่าแรง
หลังจากซูเจินจูตรวจดูความเรียบร้อยทั้งหมดจนพอใจแล้ว จึงจ่ายเงินสองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึงให้ช่างเฉิน
ค่าแรงคนที่หัวหน้าหมู่บ้านพามาคือวันละหกสิบอีแปะ ทำงานสิบห้าวัน ได้เก้าร้อยอีแปะ ซูเจินจูจึงจ่ายให้คนละหนึ่งตำลึงทั้งยี่สิบคน ทุกคนที่มาทำงานรู้สึกดีกับซูเจินจูเป็นอย่างมาก เงินที่เพิ่มมาอีกหนึ่งร้อยอีแปะเพียงพอให้ครอบครัวของพวกเขาอิ่มได้หลายวัน
ซูเจินจูขอให้หัวหน้าหมูบ้านหาคนมาทำโต๊ะให้นาง นางต้องการโต๊ะยาว ต้องยาวและกว้างเพียงพอที่จะวางผ้าลงไปหนึ่งพับได้อย่างพอดี แต่นางต้องการเพียงขอบโต๊ะเท่านั้น คนงานที่ได้รับเงินหนึ่งตำลึงไปก่อนหน้านี้ อาสาทำงานให้นางโดยไม่คิดเงิน ละยังทำให้นางถึงห้าตัว ด้วยแรงคนยี่สิบคน เพียงครึ่งวันโต๊ะที่นางต้องการก็วางเรียงอยู่ที่ลานหินอย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังใช้ไม้ที่เหลือทำเก้าอี้ไว้ให้นางสามตัวอีกด้วย
“คุณหนูต้องหยุดกินขนมสักพักนะเจ้าคะ ตอนนี้คุณหนูเหลือเงินแค่เจ็ดสิบตำลึงเท่านั้น” สี่เสวี่ยทั้งตกใจทั้งเศร้าใจกับการผลาญเงินของคุณหนูเหลือเกิน คุณหนูใช้เงินอย่างประหยัดมาหกปี พอมาเจอเรื่องของคุณชายหลิน คุณหนูกลับใช้เงินจนหมดภายในระยะเวลาเพียงหกเดือน
“เหลือน้อยเพียงนั้น เพ้ย แล้วข้าจะซื้อเครื่องเรือนอย่างไรเล่า เงินทองพวกนี้หมดง่ายจริงเชียว” ได้เกิดใหม่ทั้งที น่าจะให้นางพกสมบัติเก่าของนางมาด้วยสิ ไหนเลยต้องให้นางมาทำงานหาเงินเช่นนี้ แล้วเงินที่นางมีเมื่อชาติที่แล้วตั้งหลายร้อยล้านหยวนไม่เท่ากับเสียเปล่าหรอกหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ
ซูเจินซูที่ดูบ้านจนพอใจแล้วก็เดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อให้ช่วยออกหน้าซื้อต้นไม้จากหมู่บ้านจั๋วมู่ เดิมทีต้นไม้ในป่าก็เป็นของที่ใครต้องการก็ไปเอามาได้ แต่ซูเจินจูต้องการต้นไม้ที่สูงสองถึงสามเมตรและยังต้องการต้นที่สมบูรณ์พร้อมราก นางจึงพร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อให้คนในหมู่บ้านนำมาปลูกให้นาง
เมื่อบอกความต้องการของตนแก่หัวหน้าหมู่บ้านหวังแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ทำให้ซูเจินจูผิดหวัง หัวหน้าหมู่บ้านพาซูเจินจูและสี่เสวี่ยขึ้นรถม้าตรงไปพบหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่ทันที
นายน้อยหงพาซูเจินจูเดินชมสินค้าภายในร้าน สินค้าหลากหลายแต่เต็มไปด้วยของชั้นดี สินค้ามากมายที่ได้มาจากต่างแคว้น สินค้าหลายอย่างเป็นของที่ได้มาจากชนเผ่าต่างๆ หนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกหนังมาอย่างดี ขนสัตว์หายากอย่างพวกจิ้งจอกแดงหรือขนหมาป่าสีขาวก็สามารถหาซื้อได้ที่นี่ หนังเสือ หนังหมี หรือแม้แต่เขากวาง เขี้ยวเสื้อ ก็ถูกนำมาตั้งแสดงสินค้า ยิ่งเห็นว่าร้านฟู่หงเทียนมีสินค้าชั้นดีเท่าใดซูเจินจูก็ยิ่งตระหนักได้ถึงอิทธิพลของเจ้ากรมอาภรณ์ ร้านค้าขนาดสี่ห้องกว้างขวางเกินกว่าจะดูได้อย่างละเอียดทั้งหมด แม้ซูเจินจูจะพยายามเดินดูจนทั่ว แต่ด้วยประกอบกับนายน้อยหงที่คอยอธิบายสิ่งต่างๆภายในร้านอย่างใส่ใจทำให้กินเวลายาวนานเกือบสามชั่วยาม“อีกสองวันถึงจะเป็นงานเปิดรับศิษย์ของสำนักต่อสู้ พรุ่งนี้คุณหนูซูอยากไปที่ใดหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเอง”“ไม่รบกวนนายน้อยเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะพาคนของข้าไปเดินเล่นในเมือง เพียงเดินเล่นไปเรื่อยๆมีจุดหมายใด”“เช่นนั้นข้าจะให้คนคุ้มกันของข้ามาดูแล”“ข้าคงต้องเสียมารยาทปฏิเสธเสียแล้ว หลิวหยาง จางหมิ่นของข้าคงเพียงพอจะปกป้องข้าได้ อย่าให้ข้าทำให้นายน้อยหงต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ”“เช
วันถัดมาในยามเฉิน เฟยอวี่เข้ามาหาซูเจินจูเพื่อรายงาน“คุณหนู บ่าวสืบข่าวมาได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ พ่อค้าต่างแคว้นหลายคนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ของมีค่าหลายอย่างถูกขนเข้าเมืองหลวงผ่านขบวนขนสินค้า จุดหมายคือตรอกถงยู่ ที่เป็นแหล่งจัดงานประมูลของตลาดมืด นี่เป็นของรายการของส่วนหนึ่งที่บ่าวได้มาจากบัญชีส่งสินค้าเจ้าค่ะ”“งานประมูลของตลาดมือหรือ น่าสนใจ เจ้ารู้เรื่องงานนี้ดีแค่ไหน”“บ่าวเคยได้ยินว่าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อประมูลของหายาก มีทั้งโสมพันปี อาวุธต่างๆ หยกม่วง หินแร่ รวมถึงหัวของผู้ครองแคว้นก็เคยถูกนำมาประมูลเจ้าค่ะ การจะเข้าร่วมประมูลได้ต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละหนึ่งพันตำลึง และหากมีของที่ต้องการนำเข้าประมูลก็นำของไปประเมิณได้เช่นกันเจ้าค่ะ”“เจ้าทำงานได้ดีมาก พักสักหน่อยแล้วออกเดินทางไปรอข้าที่เมืองหลวง สืบข่าวเรื่องการประมูลให้ข้า และจองโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้เพียงพอกับคนของเรา ข้าจะพาสี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยหรง เฟยเมี่ยว หลิวหยาง จางหมิ่นไป”“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยอวี่รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากซูเจินจูก่อนจะออกจากห้องไป คล้อยหลังเฟยอวี่ออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อซูเจินจูก็ตรง
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล